วันนี้ (16 ม.ค.) ตั้งแต่ 24.00 น. ผู้ค้าน้ำมันในประเทศทุกรายได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันขึ้นทั้งหมด ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ที่เห็นชอบให้เดินหน้าการดำเนินนโยบายปรับโครงสร้างราคาพลังงาน โดยทยอยเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของดีเซลลิตรละ 60 สตางค์ และกลุ่มเบนซินลิตรละ 1 บาท จากที่ก่อนหน้านี้ ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชน ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินเพิ่มขึ้นอีกลิตรละ 1 บาท 7 สตางค์ ยกเว้น E85 ลดลงลิตรละ 11 สตางค์ ส่วนน้ำมันดีเซลปรับขึ้นลิตรละ 64 สตางค์ ซึ่งการปรับโครงสร้างพลังงานใหม่นี้ จะส่งผลให้กองทุนลดภาระได้วันละ 53.62 ล้านบาท จากเดิมที่ติดลบวันละ 97.85 ล้านบาท
สำหรับก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ยังคงเป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีที่ระบุไว้ โดยจะปรับขึ้นราคาเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม ไปจนถึงเดือนเมษายนนี้ รวมเพิ่มขึ้น 2 บาท หลังจากนั้นจะเป็นข้อสรุปจากคณะทำงานร่วมศึกษาแนวทางการปรับขึ้นราคา ซึ่งเป็นตัวแทนจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี ส่วนราคาก๊าซแอลพีจี ภาคขนส่งปรับเพิ่มขึ้นเดือนละ 41 สตางค์ต่อลิตร ไปจนถึงเดือนธันวาคม รวมปรับเพิ่มขึ้น 4 บาท 92 สตางค์
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า การปรับโครงสร้างราคาดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากราคาแอลพีจีและเอ็นจีวี มีราคาจำหน่ายถูกกว่าต้นทุนที่แท้จริง โดยแอลพีจี ราคาควบคุมอยู่ที่ตันละ 333 ดอลลาร์ เมื่อรวมภาษีสรรพสามิต ภาษีอื่นๆ เงินกองทุนน้ำมัน ค่าการตลาด ราคาขายปลีกจึงอยู่ที่กิโลกรัมละ 18 บาท 13 สตางค์
สำหรับก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ยังคงเป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีที่ระบุไว้ โดยจะปรับขึ้นราคาเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม ไปจนถึงเดือนเมษายนนี้ รวมเพิ่มขึ้น 2 บาท หลังจากนั้นจะเป็นข้อสรุปจากคณะทำงานร่วมศึกษาแนวทางการปรับขึ้นราคา ซึ่งเป็นตัวแทนจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี ส่วนราคาก๊าซแอลพีจี ภาคขนส่งปรับเพิ่มขึ้นเดือนละ 41 สตางค์ต่อลิตร ไปจนถึงเดือนธันวาคม รวมปรับเพิ่มขึ้น 4 บาท 92 สตางค์
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า การปรับโครงสร้างราคาดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากราคาแอลพีจีและเอ็นจีวี มีราคาจำหน่ายถูกกว่าต้นทุนที่แท้จริง โดยแอลพีจี ราคาควบคุมอยู่ที่ตันละ 333 ดอลลาร์ เมื่อรวมภาษีสรรพสามิต ภาษีอื่นๆ เงินกองทุนน้ำมัน ค่าการตลาด ราคาขายปลีกจึงอยู่ที่กิโลกรัมละ 18 บาท 13 สตางค์