เติมศักดิ์- สวัสดีครับ คุณผู้ชมครับ อย่างที่ทราบกันดีนะครับว่า ปัญหาบ้านเมืองขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ถ้าแก้ปัญหาโดยที่เอาผลประโยชน์ของนักการเมืองเป็นตัวตั้ง หรือที่เรียกว่าเป็นการเมืองแบบเก่านั้น ก็อาจจะมีข้อจำกัด หรือทำให้แก้ปัญหาเหล่านั้นไม่ได้เลย รายการคนในข่าว ตั้งแต่วันนี้ เราจะเริ่มมาทบทวนและตั้งประเด็นกันว่า ในแต่ละปัญหาที่เราเผชิญหน้ากันอยู่ในขณะนี้ ทำไมการเมืองเก่าถึงแก้ไม่ได้ แล้วถ้าใช้มุมมองใหม่ๆ หรือถ้าเป็นการเมืองใหม่ มันจะมีทางออกอย่างไรบ้าง คุณผู้ชมเองก็มีส่วนในการที่จะตั้งคำถามและร่วมกันค้นหาคำตอบนะครับ วันนี้เราจะประเดิมกันด้วยเรื่อง รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน เราจะมาทบทวนกันว่า ความไม่ชอบมาพากลของโครงการนี้อยู่ตรงไหนบ้าง แล้วถ้าจัดการปัญหานี้แบบการเมืองใหม่ หรือด้วยมุมมองใหม่ๆ จะมีทางออกอย่างไรบ้าง แล้วเราจะเลยไปถึงวิสัยทัศน์ ภาพรวมของระบบขนส่งในกรุงเทพฯ ควรจะเป็นอย่างไร
วันนี้เราได้รับเกียรติจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล มาพูดคุยกับเรานะครับ สวัสดีครับคุณสนธิครับ
สนธิ- สวัสดีครับคุณเติมศักดิ์ครับ
เติมศักดิ์- เรื่องรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ผมขอเริ่มด้วยประเด็นความไม่ชอบมาพากล เราควรจะจับตามองในประเด็นไหนบ้าง คุณสนธิครับ
สนธิ- เรื่องรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน มันมีที่มาที่ไป คุณเติมศักดิ์ครับ ผมอยากจะเล่าประวัติสักนิดหนึ่ง
ย้อนหลังไปประมาณต้นปี 2549 ตอนที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประท้วงอยู่ ผมจำได้ว่าเราประท้วงอยู่ที่สนามหลวง ในช่วงนั้นผมจำได้มีการขึ้นเวที แล้วก็บอกว่าในขณะนี้รัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังจะเสนอสั่งเข้ารถเมล์ 4,000 คัน เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่ จริงๆแล้ววางแผนมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว แต่เท่าที่ผมทราบ พอประเด็นนี้ถูกประทุออกมา ทางฝ่ายรัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็เลยชะลอโครงการ เพราะเขาไม่อยากจะเปิดแนวรบให้มากนัก หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป 19 กันยายน คุณทักษิณ ต้องลี้ภัยออกไป จาก 19 กันยายน จนกระทั่งต่อไปจนถึงปี 2550 ก็เป็นช่วงของ คมช. รถเมล์ก็ไม่ได้เกิด เริ่มมีบทบาทอีกครั้งตอนที่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล โดยการนำเสนอของคุณสมัคร สุนทรเวช ตอนนั้น
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน มันเป็นกระบวนการที่มีมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องมาพรรคพลังประชาชน และต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยตอนที่คุณสมชายเข้ามา คุณสมชายถูกยุบแล้วพรรคเพื่อไทย แล้วก็พรรคภูมิใจไทยก็รับช่วงต่อไป ทำไมพรรคภูมิใจไทยรับช่วงต่อไป เพราะว่า กลุ่มคนซึ่งทำอยู่ในพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชาชน ไทยรักไทย เป็นกลุ่มคนเดียวกันหมดเลย เป็นเพียงแต่ว่าตอนนี้มีการตัดตอนแล้ว ตัดตอนคือ เมื่อพรรคภูมิใจไทยหนีออกมาอยู่กับพรรดประชาธิปัตย์แล้ว ผลประโยชน์ซึ่งควรจะได้กับคนบางคนในพรรคเพื่อไทยก็หมดไป เขาก็โอนผลประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้มายังพรรคภูมิใจไทย ด้วยเหตุนี้พรรคเพื่อไทยถึงพร้อมที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน เพราะตัวเองหมดขนมไปแล้วตอนนี้
เรื่องรถเมล์ วันนี้ผมมาในฐานะเป็นตัวแทนของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมได้รับฉันทามติจากทาง คุณจำลอง ศรีเมือง คุณพิภพ ธงไชย คุณสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และคุณสมศักดิ์ โกศัยสุข
เติมศักดิ์- เพราะสังคมอยากรู้ว่า พันธมิตรฯ คิดเรื่องนี้อย่างไร มีจุดยืนอย่างไร
สนธิ- คือพวกเราต้องแถลงอย่างเป็นทางการวันนี้โดยผ่านผมนะครับ ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยผ่านแกนนำนั้น ไม่เห็นด้วยกับการจะเช่าหรือแม้กระทั่งจะซื้อรถเมล์ ไม่เอาทั้ง 2 อย่าง
เติมศักดิ์- เช่าหรือซื้อ
สนธิ- ไม่ได้เลย เพราะว่ากระบวนการที่เอารถเมล์ 4,000 คันเข้ามานี้ เป็นกระบวนการที่ส่อไปในทางฉ้อฉลและไม่สมเหตุสมผล ไม่มีตรรกะ ในขณะนี้สิ่งที่เราไม่ต้องการคือ รถเมล์ 4,000 คัน แต่สิ่งที่เราต้องการคือ เราต้องการระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และที่สำคัญที่สุดก็คือว่า คนซึ่งจำเป็นจะต้องแบกรับภาระของค่าใช้จ่ายของระบบขนส่งมวลชนนั้น จะต้องเป็นคนซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ คนที่มีรถยนต์ต้องใช้รถ ใช้ถนนมากกว่าชาวบ้านเขา ต้องเสียภาษีพิเศษ ยกตรงนั้นเอาไว้ช่วงหลังที่เราจะคุยกัน
ความไม่ชอบมาพากลของรถเมล์นี้ มันมีเยอะแยะไปหมด ทำไมต้องเช่ารถเมล์ตั้ง 10 ปี ASTV เช่ารถเก๋ง ที่จะมาทำข่าว เราเช่าปีต่อปี ขนาดปีต่อปี พอรถเสียเขาก็เปลี่ยนให้เรา รถชนเขาก็เปลี่ยนให้เรา นอกจากนั้นแล้ว ถ้าใช้ไปจนครบ 3 ปีแล้ว ไม่เสีย ไม่ชน หรือเขาเปลี่ยนให้แล้ว เขาก็จะเปลี่ยนรถคันเก่าของเราออกไปเลย แล้วเอาคันใหม่มาให้ ในราคาค่าเช่าที่ตายตัว ชัดเจน เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้า ASTV ต้องไปเช่ารถ แล้วมีสัญญาผูกพันกัน 10 ปี ไม่มีบริษัทเอกชนไหนเขาทำกันหรอก เพราะนั่นคือการฆ่าตัวตาย เพราะว่าการเช่ารถ บริษัทรถยนต์ที่ให้เช่า เขาต้องมีค่าเสื่อม รถยนต์คันหนึ่ง วัสดุคันหนึ่ง ค่าเสื่อม 5 ปี ปีละ 20 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่ารถคันหนึ่งพอครบ 5 ปี ค่าเสื่อมเป็น 0 ถามว่าค่าเสื่อมหมดแล้วเป็น 0 ในการเช่านั้น บริษัทรถที่ให้เช่าจะต้องเอารถใหม่เข้ามาแทน จะมาใช้ซากเก่าต่ออีก 1 0ปี ไม่ได้
ถ้าท่านผู้ชม หรือคุณเติมศักดิ์เคยขึ้นรถเอ็นจีวีสีเหลือง ถ้าเคยขึ้นผมจะแนะนำอย่าง เวลาคุณขึ้นรถเอ็นจีวีสีเหลือง คุณเคยสังเกตไหมว่าเวลาสตาร์ท และเข้าเกียร์ 1 มันสั่นทั้งคันเลยนะ นี่ขนาดรถใหม่ปีแรกนะ แล้วถ้าคุณใช้ไปสัก 4 - 5 ปี มันไม่เจ๊งเหรอ มันไม่พังทลายเหรอ นั่นคือข้อที่ 1
ข้อที่ 2 โครงการรถเมล์ คุณโสภณ อ้างตลอดเวลาว่าทำรายได้ ทำให้ ขสมก.กำไร เมื่อผมคำนวณกำไรที่คุณโสภณ ซารัมย์ ว่าไว้แล้ว เมื่อคำนวณเบ็ดเสร็จย้อนกลับมาแล้ว จะทำให้ ขสมก.กำไรเบ็ดเสร็จแสนกว่าล้าน ระยะ 10 ปี ผมไม่อยากจะว่าคุณโสภณ ซารัมย์ เพ้อเจ้อ แต่ผมขอเรียนว่าตัวเลขนี้ถูกสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานให้โครงการนี้เป็นไปได้ ตัวเลขนี้สร้างขึ้นบนฟองสบู่ ไม่มีอะไรมารองรับเลย
เติมศักดิ์- ไม่สมเหตุสมผลเลย
สนธิ- ไม่มีครับ เหตุผลอะไรก็ไม่มี ทีนี้ผมก็จถามต่อ การลดราคารถเมล์ คุณลดราคาเป็น 64,000 ล้าน ลดที 5,000 ล้าน คุณอุปมาอุปไมยเหมือนไปซื้อของแถวคลองถม คุณพอใจจะลดให้ที 5,000 ล้าน คุณเลดเลย คำถามก็มีอยู่ว่า ประชาชนที่สนใจก็มีอยู่ว่า ก็แสดงว่า 5,000 ล้านที่คุณลด คุณลดแล้วคุณยังมีกำไรอีกใช่ไหม ใครมีกำไร บริษัทรถที่ลดให้ 5,000 ล้าน มันมีกำไรใช่ไหม ส่วนกำไรนั้นจะไปจ่ายนักการเมืองเท่าไหร่ไม่ว่ากัน คำถามก็มีอยู่ว่า แสดงว่าถ้า ครม.มีมติผ่านให้ตั้งแต่ 69,000 ล้าน คุณก็กำไรเพิ่มอีก 5,000 ล้านใช่ไหม นี่คุณยอมตัด 5,000 ล้านออกไป แล้วคุณยังขายของได้ แสดงว่าที่ 64,000 ล้าน คุณก็ยังมีกำไร แล้วถ้าบวกอีก 5,000 ล้าน คุณลดไปแล้ว เดิมทีสมมุติจับไม่ทัน โครงการนี้กำไรหมื่นกว่าล้าน หมื่นกว่าล้านผมยืนยันได้ว่าต้องเข้ากระเป๋านักการเมืองแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้คือการเมืองเก่า มันไม่หมดไม่สิ้นซะที นะครับคุณเติมศักดิ์
