นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสอบสวนคดีลักลอบนำยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน 8 หน่วยงาน ว่า ได้มีการนำข้อมูลมาแลกเปลี่ยนกัน ทำให้พบว่าการจับกุมยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนมาก จึงเชื่อว่าการสั่งซื้อยาแก้หวัดจากประเทศเกาหลีใต้ และไต้หวัน ที่มีจำนวนถึง 40 ตัน หรือประมาณ 850 ล้านเม็ด ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยทั้งหมดแล้ว รวมถึงยังเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นลักษณะของขบวนการใหญ่ที่น่าจะมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบเลี่ยงกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งจากการดำเนินการสอบสวนของดีเอสไอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะสามารถหยุดขบวนการดังกล่าวได้ในระดับหนึ่ง
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังกล่าวด้วยว่า ในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ จะมีการประชุมคดีการลักลอบนำเข้ายาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน พร้อมทั้งมอบหมายให้นายสรรเสริญ ปาลวัฒน์วิไชย รองอธิบดีดีเอสไอ เดินทางไปตรวจสอบที่เขตปลอดอากร คลังสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งคาดว่าเป็นสถานที่ที่ลักลอบนำยาแก้หวัดเข้ามาในประเทศไทย โดยในวันนี้ได้มีการลงนามกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ทั้งประเทศเกาหลีใต้ และไต้หวัน เพื่อให้ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าก่อนที่ดีเอสไอจะเดินทางไปตรวจสอบ
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังกล่าวด้วยว่า ในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ จะมีการประชุมคดีการลักลอบนำเข้ายาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน พร้อมทั้งมอบหมายให้นายสรรเสริญ ปาลวัฒน์วิไชย รองอธิบดีดีเอสไอ เดินทางไปตรวจสอบที่เขตปลอดอากร คลังสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งคาดว่าเป็นสถานที่ที่ลักลอบนำยาแก้หวัดเข้ามาในประเทศไทย โดยในวันนี้ได้มีการลงนามกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ทั้งประเทศเกาหลีใต้ และไต้หวัน เพื่อให้ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าก่อนที่ดีเอสไอจะเดินทางไปตรวจสอบ