การปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายตะวันตกเพื่อ “สั่งสอน” ซีเรียที่ถูกกล่าวหาว่าใช้อาวุธเคมีกับพลเรือนของตนเอง ปรากฏสัญญาณเครื่องบ่งชี้หลายประการในวันพฤหัสบดี (29ส.ค.)ว่า คงจะต้องชะลอออกไปอย่างน้อยอีกหลายๆ วัน ถึงแม้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯออกโรงประกาศขึงขังว่าการโจมตีเล่นงานรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด จะเป็น “การส่งสัญญาณอันแรงกล้า” ไม่ให้มีการกระทำอันเลวร้ายเช่นนี้อีก แต่วงการข่าวกรองของแดนอินทรีเองกลับมีความเห็นกันว่าหลักฐานพิสูจน์ความผิดของอัสซาดยังไม่หนักแน่น ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ ก็เผชิญกับแรงต้านของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนต้องรับปากว่าจะไม่สั่งโจมตีซีเรียจนกว่าจะได้เห็นรายงานของคณะตรวจสอบของยูเอ็น โดยที่เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ บัน คีมุน ระบุว่ารายงานดังกล่าวคงจะออกมาในวันเสาร์(31) อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง รัสเซียก็กำลังส่งกองเรือรบไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนอังกฤษประกาศส่งเครื่องบินขับไล่ไปยังไซปรัส
ประธานาธิบดีโอบามา ให้สัมภาษณ์โทรทัศน์พีบีเอสของสหรัฐฯในวันพุธ (28 ส.ค.) โดยประกาศว่า สหรัฐฯได้ข้อสรุปแล้วว่ารัฐบาลซีเรียเป็นผู้กระทำการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในบริเวณชานกรุงดามัสกัสเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้วซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน และดังนั้นนานาชาติจึงต้องตอบโต้
ส่วนที่ลอนดอน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษมีกำหนดลงมติเกี่ยวกับการตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรียในวันพฤหัสบดี ทว่า ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน นายกรัฐมนตรี คาเมรอน ได้ถูกบีบจากสภาจนต้องล่าถอย โดยรับปากว่า จะไม่สั่งโจมตีซีเรียจนกว่าคณะตรวจสอบอาวุธของยูเอ็นจะเผยแพร่รายงาน
ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง ร่างญัตติที่อังกฤษเสนอในวันพุธ (28) ซึ่งมีเนื้อหาขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เห็นชอบ ในการใช้กำลังทหารตอบโต้ซีเรีย ปรากฏว่าได้ถูกรัสเซียซึ่งเป็นสมาชิกถาวรที่มีอำนาจวีโต้ของคณะมนตรี คัดค้านหนักตามที่คาดหมายกันไว้
สำหรับเรื่องการทำงานของคณะตรวจสอบอาวุธของยูเอ็นนั้น เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ บัน คีมุน แถลงในวันพฤหัสบดีว่า คณะดังกล่าวน่าจะเสร็จสิ้นภารกิจในวันศุกร์ และส่งรายงานให้ตนในวันเสาร์ และตนจะนำรายงานดังกล่าวไปแจกจ่ายแก่สมาชิกยูเอ็นทั้งหมด
บันยังขอให้เหล่ามหาอำนาจร่วมมือหาทางคลี่คลายวิกฤตซีเรียอย่างสันติแทนการใช้มาตรการทางทหาร พร้อมยืนยันว่า ผู้ที่ใช้อาวุธเคมีโจมตีในซีเรีย จะต้องรับผิดชอบการกระทำนั้น
ประธานาธิบดีโอบามา ให้สัมภาษณ์โทรทัศน์พีบีเอสของสหรัฐฯในวันพุธ (28 ส.ค.) โดยประกาศว่า สหรัฐฯได้ข้อสรุปแล้วว่ารัฐบาลซีเรียเป็นผู้กระทำการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในบริเวณชานกรุงดามัสกัสเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้วซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน และดังนั้นนานาชาติจึงต้องตอบโต้
ส่วนที่ลอนดอน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษมีกำหนดลงมติเกี่ยวกับการตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรียในวันพฤหัสบดี ทว่า ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน นายกรัฐมนตรี คาเมรอน ได้ถูกบีบจากสภาจนต้องล่าถอย โดยรับปากว่า จะไม่สั่งโจมตีซีเรียจนกว่าคณะตรวจสอบอาวุธของยูเอ็นจะเผยแพร่รายงาน
ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง ร่างญัตติที่อังกฤษเสนอในวันพุธ (28) ซึ่งมีเนื้อหาขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เห็นชอบ ในการใช้กำลังทหารตอบโต้ซีเรีย ปรากฏว่าได้ถูกรัสเซียซึ่งเป็นสมาชิกถาวรที่มีอำนาจวีโต้ของคณะมนตรี คัดค้านหนักตามที่คาดหมายกันไว้
สำหรับเรื่องการทำงานของคณะตรวจสอบอาวุธของยูเอ็นนั้น เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ บัน คีมุน แถลงในวันพฤหัสบดีว่า คณะดังกล่าวน่าจะเสร็จสิ้นภารกิจในวันศุกร์ และส่งรายงานให้ตนในวันเสาร์ และตนจะนำรายงานดังกล่าวไปแจกจ่ายแก่สมาชิกยูเอ็นทั้งหมด
บันยังขอให้เหล่ามหาอำนาจร่วมมือหาทางคลี่คลายวิกฤตซีเรียอย่างสันติแทนการใช้มาตรการทางทหาร พร้อมยืนยันว่า ผู้ที่ใช้อาวุธเคมีโจมตีในซีเรีย จะต้องรับผิดชอบการกระทำนั้น