แล้วอีกประการหนึ่งคุณเติมศักดิ์ รายได้ของรถ รถเมล์ คุณเติมศักดิ์ รถเมล์คือสาธารณูปโภค ไม่เคยมีขนส่งมวลชนที่ไหนในโลกนี้ที่มีกำไร คุณไปดูได้ ไม่ว่าจะเป็นสับเวย์ ที่นิวยอร์ก ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการรถเมล์ที่เมืองต่างๆ ขาดทุนทั้งสิ้น รัฐบาลจะต้องเอามาชดเชย จะชดเชยด้วยวิธีใดก็ตาม แต่ทีนี้คุณโสภณ ซารัมย์ มาตั้งเป้าไว้ว่า รถเมล์ต้องมีกำไร เมื่อรถเมล์ต้องมีกำไรแล้ว ก็เอาผลกำไรของตัวเองตั้งเอาไว้ แล้วมาคำนวณย้อนหลังว่า เพราะฉะนั้นแล้วค่าเช่ารถเมล์ต้องเท่านี้ นั่นก็คือว่า เอาผลกำไรซึ่งมันเป็นเรื่องที่เพ้อฝันมาตั้งแล้วย้อนกลับมาเพื่อตั้งค่าเช่าให้มันสูง เพื่อจะได้มีส่วนต่างค่าเช่านี้มาแบ่งปันกัน ระหว่างผู้ประกอบการรถเมล์ เจ้าของรถเมล์ และในที่สุดที่สำคัญที่สุดคือ นักการเมือง
ผมคิดว่าโครงการแต่ละโครงการ คุณเติมศักดิ์ ในอดีต การคอร์รัปชั่นมีอยู่ 3 ประเภท ประเภทแรกของการคอร์รัปชั่น คือว่า 1. คอร์รัปชั่นการจัดซื้อ สมมุติคุณจัดซื้อคอมพิวเตอร์ 1,000 เครื่อง เขามีเปอร์เซ็นต์แบ่งให้ 10 เปอร์เซ็นต์ จาก 1,000 เครื่อง 10 เปอร์เซ็นต์ 5 เปอร์เซ็นต์ ให้นักการเมือง 3 เปอร์เซ็นต์ ให้คณะกรรมการที่พิจารณา อีก 2 เปอร์เซ็นต์ให้เจ้าหน้าที่ที่ทำ เป็นปกติที่ทำกันมานานแล้วในประเทศไทย เป็นสิบๆ ปี ผมไม่ได้พูดว่าดี แต่ผมกำลังเล่าให้ฟัง การก่อสร้างสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นโครงการสร้างถนน 3 เปอร์เซ็นต์ 5 เปอร์เซ็นต์ แล้วแต่วงเงิน ตัวเงินก้อนนี้ถูกพลิกผันไปในยุคที่พรรคไทยรักไทยเข้ามา เพราะมีความโลภมากขึ้น มีอำนาจทางการเมืองมากขึ้น เพราะฉะนั้นจากที่เคยมีคอมมิชชั่น 5 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์ ก็กลายเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ 30 เปอร์เซ็นต์ บางตัว บางโครงการ ผู้รับเหมายอมจ่ายเงินเข้าไปก้อนใหญ่ เมื่อจ่ายเงินไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตัวเองทำงานต้องขาดทุนแน่ แต่ได้รับการชดเชยจากบันทึกต่อท้ายสัญญา เพิ่มงานให้ทีหลังโดยไม่ต้องประมูล อันนั้นคืออันแรก ซื้อเครื่องบิน คุณซื้อแอร์บัส คุณซื้อโบอิ้ง เขามีค่าคอมมิชชั่นให้ 3 เปอร์เซ็นต์ อันนี้เป็นที่เข้าใจกัน ถึงแม้ว่าไม่เป็นเรื่องที่ควรจะทำ แต่เป็นที่เข้าใจกัน นี่คือการคอร์รัปชั่น
การคอร์รัปชั่นอันที่ 2 คือการเอานโยบายออกมา เหมือนกับนโยบายที่คุณทักษิณทำ คือเอานโยบายเสียภาษีสรรพสามิต ให้กับบริษัทมือถือเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องเสียค่าสัมปทานมากขึ้น
เติมศักดิ์- คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย
คุณสนธิ- แต่การจะทำคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายได้ เจ้าตัว หรือรัฐบาล หรือคุณทักษิณ จะต้องมีธุรกิจของตัวเองอยู่แล้ว ที่จะมารองรับนโยบายนี้เพื่อที่ตัวเองจะได้รับ แต่มาในยุคนี้ คุณทักษิณ ไม่อยู่แล้ว พรรคภูมิใจไทย พรรคอื่น ไม่มีใครมีธุรกิจ เพราะฉะนั้นคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายจะยังไม่เกิดขึ้น แต่จะกลายเป็นคอร์รัปชั่นเชิงโครงการ คือคิดโครงการขึ้นมา วิธีคิดก็คือว่า คิดว่าโครงการนี้ทำอย่างไรที่จะได้เงินเยอะๆ สมมติว่าต้นทุนของรถเมล์จริงๆ ถ้าซื้อมันหมื่นกว่าล้าน ตีซะว่าถ้าซื้อหมื่นล้าน ถ้าเขาบอกว่าถ้าคอร์รัปชั่นสักหมื่นล้าน สัก 10 เปอร์เซ็นต์ แบ่งออกไปแล้วนักการเมืองได้ 5 เปอร์เซ็นต์ คือ 500 ล้าน เขาบอกว่ามันน้อยไป ถ้ามันน้อยไป ต้องใช้วิธีไหน เช่าซื้อก็ไม่ดี เช่าดีกว่า เพราะว่าเช่ามันกินหลายต่อ
เติมศักดิ์- มันบอกนั่นบวกนี่
คุณสนธิ- มันบอกได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งการซ่อมแซม พอเช่ามา รถใหม่เอี่ยมคันแรก ตั้งแต่วันแรกเลยต้องเสียค่าซ่อมแล้ว กิโลเมตรละ 7.50 บาท ผมว่าคนที่คิดประเด็นอย่างนี้ ดูถูกคนไทยไปมาก เพราะถ้าคุณเติมศักดิ์ ต้องนั่งรถเมล์แล้วเสียค่าเดินทางกิโลเมตรละ 7.50 บาท ตายแล้วนะ แล้วพวกนี้ตั้งประเด็นว่า ล้อต้องหมุน แล้ววันหนึ่งต้องทำรายได้หมื่นกว่าล้าน คือสรุปง่ายๆว่าโครงการรถเมล์เอ็นจีวี เป็นโครงการที่ฉ้อฉล มีโอกาสของการคอร์รัปชั่นสูง และไม่โปร่งใส ไม่มีธรรมาภิบาลเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วสังเกตอะไรอย่างไหม ทำไมคุณโสภณ ซารัมย์ และพรรคภูมิใจไทยพูดตลอดเวลาว่า ต้องเช่าอย่างเดียว ที่บอกว่าต้องเช่าอย่างเดียว เพราะว่าได้มีการวางมัดจำค่ารถเมล์เอาไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วรถเมล์บางส่วนก็ขนเข้ามาอยู่ในท่าเรือแล้ว แล้วก็ทยอยขนออกไปเมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี่เอง
ผมมีหลักฐานครับ ที่ท่าเรือกรุงเทพฯ มีรถเมล์เอ็นจีวีมาจอดพักรถแผนกรถยนต์ หลังโกดังคลังสินค้า 6 ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน 2522 เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน จนถึงต้นมิถุนายน มากวก่า 200 คัน ซึ่งใช้วิธีนำเข้ามาเป็นล็อต ล็อตละ 10 - 20 คัน แล้วทยอยออกไป พร้อมกับนำเข้ามาจำนวนเท่ากันเพื่อแทนกับคันเก่าที่เอาออก ปัจจุบันรถเมล์พวกนี้ไม่มีแล้ว เอาไปซ่อนไว้ที่อื่น พนักงานที่การท่าเรือฯ ที่พบเห็นระบุชัดว่า เป็นรถที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ตกแต่งทุกอย่างให้พร้อมใช้งานในเมืองไทยได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นสีรถ สีเหลือง หมายเลขประจำเส้นทาง เช่น ปอ.29, ปอ.9, ปอ.525, ปอ.5, ปอ.8 ติดป้ายไว้เรียบร้อยเลย
เติมศักดิ์- พร้อมใช้งานเลย
สนธิ- พร้อมใช้งานครับ สั่งมาจากเมืองนอก แสดงว่าได้วางแผนกันเรียบร้อยแล้วว่าโครงการนี้ต้องผ่าน ครม. อย่างแน่นอน เงินลงขันกันเพื่อไปวางมัดจำรถให้ส่งเข้ามา ส่วนหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของรถเมล์ที่ได้รับอนุมัติล็อตแรก 2,000 คัน
เติมศักดิ์- จาก 4,000 คัน
สนธิ- จาก 4,000 ก่อนจะเหลืออีก 4,000 คัน ที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติจาก ครม. แล้วจะมีรถเมล์ประเภทนี้เข้ามาที่แหลมฉบัง แต่นำเข้ามาในพื้นที่ท่าเรือเอกชน ซึ่งได้แบ่งให้สัมปทานหลังชนะประมูล เช่น A3, A4 ที่มีพื้นที่รองรับรถประเภทดังกล่าวได้มากกว่า ที่ท่าเรือแหลมฉบัง มีรถเมล์ที่ใช้แก๊สธรรมชาติ 25 คัน มาถึงท่าเรือแหลมฉบัง เมื่อวันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม 2551 จอดพักอยู่ที่ท่าเรือ A5 ท่าเรือแหลมฉบัง โดยชื่อบริษัท เบสท์ ลิน กรุ๊ป เป็นผู้นำเข้าด้วยเรือท็อปปิก้า ซึ่งรถ 25 คันนี้ตามภาพถ่าย ไม่รู้มีภาพถ่ายไหมครับ ผู้นำเข้าอ้างว่า นำเข้าเพื่อมาเป็นตัวอย่างให้ชม จากโครงการจัดหารถเมล์เช่าแก๊สธรรมชาติเอ็นจีวี 6,000 คัน ขององค์การขนส่งมวลชน รถเมล์ทั้งหมดถูกขนย้ายออกจากท่าเรือไปแล้วคุณเติมศักดิ์จะเห็นได้ชัดว่า ครม.ยังไม่ได้อนุมัติ
คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ บอกว่า ทีโออาร์ยังหาไม่เจอ แต่สั่งรถเมล์เข้ามาแล้ว นี่คือการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 69,000 ล้าน ในยุคสมัยที่ประเทศไทยยากจน ต้องกู้เงินมา 800,000 ล้าน เพื่อเอามาใช้จ่าย ทุกคนลำบากหมด แต่ว่านักการเมืองขี้ฉ้อ ฉ้อฉล ยังไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สนใจอย่างเดียว ทำไมจะต้องเอาเงินเยอะๆ คุณเติมศักดิ์
