นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานเสวนา "จำนำ-ประกันราคา ฤาจะแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรไทย" จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ โดยย้ำว่ารัฐบาลมีนโยบายชัดเจนว่าจะไม่เปิดรับจำนำสินค้าภาคการเกษตรในลักษณะตั้งโต๊ะซื้อแพงและขายถูก
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสินค้าเกษตร 3 ชนิด เช่น ข้าว ข้าวโพด และมันสำปะหลัง รัฐบาลใช้เงินกว่า 140,000 ล้านบาทในการรับจำนำ ต้องเสียค่าบริหารจัดการเรื่องค่าเช่า ค่าดูแล ค่าเก็บรักษา และอื่น ๆ เป็นเงินจ่ายขาดกว่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งสตอกสินค้าเหล่านี้เมื่อขายออกไปเบื้องต้นจะขาดทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์เกือบ 25,000 ล้านบาท รัฐบาลจึงนำร่องประกันราคาสินค้าเกษตร 2 ชนิดคือ มันสำปะหลัง และข้าวโพด ส่วนข้าว คาดว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) วันนี้ (17 ก.ค.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน น่าจะได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าจะประกาศรับประกันราคาข้าวหรือไม่ อย่างไร
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การประกันราคาจะมีข้อดี คือ ประกันรายได้ขั้นต่ำของเกษตรกร พัฒนาศักยภาพ การผลิตและสร้างเสถียรภาพด้านราคาและการตลาด การประกันราคาจะทำให้เกษตรกรในระบบ 490,000 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการจดทะเบียนกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขายสินค้าได้ราคาดีขึ้น และหากราคาประกันต่ำกว่าราคาตลาดเล็กน้อย ทางรัฐบาลจะเข้าไปรับซื้อเพื่อนำไปส่งออกทันที ซึ่งเกษตรกรจะ ได้ส่วนต่างและไม่ถูกกดราคาเหมือนที่ผ่านมา ที่สำคัญการที่รัฐบาลซื้อจะทำให้เกษตรกรได้รับเงินจากภาครัฐโดยตรง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี อีกทั้งเพื่อป้องกันพ่อค้ากดราคา รัฐบาลจะประกาศราคาอ้างอิงทุก 15 วัน เพื่อให้เกษตรกรรู้ราคาแต่ละช่วง
ด้านนายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลจะใช้วิธีประกันราคาข้าวแทนรับจำนำ โดยส่วนตัวไม่ขัดข้อง แต่รัฐบาลจะต้องดูแลข้าว เนื่องจากขณะนี้เหลือเวลาไม่เกิน 2 เดือนจะเข้าสู่ฤดูการผลิตข้าวเปลือกนาปีฤดูการผลิตปี 2552/2553 แต่ขั้นตอนและกระบวนการต่าง ๆ ในการประกันราคาข้าวยังไม่มีความพร้อม ทั้งบุคลากร การประกาศขึ้นทะเบียนเกษตรกรปลูกข้าว ซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจจากกรมวิชาการเกษตร และ ธ.ก.ส. คาดจะใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน และข้าวนาปีจะออกสู่ตลาดปลายปีนี้ จึงอยากเสนอให้รัฐบาลเลื่อนการประกันราคาข้าวและใช้การรับจำนำเหมือนเดิม แม้ภาครัฐมองว่าระบบจำนำจะมีช่องโหว่ก็ให้อุดช่องโหว่เหล่านั้น
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสินค้าเกษตร 3 ชนิด เช่น ข้าว ข้าวโพด และมันสำปะหลัง รัฐบาลใช้เงินกว่า 140,000 ล้านบาทในการรับจำนำ ต้องเสียค่าบริหารจัดการเรื่องค่าเช่า ค่าดูแล ค่าเก็บรักษา และอื่น ๆ เป็นเงินจ่ายขาดกว่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งสตอกสินค้าเหล่านี้เมื่อขายออกไปเบื้องต้นจะขาดทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์เกือบ 25,000 ล้านบาท รัฐบาลจึงนำร่องประกันราคาสินค้าเกษตร 2 ชนิดคือ มันสำปะหลัง และข้าวโพด ส่วนข้าว คาดว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) วันนี้ (17 ก.ค.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน น่าจะได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าจะประกาศรับประกันราคาข้าวหรือไม่ อย่างไร
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การประกันราคาจะมีข้อดี คือ ประกันรายได้ขั้นต่ำของเกษตรกร พัฒนาศักยภาพ การผลิตและสร้างเสถียรภาพด้านราคาและการตลาด การประกันราคาจะทำให้เกษตรกรในระบบ 490,000 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการจดทะเบียนกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขายสินค้าได้ราคาดีขึ้น และหากราคาประกันต่ำกว่าราคาตลาดเล็กน้อย ทางรัฐบาลจะเข้าไปรับซื้อเพื่อนำไปส่งออกทันที ซึ่งเกษตรกรจะ ได้ส่วนต่างและไม่ถูกกดราคาเหมือนที่ผ่านมา ที่สำคัญการที่รัฐบาลซื้อจะทำให้เกษตรกรได้รับเงินจากภาครัฐโดยตรง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี อีกทั้งเพื่อป้องกันพ่อค้ากดราคา รัฐบาลจะประกาศราคาอ้างอิงทุก 15 วัน เพื่อให้เกษตรกรรู้ราคาแต่ละช่วง
ด้านนายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลจะใช้วิธีประกันราคาข้าวแทนรับจำนำ โดยส่วนตัวไม่ขัดข้อง แต่รัฐบาลจะต้องดูแลข้าว เนื่องจากขณะนี้เหลือเวลาไม่เกิน 2 เดือนจะเข้าสู่ฤดูการผลิตข้าวเปลือกนาปีฤดูการผลิตปี 2552/2553 แต่ขั้นตอนและกระบวนการต่าง ๆ ในการประกันราคาข้าวยังไม่มีความพร้อม ทั้งบุคลากร การประกาศขึ้นทะเบียนเกษตรกรปลูกข้าว ซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจจากกรมวิชาการเกษตร และ ธ.ก.ส. คาดจะใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน และข้าวนาปีจะออกสู่ตลาดปลายปีนี้ จึงอยากเสนอให้รัฐบาลเลื่อนการประกันราคาข้าวและใช้การรับจำนำเหมือนเดิม แม้ภาครัฐมองว่าระบบจำนำจะมีช่องโหว่ก็ให้อุดช่องโหว่เหล่านั้น
