สหรัฐฯแถลงในวันพฤหัสบดี(3)ว่า กำลังพูดจาหารือกับ เฉิน กวงเฉิง นักเคลื่อนไหวผู้ตาบอดชาวจีน เกี่ยวกับอนาคตของเขา ภายหลังที่นักกฎหมายซึ่งเปิดโปงด้านมืดของนโยบายลูกคนเดียวของรัฐบาลแดนมังกรผู้นี้ ประกาศเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน โดยแสดงความหวาดกลัวเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาและครอบครัว พร้อมกับร้องขอไปลี้ภัยในต่างแดน ด้านปักกิ่งยังไม่ปริปากเรื่องนี้ กระนั้น มีแนวโน้มว่าความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ อาจกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง และอาจกลายเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับโอบามาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองขณะนี้
เฉิน ผู้หลบหนีจากการถูกทางการจีนกักตัวให้อยู่แต่ในบ้านพัก และใช้เวลา 6 วันอยู่ในสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำกรุงปักกิ่ง จวบจนกระทั่งเขาออกจากสถานที่แห่งนั้นในวันพุธ(2) กำลังกลายเป็นศูนย์กลางของการบาดหมางทางการทูตระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อันเต็มไปด้วยความอ่อนไหวยิ่ง อีกทั้งชะตากรรมของเขาก็กำลังบดบังวาระการประชุมระดับสูงจีน-สหรัฐฯ ที่เริ่มต้นขึ้นที่ปักกิ่งในวันพฤหัสบดีโดยสิ้นเชิง
พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯระบุว่า เฉิน ซึ่งทำให้ทางการจีนโกรธกริ้ว จากการเปิดโปงเรื่องมีการบังคับให้ประชาชนทำแท้งและการทำหมัน ภายใต้นโยบาย “ลูกคนเดียว” ของรัฐบาล ได้ออกจากสถานทูตสหรัฐฯ ภายหลังที่ปักกิ่งให้คำมั่นว่า เขาและครอบครัวจะได้รับการปฏิบัติต่อ “อย่างมีมนุษยธรรม”
เคิร์ต แคมป์เบลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเดินทางมายังปักกิ่งเพื่อดูแลกรณีนี้ ได้สำทับว่า ได้พูดคุยราว 30-40 ชั่วโมงระหว่างที่เฉินอยู่ในสถานทูต และตลอดเวลานั้นเฉินยืนยันว่า ต้องการกลับไปใช้ชีวิตปกติในจีน และไม่เคยพูดเรื่องการลี้ภัยหรือการเดินทางไปอเมริกาแม้แต่ครั้งเดียว
อย่างไรก็ดี ภายหลังออกจากสถานทูตแล้ว เฉินบอกกับสื่อตะวันตกที่ติดต่อสัมภาษณ์เขาขณะกำลังรักษาตัวในโรงพยาบาลที่กรุงปักกิ่งว่า เขารู้สึกว่าตัวเองถูกกดดันบีบคั้นให้ต้องออกมาจากสถานทูตอเมริกัน และเขากำลังหวาดกลัวเกี่ยวกับความปลอดภัยของครอบครัวของเขา ผู้ซึ่งถูกทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าจากน้ำมือของพวกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในเมืองเกิดของพวกเขา ดังนั้น มาถึงตอนนี้เขาจึงอยากจะออกไปอยู่ต่างประเทศ
ในวันพฤหัสบดี วิกตอเรีย นูแลนด์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯแถลงว่า เฉินและภรรยาของเขาได้แสดงท่าทีอันชัดเจนแล้วว่า ไม่ต้องการอยู่ในจีนอีกต่อไป
เฉิน ผู้หลบหนีจากการถูกทางการจีนกักตัวให้อยู่แต่ในบ้านพัก และใช้เวลา 6 วันอยู่ในสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำกรุงปักกิ่ง จวบจนกระทั่งเขาออกจากสถานที่แห่งนั้นในวันพุธ(2) กำลังกลายเป็นศูนย์กลางของการบาดหมางทางการทูตระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อันเต็มไปด้วยความอ่อนไหวยิ่ง อีกทั้งชะตากรรมของเขาก็กำลังบดบังวาระการประชุมระดับสูงจีน-สหรัฐฯ ที่เริ่มต้นขึ้นที่ปักกิ่งในวันพฤหัสบดีโดยสิ้นเชิง
พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯระบุว่า เฉิน ซึ่งทำให้ทางการจีนโกรธกริ้ว จากการเปิดโปงเรื่องมีการบังคับให้ประชาชนทำแท้งและการทำหมัน ภายใต้นโยบาย “ลูกคนเดียว” ของรัฐบาล ได้ออกจากสถานทูตสหรัฐฯ ภายหลังที่ปักกิ่งให้คำมั่นว่า เขาและครอบครัวจะได้รับการปฏิบัติต่อ “อย่างมีมนุษยธรรม”
เคิร์ต แคมป์เบลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเดินทางมายังปักกิ่งเพื่อดูแลกรณีนี้ ได้สำทับว่า ได้พูดคุยราว 30-40 ชั่วโมงระหว่างที่เฉินอยู่ในสถานทูต และตลอดเวลานั้นเฉินยืนยันว่า ต้องการกลับไปใช้ชีวิตปกติในจีน และไม่เคยพูดเรื่องการลี้ภัยหรือการเดินทางไปอเมริกาแม้แต่ครั้งเดียว
อย่างไรก็ดี ภายหลังออกจากสถานทูตแล้ว เฉินบอกกับสื่อตะวันตกที่ติดต่อสัมภาษณ์เขาขณะกำลังรักษาตัวในโรงพยาบาลที่กรุงปักกิ่งว่า เขารู้สึกว่าตัวเองถูกกดดันบีบคั้นให้ต้องออกมาจากสถานทูตอเมริกัน และเขากำลังหวาดกลัวเกี่ยวกับความปลอดภัยของครอบครัวของเขา ผู้ซึ่งถูกทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าจากน้ำมือของพวกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในเมืองเกิดของพวกเขา ดังนั้น มาถึงตอนนี้เขาจึงอยากจะออกไปอยู่ต่างประเทศ
ในวันพฤหัสบดี วิกตอเรีย นูแลนด์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯแถลงว่า เฉินและภรรยาของเขาได้แสดงท่าทีอันชัดเจนแล้วว่า ไม่ต้องการอยู่ในจีนอีกต่อไป