เติมศักดิ์- เลือกตั้งรึเปล่าครับ
สนธิ- เลือกตั้ง จะได้เอาเงินไปซื้อเสียง ที่ผมต้องพูดนิดหนึ่งนะครับคุณเติมศักดิ์ แล้วผมอยากจะฝากไปถึงท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมทั้งรัฐบาลชุดนี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ จากวันแรกที่พรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาลจนถึงวันนี้ ผมยังไม่เคยเห็นความพยายามของรัฐบาลชุดนี้ที่จะต่อสู้ ดิ้นรน หาหนทางให้การเลือกตั้งใสสะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากการซื้อเสียง ไม่ได้หามาตรการใดๆ ทั้งสิ้นเลย
เติมศักดิ์- ยังไม่เห็นเลย
สนธิ- ไม่มีเลย ไม่มีการพูดเลยว่าจะทำอย่างไรให้การเลือกตั้งงวดหน้าใช้เงินน้อยที่สุด ไม่ได้พูดเลยว่าจะมีการควบคุมไม่ให้มีการโกงอย่างไร ไม่ได้พูดเลยว่าเจ้าหน้าที่จะเป็นอย่างไร พูดแต่ว่า จะให้พรรคภูมิใจไทยย้ายตำรวจไปอยู่ที่นั่นย้ายผู้ว่าไปอยู่ที่นี่เพื่อผลของการเลือกตั้ง
เติมศักดิ์- ปูทางไว้เรียบร้อย
สนธิ- ปูทางไว้เรียบร้อย เพราะฉะนั้นแล้ว ผมกำลังเกรงอย่างนี้ ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ท่านเป็นสุภาพบุรุษ ท่านต้องระวังเอาไว้ ถ้าท่านไม่ดำเนินการให้การเลือกตั้งซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ โปร่งใส แล้วถ้าท่านปล่อยให้พรรคร่วมรัฐบาล ฉ้อราษฎร์บังหลวง คตโกงตลอด ด้วยโครงการต่างๆ แล้วท่านสมรู้ร่วมคิดโดยที่ท่านอึดอัดใจมากแต่ท่านไม่กล้าแสดงออก เพื่อที่จะให้พวกนี้ได้เงินไป แล้วเสร็จเรียบร้อยพวกนี้ก็เอาเงินไปซื้อเสียง คำถามมีอยู่อย่างนี้ว่า ถ้าอย่างนั้นประเทศไทย การเลือกตั้งคือเอาเงินเป็นตัวตั้งใช่ไหม ถ้าเอาเงินเป็นตัวตั้งแล้วประเทศไทยก็ต้องมีการประมูลด้วยเงิน
เติมศักดิ์- เหมือนกับประมูลประเทศเลย
สนธิ- เหมือนกับประมูลประเทศไปเลย เพราะฉะนั้นคนพวกนี้เขามองชัดไงครับว่ารถเมล์ ผมจะบอกให้รู้ รถเมล์ 4,000 คัน 69,000 ล้าน ผมว่าได้ประมาณ 10,000 กว่าล้าน 10,000 กว่าล้านซื้อประเทศไทยได้ทั้งประเทศ ทางอีสานซื้อได้หมดเลย
เติมศักดิ์- โดยผ่านการซื้อเสียง
สนธิ- ผ่านการซื้อเสียง ผ่านการเอาตำแหน่งข้าราชการของตัวเอง เอาผู้ว่าไปวางตรงนี้จังหวัดนี้ เอาตำรวจไปลงตรงนั้นลงตรงนี้เสร็จเรียบร้อย ประเทศไทยมันจบไปแล้ว คุณเติมศักดิ์ แบบนี้ มันไม่มีที่พึ่ง การเมืองเก่าคือการเมืองที่ทำร้ายทำลายประเทศไทย แล้วก็ไม่มีวันทำให้สังคมไทยได้ผุดได้เกิด
เติมศักดิ์- แล้วการที่คุณอภิสิทธิ์ หรือ ครม.ตีกลับไปให้สภาพัฒน์ศึกษา 1 เดือน สุดท้ายแล้วมันจะเป็นอย่างไร คุณสนธิ
สนธิ- ผมไม่ไว้ใจสภาพัฒน์ ที่ผมไม่ไว้ใจสภาพัฒน์ก็ด้วยความเคารพในตัวท่านเลขาธิการสภาพัฒน์ คุณอำพน กิตติอำพน คือผมเป็นนักประวัติศาสตร์ เวลาผมดูเหตุการณ์ผมจะดูที่คน แล้วผมจะดูประวัติคน คุณอำพน กิตติอำพน อดีตเคยอยู่กระทรวงเกษตร เดินตามคุณเนวิน ชิดชอบ ตลอด และพูดได้เลยว่า ได้ดิบได้ดีมาก็เพราะว่าคุณเนวิน ชิดชอบ ด้วยเหตุนี้ คุณอำพน กิตติอำพน ถึงถูกแต่งตั้งมาเป็นประธานบอร์ดการบินไทย คุณอำพน กิตติอำพน โดยพื้นฐานเป็นคนดี แต่ผมไม่ไว้ใจว่า ความสนิทสนมกับคุณเนวิน ซึ่งคนก็รู้ว่าคุณเนวินก็คือคนที่ชักใยพรรคภูมิใจไทยอยู่ ทุกคนที่อยู่ในภูมิใจไทยจะต้องฟังคุณเนวิน คุณโสภณ ซารัมย์ ก็เป็นคนของคุณเนวิน แม้แต่รัฐมนตรีช่วยเกษตรคนใหม่ก็เป็นคนของคุณเนวิน เพราะฉะนั้นแล้ว การที่เอาสภาพัฒน์เข้ามาเป็นตัวพิจารณานั้น ผมคิดว่าเป็นการฟอกอย่างชัดเจนที่สุด ที่สำคัญ ที่สภาพัฒน์ทำน่าเกลียดมาก ก็คือว่า เมื่อกระทรวงคมนาคมส่งเรื่องของรถเมล์เข้าไปให้สภาพัฒน์แล้ว แทนที่สภาพัฒน์จะพิจารณาทันที แล้วบอกว่าที่ส่งมาใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วโครงการนี้ไม่ควรให้เกิด หรือไม่ควรให้เช่า กับส่งกลับไปบอกว่า ไปแก้ตัวเลขมาซะ ไปทำมาซะใหม่ คล้ายๆ บอกว่า ทำข้อสอบส่งมาแล้วข้อสอบทำไม่ถูก นึกออกไหมครับ ถ้ายังขืนส่งมาอย่างนี้จะให้สอบตกนะ ส่งกลับไป ด้วยความเคารพ ผมคิดว่า สภาพัฒน์กำลังทำลายชื่อเสียงตัวเอง ที่ผมกังวลคือ ก่อนหน้านั้น คุณอำพน กิตติอำพน ได้เข้าไปพบผู้ใหญ่ในรัฐบาล 2 คน นั่งคุยกันเป็นชั่วโมง ผมเข้าใจว่า ส่วนหนึ่งของการคุยก็คือ หาทางให้สภาพัฒน์เอาตรายางประทับ
เติมศักดิ์- โครงการนี้
สนธิ- โครงการนี้ ว่าผ่านสภาพัฒน์แล้ว แล้วคุณโสภณและทุกคนจะชอบพูดว่า สภาพัฒน์ผ่านให้เรียบร้อยแล้ว สภาพัฒน์ผ่านให้เรียบร้อยแล้ว วิธีทำโครงการ คุณโสภณบอกว่า สถาบันพระปกเกล้าเขาทำวิจัยมาเรียบร้อยแล้ว ผมถามคุณเติมศักดิ์ สถาบันพระปกเกล้าเป็นสถาบันทางการเมืองไม่ใช่สถาบันวิจัย
เติมศักดิ์- ก็อยู่ในสังกัดรัฐสภา
สนธิ- รัฐสภา ซึ่งคุณชัย ชิดชอบ ประธานสภา เป็นหัวหน้า เป็นประธานของสถาบันพระปกเกล้า
เติมศักดิ์- แล้ว ชัย ชิดชอบ ก็เป็นบิดาของคุณเนวิน ชิดชอบ
สนธิ- เพราะฉะนั้นแล้วผมยืนยันกับพ่อแม่พี่น้องได้เลยว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยืนยันว่า โครงการนี้ อย่าว่าแต่เช่าเลย ซื้อก็ยังไม่เห็นด้วย ทำไมซื้อถึงไม่เห็นด้วย
เติมศักดิ์- เพราะอะไรครับ
สนธิ- เหตุผลง่ายนิดเดียวครับ เพราะว่าในขณะนี้ ปริมาณที่คนนั่งรถเมล์ ถ้าเช็กให้ดีๆ แล้วมันไม่ได้มากตามที่เขาบอก ข้อที่ 2. ทำไมรัฐบาลถึงไม่คิดให้ ขสมก. เป็นผู้กำกับดูแลขนส่งมวลชนที่อยู่บนพื้นดิน โดยการตัดให้สัมปทานเอกชนเขาไปทำ มันไม่ยากเลย ขนส่งมวลชนที่ตัดไปให้เอกชนทำนั้น สามารถตัดได้ ถ้าคุณตัดไปแล้วเอกชนทำ เอกชนตั้งราคาเท่าไหร่ คุณมีคณะกรรมการ ซึ่งมีภาคประชาชนเข้าไปร่วมด้วย นักหนังสือพิมพ์เข้าไปร่วมด้วย ข้าราชการเข้าไปร่วมด้วย แล้วพิจารณาว่าราคาอันนี้มีเหตุมีผลไหม ผมคิดว่าเอกชน เขาทำรถเมล์ เขาทำแล้วเขามีกำไร ในขณะเดียวกัน เขาสร้างคุณภาพได้
คุณเติมศักดิ์ครับ รถเมล์ทุกวันนี้ 3,000 กว่าคันในกรุงเทพฯ ยังบริหารจัดการไม่ได้ มา 4,000 คันแล้ว ขาย 3,000 กว่าคันไป แล้วที่บอกขาย 3,000 กว่าคัน มีแผนการขายให้ดูไหม จริงๆ แล้วคุณจะขาย 3,000 กว่าคันทิ้ง แล้วคุณเอา 4,000 คันมา คุณต้องเอาแผนการขาย 3,000 คัน ประกอบกับโครงการที่คุณจะซื้อ 4,000 คันเข้ามาด้วย คุณต้องประกอบให้เห็นชัด ว่าคุณจะขาย 3,000 คัน คุณจะขายคันละเท่าไหร่ คุณขายให้ใคร แล้วเงินจะเข้ามาเป็นระยะแบบไหน 3,000 กว่าคันของคุณนั้น คุณจะขายเดือนละกี่คัน 4,000 คัน คุณจะเข้ามาเดือนละกี่คัน มาทดแทนกันอย่างไรบ้าง เพื่อไม่ให้รถเมล์ขาด แผนการพวกนี้ไม่เห็นเลย มีอยู่อย่างเดียวคือจะเช่า
เติมศักดิ์- เพราะเช่าได้ตังมากกว่า
สนธิ- ได้ตัง แล้วทิ้งเลย แล้วผมเรียกร้องให้เปิดเผยให้ดูสัญญา เพราะสัญญาตลกมาก ถ้าผมเดาไม่ผิด มีอยู่ช่วงหนึ่งบอกว่า แก๊สเอ็นจีวี คิดเท่านี้ๆ แต่ผ่านไปจำนวนปีสองปีแล้ว ให้ขึ้นราคาแก๊สเป็นเท่านี้ๆ ก็คือสรุปง่ายๆว่า ทั้ง ปตท. เอ็นจีวี และผู้บริหารรถเมล์ ทั้งนักการเมือง รวมหัวกันเหยียบประชาชน ให้ประชาชนเป็นคนแบก เราต้องเสียภาษี เอาภาษีไปแบกเรื่องการเช่ารถเมล์ แล้วก็ยังต้องจ่ายค่าแก๊สเอ็นจีวีให้แพงขึ้นกว่าเดิม ระยะแรกๆถูก แต่หลังๆ ก็จะต้องแพงขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว โครงการนี้เป็นโครงการอภิมหากาพย์ของการฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่ได้ด้อยไปกว่าสนามบินสุวรรณภูมิแม้แต่นิดเดียว ที่น่าสนใจคือมาจากกระทรวงเดียวกัน คือกระทรวงคมนาคม
ผมมีความรู้สึกของผมอย่างนี้ ผมเสียใจ และผมเห็นว่าชาติบ้านเมืองมันบอบช้ำ มาสมัยคุณทักษิณ ปี 2544 มาจนปัจจุบัน แล้วพอเปลี่ยนมือกลับบอบช้ำต่อไปอีก ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นมาเลย
เติมศักดิ์- ประชาธิปัตย์ในสภาก็อภิปรายคัดค้านเรื่องนี้ไว้เยอะ
สนธิ- คุณถาวร เสนเนียม เป็นคนขุดค้นเรื่องราวต่างๆมาพูดจาออกมาอย่างชัดเจน หลักฐานก็มี ทุกอย่างก็มี แต่วันนี้ผมก็เห็นใจเขา แต่ผมไม่สงสารเขา ผมสงสารประเทศ คือหลายๆคนจะบอกว่า การเมืองมันก็อย่างนี้แหละ นี่แหละการเมืองเก่า
เติมศักดิ์- การเมืองมันต้องประสานประโยชน์กันเพื่อเสถียรภาพ ต้องประนีประนอม นี่คือการเมืองเก่า
สนธิ- ทั้งหมดเพื่อจะรักษาอำนาจของตัวเอง รักษาอำนาจบนความพินาศฉิบหายของสังคม ผมคิดว่าคุณเปลว สีเงิน ท่าเขียนบทความในไทยโพสต์ ท่านเขียนดีมาก ท่านบอกว่าวันไหนอนุมัติรถเมล์ชุดนี้ วันนั้นคือวันพินาศฉิบหายของรัฐบาลชุดนี้
ผมอยากจะเตือนท่านนายกฯ อภิสิทธิ์นิดหนึ่ง ท่านเป็นคนดี ผมคิดว่าอยากจะสนับสนุนท่านต่อ ท่านต้องมองให้ไกล เกินไปกว่าที่จะมีอำนาจต่อไปอีก 3 เดือน 6 เดือน เพื่อให้งบประมาณผ่านไป เชื่อผมเถอะครับ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีความปรารถนาดีต่อท่านอย่างมาก แต่ว่าเราไม่สามารถฝากผีฝากไข้กับชาติบ้านเมืองนี้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ได้ ด้วยเหตุนี้ พี่น้องชาวพันธมิตรฯ เขาถึงเรียกร้องให้มีการตั้งพรรคการเมือง ถ้าเขาฝากผีฝากไข้กับพวกท่านได้ เขาไม่ตั้งพรรคหรอกครับ เขาจะไม่มีวันตั้งพรรคหรอกครับ
เติมศักดิ์- ในเรื่องเดียวกันนี้ รถเมล์เอ็นจีวี ถ้าเป็นการเมืองใหม่ จะทำอย่างไร
สนธิ- เรื่องรถเมล์เอ็นจีวี ถ้าเป็นการเมืองใหม่ สิ่งแรกที่เราต้องทำอย่างแน่นอนที่สุด คือเราต้องพิจารณาระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย เอาเฉพาะในกรุงเทพฯ ก่อนครับ เรามีความเชื่อว่า ใครใช้มากคนนั้นจ่ายมาก ปัญหาภาษีอาการที่จะต้องมาแบกระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯนั้น จะต้องเป็นปัญหาภาษีอากรที่คนกรุงเทพฯ ต้องแบกรับ คนที่มีรถยนต์พวกนี้จะต้องเป็นคนที่แบก ถนนกรุงเทพฯ มีอยู่ 100 เปอร์เซ็นต์ 85 เปอร์เซ็นต์ ใช้โดยคนที่มีรถยนต์ 85 เปอร์เซ็นต์ ใช้โดย 15 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มีรถยนต์ อีก 15 เปอร์เซ็นต์ของถนนใช้โดยคน 85 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นคนที่มีรถยนต์จะต้องเป็นคนจ่าย ต้องจ่ายภาษีถนน ภาษีถนนคือภาษีที่จะต้องเอามา เพื่อมาพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ
กระบวนการขนส่งมวลชนมี 2 ประเภท มีรถเมล์วิ่งบนดิน มีรถไฟใต้ดินวิ่งข้างล่าง น่าเสียดายที่รถใต้ดินเขาใช้วิธีประมูลไป และกู้เงินมา เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะให้เอกชนเข้าไปบริหาร ก็จะคิด 30 บาท 50 บาท 60 บาท สุดแล้วแต่
คุรเติมศักดิ์ 2 ปีที่ผ่านมา เด็กที่เรียนหนังสือจบปริญญาตรีแล้วมาทำงานเงินเดือน 8,000 บาท ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยครับ คุณไปที่เชียงใหม่ เด็กจบปริญญาตรีทำงานที่เชียงใหม่ 5,500 นะครับ 8,000 บาท ผมให้ 9,000 บาท 9,000 บาท เด็กคนหนึ่งจะต้องไปเช่าห้องพักอยู่ห้องหนึ่งประมาณ 3,000 ก็หาแทบไม่ได้แล้วนะ บวกค่าน้ำค่าไฟอีกประมาณสัก 2,000 บาท เป็น 5,000 บาท ผมให้ 4,000 4,000 บาท ครับคุณเติมศักดิ์ 4,000 บาท คุณต้องเสียค่ารถนั่งไปทำงานนั่งกลับ เบ็ดเสร็จวันละ 100 กว่าบาท เดือนละ 3,000 มีเงินกินก๋วยเตี๋ยวได้วันละจาน ผมถามคุณซิว่า ลูกหลานเราเมื่อไหร่จะมีบ้านอยู่ เมื่อไหร่จะตั้งตัวได้ เพราะว่าทุกคนเอารัดเอาเปรียบคนที่ทำงานหมดทุกคน คนที่ทำงานจะต้องเป็นคนแบกภาระต่างๆ พวกนี้ ในขณะซึ่งราคาไม่ได้เพิ่มขึ้น แล้วใครกำไรมากที่สุด บริษัทต่างๆ ที่อยู่ข้างบน นักการเมืองร่ำรวยจากการคอร์รัปชั่น
คุณเติมศักดิ์ สมัยก่อน หนุ่มๆ ผมผ่อนบ้าน 15 ปีหมด ดาวน์บ้าน 25 เปอร์เซ็นต์ ผมผ่อนรถยนต์ 3 ปีหมด สมัยนี้เงินเดือนคนไม่ได้ขึ้น จบมายัง 8,000 บาท แล้วจะมีบ้านได้ยังไง ได้ซิก็ยืดจากการผ่อน 15 ปีเป็น 30 ปีไง ยืดจากการผ่อนรถ 3 ปีเป็น 6 ปี 7 ปี ส่วนซึ่งยืดออกไปเป็นส่วนซึ่งลูกหลานเราต้องทำงานหนักเพิ่มเป็นพิเศษ แล้วก็ผ่อนส่งของต่างๆ พวกนี้ นี่คือการเมืองเก่า การเมืองเก่าไม่ได้มีโอกาสให้ลูกหลานเราเกิดขึ้นได้เลย คนข้างบนเท่านั้นที่ร่ำรวยอยู่ ผู้รับเหมา นักการเมือง คิดโครงการอะไรขึ้นมาแล้วกินส่วนต่าง ทำให้ต้นทุนของโครงการสูงขึ้นตลอด ถ้าเราใช้หลักของการเมืองใหม่เข้ามา ใช้ว่า ใครใช้มากคนนั้นต้องจ่าย ถ้าเรามีภาษีถนนเข้ามา เราเอารายได้ภาษีถนนเข้ามา สะสมเป็นเงินกองทุนสักก้อนหนึ่ง คุณเติมศักดิ์ รถยนต์ในกรุงเทพฯ มีประมาณ 5 ล้านคัน ถ้าผมคิดภาษีถนน คันละ 5,000 บาท ปีนึงผมมี 25,000 ล้านบาท ผมคิด 2,000 บาทก็ได้ 2,000 บาท โทษฐานที่คุณมีรถยนต์ นอกเหนือจากภาษีป้ายแล้ว 2,000 บาท 1 ปีคุณมี 10,000 ล้าน 10,000 ล้าน คุณสามารถออกพันธบัตร 20 ปีได้จำนวน 100,000 ล้าน คุณเอาเงินสด 100,000 ล้าน ขายพันธบัตร ไปค้ำประกันด้วยภาษีถนน ซึ่งรัฐเป็นคนเก็บ แล้วจ่ายคืนให้พันธบัตร คุณมี 100,000 ล้าน ระบบ 100,000 ล้านบาท คุณพัฒนาขนส่งมวลชนที่เป็นรถไฟใต้ดินได้ถึง 15 สาย รถเมล์อีกบนดิน เหมาเบ็ดเสร็จขึ้นรถเมล์ลงใต้ดินเสร็จ ราคา 10 บาท ถ้าค่ารถที่ต้องเดินทางไปทำงานของชาวบ้าน ของลูกหลานเรา ของประชาชน 10 บาท ไปกลับ 20 บาท เดือนละ 600 บาท เงินเดือน 8,000 บาท ยังพออยู่ได้
โดยสรุป ถ้าคนเราทำงาน ทำงานให้กับประเทศชาติ คิดถึงเรื่องส่วนรวมเอาไว้ก่อน อย่าไปคิดเรื่องส่วนตัว กลับไปสู่คำขวัญของเรา คือต้องเสียสละ ถามว่านักการเมืองวันนี้มีใครเสียสละบ้าง ไม่มี
เติมศักดิ์- เห็นแก่ตัวทั้งนั้น
สนธิ- อยากจะได้เงิน อยากจะได้ตำแหน่ง กล้าหาญไหม ไม่กล้า กล้าหาญที่จะคอร์รัปชั่น แต่ความกล้าหาญที่จะต้องไปตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ ที่มันกระทบกระเทือนผลประโยชน์ของคุณ กล้าไหม ไม่กล้า ไม่เสียสละ ไม่กล้าหาญ ซื่อสัตย์ไหม ไม่ซื่อสัตย์ มีความสามารถไหม ไม่มี เพราะถ้ามีความสามารถ จะคิดได้อย่างไร รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน นี่เป็นความสามารถในการทำสิ่งที่ไม่ถูก ต้องสามารถทำสิ่งที่ถูกแล้วคิดถึงส่วนรวม เพราะฉะนั้นแล้ว ปัญหาก็คือว่า ในขณะนี้ประเทศไทยของเราทั้งหมด อยู่ในมือนักการเมือง นักการเมืองทำตัวเป็นเจ้าของประเทศไทย นี่คือพวกนักการเมืองรุ่นเก่า เอะอะอะไรก็บอกว่า ตกลงกันในสภา นั่นคือว่า ทำไมเราถึงต้องออกมาประท้วง ประท้วงเสร็จเรียบร้อยแล้วทำไมเราต้องเข้าไปสู้กันในสภา เพราะเราต้องการทำเป็นตัวอย่างให้เห็น เราต้องการจะแยกแกะขาวออกจากแกะดำให้เห็นชัด อยู่ในสภานั่นหละ แกะดำมีส่วนหนึ่ง แต่เราจะพยายามเป็นแกะขาวให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นประเทศไทยไม่มีอนาคต คุณเติมศักดิ์
เติมศักดิ์- อาจจะมีคนถามว่า แล้วถ้า 1 เดือนตีกลับมาแล้ว ครม.อนุมัติให้เช่าหรือเช่าซื้อก็ตามแต่ ซึ่งมันขัดกับสิ่งที่พันธมิตรฯ กำลังแสดงจุดยืนอยู่ตอนนี้ ถ้าถึงเวลานั้นพันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหวไหม
สนธิ- ผมคิดว่ามันไม่ใช่เป็นประเด็นจะต้องเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหว เป็นประเด็นว่า ผมเชื่อว่าถ้ารัฐบาลชุดนี้ ครม.ชุดนี้อนุมัติโครงการนี้ เขาต้องตอบคำถามกับประชาชนแล้ว เขาต้องตอบ ตอนนี้โครงการรถเมล์ 4,000 คัน เป็นโครงการซึ่งเสียงส่วนใหญ่เชื่อแล้วยอมรับแล้วว่าเป็นโครงการที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ที่ไม่สะอาด ไม่มีธรรมาภิบาล เพราะฉะนั้นแล้วท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ท่านจะเสี่ยงตัวท่านเอง หรือพรรคประชาธิปัตย์จะเสี่ยงตัวเอง ต้องไปตอบพี่น้องชาวใต้ พี่น้องชาวใต้จะเห็นว่า นี่ไง ไหนบอกว่าซื่อสัตย์ ไหนบอกว่าไม่พายเรือให้โจรนั่ง ต้องตอบคำถามเอง พันธมิตรฯ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าทำตัวเองคนจะเห็นได้ชัดเจน เมื่อชัดเจนแล้วก็ต้องตอบคำถามในการเลือกตั้งงวดหน้าว่า ตัวเองทำไมถึงตัดสินใจเลือกรถเมล์ 4,000 คัน
รถเมล์ 4,000 คัน ถ้ารัฐบาลชุดนี้อนุมัติ อันนี้จะเป็นฝันร้ายของพรรครัฐบาลตลอดไป เพราะว่าไปเดินที่ไหน เวลามีคนเขาถาม เวลาคู่ต่อสู้เขาปราศรัยหาเสียง เขาก็บอกว่า คุณมีส่วนร่วมในการฉ้อราษฎร์บังหลวง รถเมล์ 4,000 คัน ถ้าคุณไม่เกี่ยวคุณอนุมัติทำไม ตอบไม่ออกนะ
เติมศักดิ์- ไม่ว่าจะอนุมัติแบบเช่าหรือเช่าซื้อก็ตาม
สนธิ- จะออกแบบใดก็ตาม เพราะมันไม่มีเหตุผล
เติมศักดิ์- มันตอบคำถามคนไม่ได้
สนธิ- ตอบคำถามคนไม่ได้เลย มันไม่มีความจำเป็นต้องมี แล้วถ้ามีแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องแพงแบบนี้
เติมศักดิ์- แล้วประชาชนจะตัดสินเองโดยที่พันธมิตรฯ ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหว
สนธิ- ไม่ต้องเลยครับ ไม่ต้องเคลื่อนไหวเลยงานนี้ งานนี้มันลงไปถึงจิตวิญญาณของคนหมดแล้ว เอาอย่างนี้ดีกว่า ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ในขณะนี้ผมเดาใจท่านไม่ออก แต่ผมพอที่จะคาดคะเนได้ว่า ท่านก็ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ผมถึงบอกผมเห็นใจท่าน แต่ผมไม่สงสารท่าน ที่ผมไม่สงสารท่านก็เพราะว่า บางครั้งท่านพูดอะไรผมเห็นใจท่านนะ แล้วผมเออ ท่านพูดดี ท่านบอกท่านจะไม่ยอมเรื่องอะไรที่ไม่ถูกต้อง เออผมเห็นใจท่านแล้ว เออใช้ได้ แต่พอผ่านไปสักพักหนึ่งท่านอาจจะโดนที่ปรึกษาท่าน หรือว่าท่านเลขาพรรค ไปกล่อมท่านบอกว่า เราต้องอดทนหน่อยนะ รอให้งบประมาณผ่านก่อน ถ้างบประมาณไม่ผ่านแล้วโครงการต่างๆ ไม่เกิดขึ้น ถ้าโครงการต่างๆ ไม่เกิดขึ้นเราลำบากนำ อย่างนั้นกัดฟันทนต่อไปสักนิด มันจะเป็นอย่างนี้
เติมศักดิ์- ยอมๆ ไปก่อน
สนธิ- ยอมๆ ไปก่อน สักพักคุณธรรมกลับมา ผมจะไม่ยอมแล้วนะ อะไรผิดพลาดผมไม่เอาด้วย แต่พอสักพักมีคนมากล่อมอีก ท่านจะเป็นอย่างนี้ ผมถึงอยากจะกราบเรียนว่า ผมอยากให้ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ต้องใช้ความกล้าหาญ จริงๆ เราเรียกร้องให้ท่านใช้ความกล้าหาญมานานแล้ว แต่ท่านไม่ใช้ซิที ท่านไม่ใช้ ท่านใช้เฉพาะบางเรื่อง แต่เรื่องราวใหญ่ๆ ท่านไม่กล้าใช้ อย่างเรื่องตำรวจ ท่านก็ไม่กล้าใช้ เรื่องรถเมล์ท่านใช้บ้างแต่ท่านยังไม่เด็ดขาด ท่านใช้แต่ท่านยังหาโอกาสให้ไปฟอก ภาษาคนประชาธิปัตย์เขาเรียกว่า ทำให้มันเนียน มันจะได้ไม่เสีย จะได้ไม่ถึงตัว
เติมศักดิ์- อย่าให้โจ๋งครึ่มมาก
สนธิ- จริงๆ แล้วกรณีรถเมล์ ผมมีข้อคิด กรณีรถเมล์ผมไม่อยากให้ท่านนายกฯ เอาความเห็นประชาชน เอาประชาชนขึ้นมาคัดค้านมากจนกระทั่งท่านพูดกับพรรคร่วม บอกว่าเพราะว่าประชาชน สังคมค้านมาก เพราะฉะนั้นแล้วอย่าเอาเลย
เติมศักดิ์- ยืมกระแสสังคม
สนธิ- ผมไม่อยากให้ท่านยืม ผมอยากให้ท่านยืนหยัดด้วยตัวท่านเองแล้วชี้เลยว่า เรื่องรถเมล์ผมยอมให้ไม่ได้
เติมศักดิ์- จากจุดยืนของท่านเอง
สนธิ- จากจุดยืนของท่านเอง ท่านต้องรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ได้ เพราะท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ท่านรู้อยู่แล้ว ท่านรองนายกฯ กอร์ปศักดิ์ ท่านก็รู้ว่าไม่ได้ ท่านถาวร เสนเนียม ท่านก็รู้ว่าไม่ได้ ท่านบัญญัติ บรรทัดฐาน ท่านก็รู้ว่าไม่ได้ อย่าใช้วิธียืมกระแสประชาชน
เติมศักดิ์- ทำไมครับ เพราะว่า คุณอภิสิทธิ์อาจจะบอกว่า ก็กระแสสังคมไม่เอา เขาก็อาจจะบอกว่า เขาฟังเสียงประชาชน
สนธิ- มันสะท้อนถึงคุณภาพผู้นำ เพราะว่าหลายต่อหลายครั้ง การเป็นผู้นำนั้นต้องกล้าตัดสินใจ และรู้ว่าอันนี้ผิดแน่นอนอันนี้ถูกแน่นอน ต้องยืนในสิ่งที่ถูก และไม่เอาในสิ่งที่ผิด ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาเป็นผนังเหล็ก
เติมศักดิ์- ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก พักก่อนนะครับคุณสนธิครับ แล้วเดี๋ยวกลับมายังมีคำถามจากคุณผู้ชมทางบ้าน ที่สำคัญก็คือ มีการพูดอย่างนี้นะครับคุณสนธิ เมื่อวานผมฟังจาก ส.ส.ประชาธิปัตย์ คุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ว่า ถ้าพันธมิตรฯ เป็นพรรคการเมืองแล้ว โอกาสในการไปเคลื่อนไหวบนท้องถนนอีกเป็นไปไม่ได้เลย
สนธิ- คุณนิพิฏฐ์เข้าใจผิด
เติมศักดิ์- ซึ่งเดี๋ยวจะมาฟังเข้าใจผิดอย่างไร สักครู่ครับ
วันนี้เราได้รับเกียรติจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล มาพูดคุยกับเรานะครับ สวัสดีครับคุณสนธิครับ
สนธิ- สวัสดีครับคุณเติมศักดิ์ครับ
เติมศักดิ์- เรื่องรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ผมขอเริ่มด้วยประเด็นความไม่ชอบมาพากล เราควรจะจับตามองในประเด็นไหนบ้าง คุณสนธิครับ
สนธิ- เรื่องรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน มันมีที่มาที่ไป คุณเติมศักดิ์ครับ ผมอยากจะเล่าประวัติสักนิดหนึ่ง
ย้อนหลังไปประมาณต้นปี 2549 ตอนที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประท้วงอยู่ ผมจำได้ว่าเราประท้วงอยู่ที่สนามหลวง ในช่วงนั้นผมจำได้มีการขึ้นเวที แล้วก็บอกว่าในขณะนี้รัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังจะเสนอสั่งเข้ารถเมล์ 4,000 คัน เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่ จริงๆแล้ววางแผนมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว แต่เท่าที่ผมทราบ พอประเด็นนี้ถูกประทุออกมา ทางฝ่ายรัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็เลยชะลอโครงการ เพราะเขาไม่อยากจะเปิดแนวรบให้มากนัก หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป 19 กันยายน คุณทักษิณ ต้องลี้ภัยออกไป จาก 19 กันยายน จนกระทั่งต่อไปจนถึงปี 2550 ก็เป็นช่วงของ คมช. รถเมล์ก็ไม่ได้เกิด เริ่มมีบทบาทอีกครั้งตอนที่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล โดยการนำเสนอของคุณสมัคร สุนทรเวช ตอนนั้น
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน มันเป็นกระบวนการที่มีมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องมาพรรคพลังประชาชน และต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยตอนที่คุณสมชายเข้ามา คุณสมชายถูกยุบแล้วพรรคเพื่อไทย แล้วก็พรรคภูมิใจไทยก็รับช่วงต่อไป ทำไมพรรคภูมิใจไทยรับช่วงต่อไป เพราะว่า กลุ่มคนซึ่งทำอยู่ในพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชาชน ไทยรักไทย เป็นกลุ่มคนเดียวกันหมดเลย เป็นเพียงแต่ว่าตอนนี้มีการตัดตอนแล้ว ตัดตอนคือ เมื่อพรรคภูมิใจไทยหนีออกมาอยู่กับพรรดประชาธิปัตย์แล้ว ผลประโยชน์ซึ่งควรจะได้กับคนบางคนในพรรคเพื่อไทยก็หมดไป เขาก็โอนผลประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้มายังพรรคภูมิใจไทย ด้วยเหตุนี้พรรคเพื่อไทยถึงพร้อมที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน เพราะตัวเองหมดขนมไปแล้วตอนนี้
เรื่องรถเมล์ วันนี้ผมมาในฐานะเป็นตัวแทนของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมได้รับฉันทามติจากทาง คุณจำลอง ศรีเมือง คุณพิภพ ธงไชย คุณสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และคุณสมศักดิ์ โกศัยสุข
เติมศักดิ์- เพราะสังคมอยากรู้ว่า พันธมิตรฯ คิดเรื่องนี้อย่างไร มีจุดยืนอย่างไร
สนธิ- คือพวกเราต้องแถลงอย่างเป็นทางการวันนี้โดยผ่านผมนะครับ ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยผ่านแกนนำนั้น ไม่เห็นด้วยกับการจะเช่าหรือแม้กระทั่งจะซื้อรถเมล์ ไม่เอาทั้ง 2 อย่าง
เติมศักดิ์- เช่าหรือซื้อ
สนธิ- ไม่ได้เลย เพราะว่ากระบวนการที่เอารถเมล์ 4,000 คันเข้ามานี้ เป็นกระบวนการที่ส่อไปในทางฉ้อฉลและไม่สมเหตุสมผล ไม่มีตรรกะ ในขณะนี้สิ่งที่เราไม่ต้องการคือ รถเมล์ 4,000 คัน แต่สิ่งที่เราต้องการคือ เราต้องการระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และที่สำคัญที่สุดก็คือว่า คนซึ่งจำเป็นจะต้องแบกรับภาระของค่าใช้จ่ายของระบบขนส่งมวลชนนั้น จะต้องเป็นคนซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ คนที่มีรถยนต์ต้องใช้รถ ใช้ถนนมากกว่าชาวบ้านเขา ต้องเสียภาษีพิเศษ ยกตรงนั้นเอาไว้ช่วงหลังที่เราจะคุยกัน
ความไม่ชอบมาพากลของรถเมล์นี้ มันมีเยอะแยะไปหมด ทำไมต้องเช่ารถเมล์ตั้ง 10 ปี ASTV เช่ารถเก๋ง ที่จะมาทำข่าว เราเช่าปีต่อปี ขนาดปีต่อปี พอรถเสียเขาก็เปลี่ยนให้เรา รถชนเขาก็เปลี่ยนให้เรา นอกจากนั้นแล้ว ถ้าใช้ไปจนครบ 3 ปีแล้ว ไม่เสีย ไม่ชน หรือเขาเปลี่ยนให้แล้ว เขาก็จะเปลี่ยนรถคันเก่าของเราออกไปเลย แล้วเอาคันใหม่มาให้ ในราคาค่าเช่าที่ตายตัว ชัดเจน เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้า ASTV ต้องไปเช่ารถ แล้วมีสัญญาผูกพันกัน 10 ปี ไม่มีบริษัทเอกชนไหนเขาทำกันหรอก เพราะนั่นคือการฆ่าตัวตาย เพราะว่าการเช่ารถ บริษัทรถยนต์ที่ให้เช่า เขาต้องมีค่าเสื่อม รถยนต์คันหนึ่ง วัสดุคันหนึ่ง ค่าเสื่อม 5 ปี ปีละ 20 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่ารถคันหนึ่งพอครบ 5 ปี ค่าเสื่อมเป็น 0 ถามว่าค่าเสื่อมหมดแล้วเป็น 0 ในการเช่านั้น บริษัทรถที่ให้เช่าจะต้องเอารถใหม่เข้ามาแทน จะมาใช้ซากเก่าต่ออีก 1 0ปี ไม่ได้
ถ้าท่านผู้ชม หรือคุณเติมศักดิ์เคยขึ้นรถเอ็นจีวีสีเหลือง ถ้าเคยขึ้นผมจะแนะนำอย่าง เวลาคุณขึ้นรถเอ็นจีวีสีเหลือง คุณเคยสังเกตไหมว่าเวลาสตาร์ท และเข้าเกียร์ 1 มันสั่นทั้งคันเลยนะ นี่ขนาดรถใหม่ปีแรกนะ แล้วถ้าคุณใช้ไปสัก 4 - 5 ปี มันไม่เจ๊งเหรอ มันไม่พังทลายเหรอ นั่นคือข้อที่ 1
ข้อที่ 2 โครงการรถเมล์ คุณโสภณ อ้างตลอดเวลาว่าทำรายได้ ทำให้ ขสมก.กำไร เมื่อผมคำนวณกำไรที่คุณโสภณ ซารัมย์ ว่าไว้แล้ว เมื่อคำนวณเบ็ดเสร็จย้อนกลับมาแล้ว จะทำให้ ขสมก.กำไรเบ็ดเสร็จแสนกว่าล้าน ระยะ 10 ปี ผมไม่อยากจะว่าคุณโสภณ ซารัมย์ เพ้อเจ้อ แต่ผมขอเรียนว่าตัวเลขนี้ถูกสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานให้โครงการนี้เป็นไปได้ ตัวเลขนี้สร้างขึ้นบนฟองสบู่ ไม่มีอะไรมารองรับเลย
เติมศักดิ์- ไม่สมเหตุสมผลเลย
สนธิ- ไม่มีครับ เหตุผลอะไรก็ไม่มี ทีนี้ผมก็จถามต่อ การลดราคารถเมล์ คุณลดราคาเป็น 64,000 ล้าน ลดที 5,000 ล้าน คุณอุปมาอุปไมยเหมือนไปซื้อของแถวคลองถม คุณพอใจจะลดให้ที 5,000 ล้าน คุณเลดเลย คำถามก็มีอยู่ว่า ประชาชนที่สนใจก็มีอยู่ว่า ก็แสดงว่า 5,000 ล้านที่คุณลด คุณลดแล้วคุณยังมีกำไรอีกใช่ไหม ใครมีกำไร บริษัทรถที่ลดให้ 5,000 ล้าน มันมีกำไรใช่ไหม ส่วนกำไรนั้นจะไปจ่ายนักการเมืองเท่าไหร่ไม่ว่ากัน คำถามก็มีอยู่ว่า แสดงว่าถ้า ครม.มีมติผ่านให้ตั้งแต่ 69,000 ล้าน คุณก็กำไรเพิ่มอีก 5,000 ล้านใช่ไหม นี่คุณยอมตัด 5,000 ล้านออกไป แล้วคุณยังขายของได้ แสดงว่าที่ 64,000 ล้าน คุณก็ยังมีกำไร แล้วถ้าบวกอีก 5,000 ล้าน คุณลดไปแล้ว เดิมทีสมมุติจับไม่ทัน โครงการนี้กำไรหมื่นกว่าล้าน หมื่นกว่าล้านผมยืนยันได้ว่าต้องเข้ากระเป๋านักการเมืองแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้คือการเมืองเก่า มันไม่หมดไม่สิ้นซะที นะครับคุณเติมศักดิ์
แล้วอีกประการหนึ่งคุณเติมศักดิ์ รายได้ของรถ รถเมล์ คุณเติมศักดิ์ รถเมล์คือสาธารณูปโภค ไม่เคยมีขนส่งมวลชนที่ไหนในโลกนี้ที่มีกำไร คุณไปดูได้ ไม่ว่าจะเป็นสับเวย์ ที่นิวยอร์ก ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการรถเมล์ที่เมืองต่างๆ ขาดทุนทั้งสิ้น รัฐบาลจะต้องเอามาชดเชย จะชดเชยด้วยวิธีใดก็ตาม แต่ทีนี้คุณโสภณ ซารัมย์ มาตั้งเป้าไว้ว่า รถเมล์ต้องมีกำไร เมื่อรถเมล์ต้องมีกำไรแล้ว ก็เอาผลกำไรของตัวเองตั้งเอาไว้ แล้วมาคำนวณย้อนหลังว่า เพราะฉะนั้นแล้วค่าเช่ารถเมล์ต้องเท่านี้ นั่นก็คือว่า เอาผลกำไรซึ่งมันเป็นเรื่องที่เพ้อฝันมาตั้งแล้วย้อนกลับมาเพื่อตั้งค่าเช่าให้มันสูง เพื่อจะได้มีส่วนต่างค่าเช่านี้มาแบ่งปันกัน ระหว่างผู้ประกอบการรถเมล์ เจ้าของรถเมล์ และในที่สุดที่สำคัญที่สุดคือ นักการเมือง
ผมคิดว่าโครงการแต่ละโครงการ คุณเติมศักดิ์ ในอดีต การคอร์รัปชั่นมีอยู่ 3 ประเภท ประเภทแรกของการคอร์รัปชั่น คือว่า 1. คอร์รัปชั่นการจัดซื้อ สมมุติคุณจัดซื้อคอมพิวเตอร์ 1,000 เครื่อง เขามีเปอร์เซ็นต์แบ่งให้ 10 เปอร์เซ็นต์ จาก 1,000 เครื่อง 10 เปอร์เซ็นต์ 5 เปอร์เซ็นต์ ให้นักการเมือง 3 เปอร์เซ็นต์ ให้คณะกรรมการที่พิจารณา อีก 2 เปอร์เซ็นต์ให้เจ้าหน้าที่ที่ทำ เป็นปกติที่ทำกันมานานแล้วในประเทศไทย เป็นสิบๆ ปี ผมไม่ได้พูดว่าดี แต่ผมกำลังเล่าให้ฟัง การก่อสร้างสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นโครงการสร้างถนน 3 เปอร์เซ็นต์ 5 เปอร์เซ็นต์ แล้วแต่วงเงิน ตัวเงินก้อนนี้ถูกพลิกผันไปในยุคที่พรรคไทยรักไทยเข้ามา เพราะมีความโลภมากขึ้น มีอำนาจทางการเมืองมากขึ้น เพราะฉะนั้นจากที่เคยมีคอมมิชชั่น 5 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์ ก็กลายเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ 30 เปอร์เซ็นต์ บางตัว บางโครงการ ผู้รับเหมายอมจ่ายเงินเข้าไปก้อนใหญ่ เมื่อจ่ายเงินไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตัวเองทำงานต้องขาดทุนแน่ แต่ได้รับการชดเชยจากบันทึกต่อท้ายสัญญา เพิ่มงานให้ทีหลังโดยไม่ต้องประมูล อันนั้นคืออันแรก ซื้อเครื่องบิน คุณซื้อแอร์บัส คุณซื้อโบอิ้ง เขามีค่าคอมมิชชั่นให้ 3 เปอร์เซ็นต์ อันนี้เป็นที่เข้าใจกัน ถึงแม้ว่าไม่เป็นเรื่องที่ควรจะทำ แต่เป็นที่เข้าใจกัน นี่คือการคอร์รัปชั่น
การคอร์รัปชั่นอันที่ 2 คือการเอานโยบายออกมา เหมือนกับนโยบายที่คุณทักษิณทำ คือเอานโยบายเสียภาษีสรรพสามิต ให้กับบริษัทมือถือเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องเสียค่าสัมปทานมากขึ้น
เติมศักดิ์- คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย
คุณสนธิ- แต่การจะทำคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายได้ เจ้าตัว หรือรัฐบาล หรือคุณทักษิณ จะต้องมีธุรกิจของตัวเองอยู่แล้ว ที่จะมารองรับนโยบายนี้เพื่อที่ตัวเองจะได้รับ แต่มาในยุคนี้ คุณทักษิณ ไม่อยู่แล้ว พรรคภูมิใจไทย พรรคอื่น ไม่มีใครมีธุรกิจ เพราะฉะนั้นคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายจะยังไม่เกิดขึ้น แต่จะกลายเป็นคอร์รัปชั่นเชิงโครงการ คือคิดโครงการขึ้นมา วิธีคิดก็คือว่า คิดว่าโครงการนี้ทำอย่างไรที่จะได้เงินเยอะๆ สมมติว่าต้นทุนของรถเมล์จริงๆ ถ้าซื้อมันหมื่นกว่าล้าน ตีซะว่าถ้าซื้อหมื่นล้าน ถ้าเขาบอกว่าถ้าคอร์รัปชั่นสักหมื่นล้าน สัก 10 เปอร์เซ็นต์ แบ่งออกไปแล้วนักการเมืองได้ 5 เปอร์เซ็นต์ คือ 500 ล้าน เขาบอกว่ามันน้อยไป ถ้ามันน้อยไป ต้องใช้วิธีไหน เช่าซื้อก็ไม่ดี เช่าดีกว่า เพราะว่าเช่ามันกินหลายต่อ
เติมศักดิ์- มันบอกนั่นบวกนี่
คุณสนธิ- มันบอกได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งการซ่อมแซม พอเช่ามา รถใหม่เอี่ยมคันแรก ตั้งแต่วันแรกเลยต้องเสียค่าซ่อมแล้ว กิโลเมตรละ 7.50 บาท ผมว่าคนที่คิดประเด็นอย่างนี้ ดูถูกคนไทยไปมาก เพราะถ้าคุณเติมศักดิ์ ต้องนั่งรถเมล์แล้วเสียค่าเดินทางกิโลเมตรละ 7.50 บาท ตายแล้วนะ แล้วพวกนี้ตั้งประเด็นว่า ล้อต้องหมุน แล้ววันหนึ่งต้องทำรายได้หมื่นกว่าล้าน คือสรุปง่ายๆว่าโครงการรถเมล์เอ็นจีวี เป็นโครงการที่ฉ้อฉล มีโอกาสของการคอร์รัปชั่นสูง และไม่โปร่งใส ไม่มีธรรมาภิบาลเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วสังเกตอะไรอย่างไหม ทำไมคุณโสภณ ซารัมย์ และพรรคภูมิใจไทยพูดตลอดเวลาว่า ต้องเช่าอย่างเดียว ที่บอกว่าต้องเช่าอย่างเดียว เพราะว่าได้มีการวางมัดจำค่ารถเมล์เอาไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วรถเมล์บางส่วนก็ขนเข้ามาอยู่ในท่าเรือแล้ว แล้วก็ทยอยขนออกไปเมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี่เอง
ผมมีหลักฐานครับ ที่ท่าเรือกรุงเทพฯ มีรถเมล์เอ็นจีวีมาจอดพักรถแผนกรถยนต์ หลังโกดังคลังสินค้า 6 ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน 2522 เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน จนถึงต้นมิถุนายน มากวก่า 200 คัน ซึ่งใช้วิธีนำเข้ามาเป็นล็อต ล็อตละ 10 - 20 คัน แล้วทยอยออกไป พร้อมกับนำเข้ามาจำนวนเท่ากันเพื่อแทนกับคันเก่าที่เอาออก ปัจจุบันรถเมล์พวกนี้ไม่มีแล้ว เอาไปซ่อนไว้ที่อื่น พนักงานที่การท่าเรือฯ ที่พบเห็นระบุชัดว่า เป็นรถที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ตกแต่งทุกอย่างให้พร้อมใช้งานในเมืองไทยได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นสีรถ สีเหลือง หมายเลขประจำเส้นทาง เช่น ปอ.29, ปอ.9, ปอ.525, ปอ.5, ปอ.8 ติดป้ายไว้เรียบร้อยเลย
เติมศักดิ์- พร้อมใช้งานเลย
สนธิ- พร้อมใช้งานครับ สั่งมาจากเมืองนอก แสดงว่าได้วางแผนกันเรียบร้อยแล้วว่าโครงการนี้ต้องผ่าน ครม. อย่างแน่นอน เงินลงขันกันเพื่อไปวางมัดจำรถให้ส่งเข้ามา ส่วนหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของรถเมล์ที่ได้รับอนุมัติล็อตแรก 2,000 คัน
เติมศักดิ์- จาก 4,000 คัน
สนธิ- จาก 4,000 ก่อนจะเหลืออีก 4,000 คัน ที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติจาก ครม. แล้วจะมีรถเมล์ประเภทนี้เข้ามาที่แหลมฉบัง แต่นำเข้ามาในพื้นที่ท่าเรือเอกชน ซึ่งได้แบ่งให้สัมปทานหลังชนะประมูล เช่น A3, A4 ที่มีพื้นที่รองรับรถประเภทดังกล่าวได้มากกว่า ที่ท่าเรือแหลมฉบัง มีรถเมล์ที่ใช้แก๊สธรรมชาติ 25 คัน มาถึงท่าเรือแหลมฉบัง เมื่อวันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม 2551 จอดพักอยู่ที่ท่าเรือ A5 ท่าเรือแหลมฉบัง โดยชื่อบริษัท เบสท์ ลิน กรุ๊ป เป็นผู้นำเข้าด้วยเรือท็อปปิก้า ซึ่งรถ 25 คันนี้ตามภาพถ่าย ไม่รู้มีภาพถ่ายไหมครับ ผู้นำเข้าอ้างว่า นำเข้าเพื่อมาเป็นตัวอย่างให้ชม จากโครงการจัดหารถเมล์เช่าแก๊สธรรมชาติเอ็นจีวี 6,000 คัน ขององค์การขนส่งมวลชน รถเมล์ทั้งหมดถูกขนย้ายออกจากท่าเรือไปแล้วคุณเติมศักดิ์จะเห็นได้ชัดว่า ครม.ยังไม่ได้อนุมัติ
คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ บอกว่า ทีโออาร์ยังหาไม่เจอ แต่สั่งรถเมล์เข้ามาแล้ว นี่คือการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 69,000 ล้าน ในยุคสมัยที่ประเทศไทยยากจน ต้องกู้เงินมา 800,000 ล้าน เพื่อเอามาใช้จ่าย ทุกคนลำบากหมด แต่ว่านักการเมืองขี้ฉ้อ ฉ้อฉล ยังไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สนใจอย่างเดียว ทำไมจะต้องเอาเงินเยอะๆ คุณเติมศักดิ์
เติมศักดิ์- เลือกตั้งรึเปล่าครับ
สนธิ- เลือกตั้ง จะได้เอาเงินไปซื้อเสียง ที่ผมต้องพูดนิดหนึ่งนะครับคุณเติมศักดิ์ แล้วผมอยากจะฝากไปถึงท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมทั้งรัฐบาลชุดนี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ จากวันแรกที่พรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาลจนถึงวันนี้ ผมยังไม่เคยเห็นความพยายามของรัฐบาลชุดนี้ที่จะต่อสู้ ดิ้นรน หาหนทางให้การเลือกตั้งใสสะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากการซื้อเสียง ไม่ได้หามาตรการใดๆ ทั้งสิ้นเลย
เติมศักดิ์- ยังไม่เห็นเลย
สนธิ- ไม่มีเลย ไม่มีการพูดเลยว่าจะทำอย่างไรให้การเลือกตั้งงวดหน้าใช้เงินน้อยที่สุด ไม่ได้พูดเลยว่าจะมีการควบคุมไม่ให้มีการโกงอย่างไร ไม่ได้พูดเลยว่าเจ้าหน้าที่จะเป็นอย่างไร พูดแต่ว่า จะให้พรรคภูมิใจไทยย้ายตำรวจไปอยู่ที่นั่นย้ายผู้ว่าไปอยู่ที่นี่เพื่อผลของการเลือกตั้ง
เติมศักดิ์- ปูทางไว้เรียบร้อย
สนธิ- ปูทางไว้เรียบร้อย เพราะฉะนั้นแล้ว ผมกำลังเกรงอย่างนี้ ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ท่านเป็นสุภาพบุรุษ ท่านต้องระวังเอาไว้ ถ้าท่านไม่ดำเนินการให้การเลือกตั้งซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ โปร่งใส แล้วถ้าท่านปล่อยให้พรรคร่วมรัฐบาล ฉ้อราษฎร์บังหลวง คตโกงตลอด ด้วยโครงการต่างๆ แล้วท่านสมรู้ร่วมคิดโดยที่ท่านอึดอัดใจมากแต่ท่านไม่กล้าแสดงออก เพื่อที่จะให้พวกนี้ได้เงินไป แล้วเสร็จเรียบร้อยพวกนี้ก็เอาเงินไปซื้อเสียง คำถามมีอยู่อย่างนี้ว่า ถ้าอย่างนั้นประเทศไทย การเลือกตั้งคือเอาเงินเป็นตัวตั้งใช่ไหม ถ้าเอาเงินเป็นตัวตั้งแล้วประเทศไทยก็ต้องมีการประมูลด้วยเงิน
เติมศักดิ์- เหมือนกับประมูลประเทศเลย
สนธิ- เหมือนกับประมูลประเทศไปเลย เพราะฉะนั้นคนพวกนี้เขามองชัดไงครับว่ารถเมล์ ผมจะบอกให้รู้ รถเมล์ 4,000 คัน 69,000 ล้าน ผมว่าได้ประมาณ 10,000 กว่าล้าน 10,000 กว่าล้านซื้อประเทศไทยได้ทั้งประเทศ ทางอีสานซื้อได้หมดเลย
เติมศักดิ์- โดยผ่านการซื้อเสียง
สนธิ- ผ่านการซื้อเสียง ผ่านการเอาตำแหน่งข้าราชการของตัวเอง เอาผู้ว่าไปวางตรงนี้จังหวัดนี้ เอาตำรวจไปลงตรงนั้นลงตรงนี้เสร็จเรียบร้อย ประเทศไทยมันจบไปแล้ว คุณเติมศักดิ์ แบบนี้ มันไม่มีที่พึ่ง การเมืองเก่าคือการเมืองที่ทำร้ายทำลายประเทศไทย แล้วก็ไม่มีวันทำให้สังคมไทยได้ผุดได้เกิด
เติมศักดิ์- แล้วการที่คุณอภิสิทธิ์ หรือ ครม.ตีกลับไปให้สภาพัฒน์ศึกษา 1 เดือน สุดท้ายแล้วมันจะเป็นอย่างไร คุณสนธิ
สนธิ- ผมไม่ไว้ใจสภาพัฒน์ ที่ผมไม่ไว้ใจสภาพัฒน์ก็ด้วยความเคารพในตัวท่านเลขาธิการสภาพัฒน์ คุณอำพน กิตติอำพน คือผมเป็นนักประวัติศาสตร์ เวลาผมดูเหตุการณ์ผมจะดูที่คน แล้วผมจะดูประวัติคน คุณอำพน กิตติอำพน อดีตเคยอยู่กระทรวงเกษตร เดินตามคุณเนวิน ชิดชอบ ตลอด และพูดได้เลยว่า ได้ดิบได้ดีมาก็เพราะว่าคุณเนวิน ชิดชอบ ด้วยเหตุนี้ คุณอำพน กิตติอำพน ถึงถูกแต่งตั้งมาเป็นประธานบอร์ดการบินไทย คุณอำพน กิตติอำพน โดยพื้นฐานเป็นคนดี แต่ผมไม่ไว้ใจว่า ความสนิทสนมกับคุณเนวิน ซึ่งคนก็รู้ว่าคุณเนวินก็คือคนที่ชักใยพรรคภูมิใจไทยอยู่ ทุกคนที่อยู่ในภูมิใจไทยจะต้องฟังคุณเนวิน คุณโสภณ ซารัมย์ ก็เป็นคนของคุณเนวิน แม้แต่รัฐมนตรีช่วยเกษตรคนใหม่ก็เป็นคนของคุณเนวิน เพราะฉะนั้นแล้ว การที่เอาสภาพัฒน์เข้ามาเป็นตัวพิจารณานั้น ผมคิดว่าเป็นการฟอกอย่างชัดเจนที่สุด ที่สำคัญ ที่สภาพัฒน์ทำน่าเกลียดมาก ก็คือว่า เมื่อกระทรวงคมนาคมส่งเรื่องของรถเมล์เข้าไปให้สภาพัฒน์แล้ว แทนที่สภาพัฒน์จะพิจารณาทันที แล้วบอกว่าที่ส่งมาใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วโครงการนี้ไม่ควรให้เกิด หรือไม่ควรให้เช่า กับส่งกลับไปบอกว่า ไปแก้ตัวเลขมาซะ ไปทำมาซะใหม่ คล้ายๆ บอกว่า ทำข้อสอบส่งมาแล้วข้อสอบทำไม่ถูก นึกออกไหมครับ ถ้ายังขืนส่งมาอย่างนี้จะให้สอบตกนะ ส่งกลับไป ด้วยความเคารพ ผมคิดว่า สภาพัฒน์กำลังทำลายชื่อเสียงตัวเอง ที่ผมกังวลคือ ก่อนหน้านั้น คุณอำพน กิตติอำพน ได้เข้าไปพบผู้ใหญ่ในรัฐบาล 2 คน นั่งคุยกันเป็นชั่วโมง ผมเข้าใจว่า ส่วนหนึ่งของการคุยก็คือ หาทางให้สภาพัฒน์เอาตรายางประทับ
เติมศักดิ์- โครงการนี้
สนธิ- โครงการนี้ ว่าผ่านสภาพัฒน์แล้ว แล้วคุณโสภณและทุกคนจะชอบพูดว่า สภาพัฒน์ผ่านให้เรียบร้อยแล้ว สภาพัฒน์ผ่านให้เรียบร้อยแล้ว วิธีทำโครงการ คุณโสภณบอกว่า สถาบันพระปกเกล้าเขาทำวิจัยมาเรียบร้อยแล้ว ผมถามคุณเติมศักดิ์ สถาบันพระปกเกล้าเป็นสถาบันทางการเมืองไม่ใช่สถาบันวิจัย
เติมศักดิ์- ก็อยู่ในสังกัดรัฐสภา
สนธิ- รัฐสภา ซึ่งคุณชัย ชิดชอบ ประธานสภา เป็นหัวหน้า เป็นประธานของสถาบันพระปกเกล้า
เติมศักดิ์- แล้ว ชัย ชิดชอบ ก็เป็นบิดาของคุณเนวิน ชิดชอบ
สนธิ- เพราะฉะนั้นแล้วผมยืนยันกับพ่อแม่พี่น้องได้เลยว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยืนยันว่า โครงการนี้ อย่าว่าแต่เช่าเลย ซื้อก็ยังไม่เห็นด้วย ทำไมซื้อถึงไม่เห็นด้วย
เติมศักดิ์- เพราะอะไรครับ
สนธิ- เหตุผลง่ายนิดเดียวครับ เพราะว่าในขณะนี้ ปริมาณที่คนนั่งรถเมล์ ถ้าเช็กให้ดีๆ แล้วมันไม่ได้มากตามที่เขาบอก ข้อที่ 2. ทำไมรัฐบาลถึงไม่คิดให้ ขสมก. เป็นผู้กำกับดูแลขนส่งมวลชนที่อยู่บนพื้นดิน โดยการตัดให้สัมปทานเอกชนเขาไปทำ มันไม่ยากเลย ขนส่งมวลชนที่ตัดไปให้เอกชนทำนั้น สามารถตัดได้ ถ้าคุณตัดไปแล้วเอกชนทำ เอกชนตั้งราคาเท่าไหร่ คุณมีคณะกรรมการ ซึ่งมีภาคประชาชนเข้าไปร่วมด้วย นักหนังสือพิมพ์เข้าไปร่วมด้วย ข้าราชการเข้าไปร่วมด้วย แล้วพิจารณาว่าราคาอันนี้มีเหตุมีผลไหม ผมคิดว่าเอกชน เขาทำรถเมล์ เขาทำแล้วเขามีกำไร ในขณะเดียวกัน เขาสร้างคุณภาพได้
คุณเติมศักดิ์ครับ รถเมล์ทุกวันนี้ 3,000 กว่าคันในกรุงเทพฯ ยังบริหารจัดการไม่ได้ มา 4,000 คันแล้ว ขาย 3,000 กว่าคันไป แล้วที่บอกขาย 3,000 กว่าคัน มีแผนการขายให้ดูไหม จริงๆ แล้วคุณจะขาย 3,000 กว่าคันทิ้ง แล้วคุณเอา 4,000 คันมา คุณต้องเอาแผนการขาย 3,000 คัน ประกอบกับโครงการที่คุณจะซื้อ 4,000 คันเข้ามาด้วย คุณต้องประกอบให้เห็นชัด ว่าคุณจะขาย 3,000 คัน คุณจะขายคันละเท่าไหร่ คุณขายให้ใคร แล้วเงินจะเข้ามาเป็นระยะแบบไหน 3,000 กว่าคันของคุณนั้น คุณจะขายเดือนละกี่คัน 4,000 คัน คุณจะเข้ามาเดือนละกี่คัน มาทดแทนกันอย่างไรบ้าง เพื่อไม่ให้รถเมล์ขาด แผนการพวกนี้ไม่เห็นเลย มีอยู่อย่างเดียวคือจะเช่า
เติมศักดิ์- เพราะเช่าได้ตังมากกว่า
สนธิ- ได้ตัง แล้วทิ้งเลย แล้วผมเรียกร้องให้เปิดเผยให้ดูสัญญา เพราะสัญญาตลกมาก ถ้าผมเดาไม่ผิด มีอยู่ช่วงหนึ่งบอกว่า แก๊สเอ็นจีวี คิดเท่านี้ๆ แต่ผ่านไปจำนวนปีสองปีแล้ว ให้ขึ้นราคาแก๊สเป็นเท่านี้ๆ ก็คือสรุปง่ายๆว่า ทั้ง ปตท. เอ็นจีวี และผู้บริหารรถเมล์ ทั้งนักการเมือง รวมหัวกันเหยียบประชาชน ให้ประชาชนเป็นคนแบก เราต้องเสียภาษี เอาภาษีไปแบกเรื่องการเช่ารถเมล์ แล้วก็ยังต้องจ่ายค่าแก๊สเอ็นจีวีให้แพงขึ้นกว่าเดิม ระยะแรกๆถูก แต่หลังๆ ก็จะต้องแพงขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว โครงการนี้เป็นโครงการอภิมหากาพย์ของการฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่ได้ด้อยไปกว่าสนามบินสุวรรณภูมิแม้แต่นิดเดียว ที่น่าสนใจคือมาจากกระทรวงเดียวกัน คือกระทรวงคมนาคม
ผมมีความรู้สึกของผมอย่างนี้ ผมเสียใจ และผมเห็นว่าชาติบ้านเมืองมันบอบช้ำ มาสมัยคุณทักษิณ ปี 2544 มาจนปัจจุบัน แล้วพอเปลี่ยนมือกลับบอบช้ำต่อไปอีก ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นมาเลย
เติมศักดิ์- ประชาธิปัตย์ในสภาก็อภิปรายคัดค้านเรื่องนี้ไว้เยอะ
สนธิ- คุณถาวร เสนเนียม เป็นคนขุดค้นเรื่องราวต่างๆมาพูดจาออกมาอย่างชัดเจน หลักฐานก็มี ทุกอย่างก็มี แต่วันนี้ผมก็เห็นใจเขา แต่ผมไม่สงสารเขา ผมสงสารประเทศ คือหลายๆคนจะบอกว่า การเมืองมันก็อย่างนี้แหละ นี่แหละการเมืองเก่า
เติมศักดิ์- การเมืองมันต้องประสานประโยชน์กันเพื่อเสถียรภาพ ต้องประนีประนอม นี่คือการเมืองเก่า
สนธิ- ทั้งหมดเพื่อจะรักษาอำนาจของตัวเอง รักษาอำนาจบนความพินาศฉิบหายของสังคม ผมคิดว่าคุณเปลว สีเงิน ท่าเขียนบทความในไทยโพสต์ ท่านเขียนดีมาก ท่านบอกว่าวันไหนอนุมัติรถเมล์ชุดนี้ วันนั้นคือวันพินาศฉิบหายของรัฐบาลชุดนี้
ผมอยากจะเตือนท่านนายกฯ อภิสิทธิ์นิดหนึ่ง ท่านเป็นคนดี ผมคิดว่าอยากจะสนับสนุนท่านต่อ ท่านต้องมองให้ไกล เกินไปกว่าที่จะมีอำนาจต่อไปอีก 3 เดือน 6 เดือน เพื่อให้งบประมาณผ่านไป เชื่อผมเถอะครับ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีความปรารถนาดีต่อท่านอย่างมาก แต่ว่าเราไม่สามารถฝากผีฝากไข้กับชาติบ้านเมืองนี้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ได้ ด้วยเหตุนี้ พี่น้องชาวพันธมิตรฯ เขาถึงเรียกร้องให้มีการตั้งพรรคการเมือง ถ้าเขาฝากผีฝากไข้กับพวกท่านได้ เขาไม่ตั้งพรรคหรอกครับ เขาจะไม่มีวันตั้งพรรคหรอกครับ
เติมศักดิ์- ในเรื่องเดียวกันนี้ รถเมล์เอ็นจีวี ถ้าเป็นการเมืองใหม่ จะทำอย่างไร
สนธิ- เรื่องรถเมล์เอ็นจีวี ถ้าเป็นการเมืองใหม่ สิ่งแรกที่เราต้องทำอย่างแน่นอนที่สุด คือเราต้องพิจารณาระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย เอาเฉพาะในกรุงเทพฯ ก่อนครับ เรามีความเชื่อว่า ใครใช้มากคนนั้นจ่ายมาก ปัญหาภาษีอาการที่จะต้องมาแบกระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯนั้น จะต้องเป็นปัญหาภาษีอากรที่คนกรุงเทพฯ ต้องแบกรับ คนที่มีรถยนต์พวกนี้จะต้องเป็นคนที่แบก ถนนกรุงเทพฯ มีอยู่ 100 เปอร์เซ็นต์ 85 เปอร์เซ็นต์ ใช้โดยคนที่มีรถยนต์ 85 เปอร์เซ็นต์ ใช้โดย 15 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มีรถยนต์ อีก 15 เปอร์เซ็นต์ของถนนใช้โดยคน 85 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นคนที่มีรถยนต์จะต้องเป็นคนจ่าย ต้องจ่ายภาษีถนน ภาษีถนนคือภาษีที่จะต้องเอามา เพื่อมาพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ
กระบวนการขนส่งมวลชนมี 2 ประเภท มีรถเมล์วิ่งบนดิน มีรถไฟใต้ดินวิ่งข้างล่าง น่าเสียดายที่รถใต้ดินเขาใช้วิธีประมูลไป และกู้เงินมา เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะให้เอกชนเข้าไปบริหาร ก็จะคิด 30 บาท 50 บาท 60 บาท สุดแล้วแต่
คุรเติมศักดิ์ 2 ปีที่ผ่านมา เด็กที่เรียนหนังสือจบปริญญาตรีแล้วมาทำงานเงินเดือน 8,000 บาท ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยครับ คุณไปที่เชียงใหม่ เด็กจบปริญญาตรีทำงานที่เชียงใหม่ 5,500 นะครับ 8,000 บาท ผมให้ 9,000 บาท 9,000 บาท เด็กคนหนึ่งจะต้องไปเช่าห้องพักอยู่ห้องหนึ่งประมาณ 3,000 ก็หาแทบไม่ได้แล้วนะ บวกค่าน้ำค่าไฟอีกประมาณสัก 2,000 บาท เป็น 5,000 บาท ผมให้ 4,000 4,000 บาท ครับคุณเติมศักดิ์ 4,000 บาท คุณต้องเสียค่ารถนั่งไปทำงานนั่งกลับ เบ็ดเสร็จวันละ 100 กว่าบาท เดือนละ 3,000 มีเงินกินก๋วยเตี๋ยวได้วันละจาน ผมถามคุณซิว่า ลูกหลานเราเมื่อไหร่จะมีบ้านอยู่ เมื่อไหร่จะตั้งตัวได้ เพราะว่าทุกคนเอารัดเอาเปรียบคนที่ทำงานหมดทุกคน คนที่ทำงานจะต้องเป็นคนแบกภาระต่างๆ พวกนี้ ในขณะซึ่งราคาไม่ได้เพิ่มขึ้น แล้วใครกำไรมากที่สุด บริษัทต่างๆ ที่อยู่ข้างบน นักการเมืองร่ำรวยจากการคอร์รัปชั่น
คุณเติมศักดิ์ สมัยก่อน หนุ่มๆ ผมผ่อนบ้าน 15 ปีหมด ดาวน์บ้าน 25 เปอร์เซ็นต์ ผมผ่อนรถยนต์ 3 ปีหมด สมัยนี้เงินเดือนคนไม่ได้ขึ้น จบมายัง 8,000 บาท แล้วจะมีบ้านได้ยังไง ได้ซิก็ยืดจากการผ่อน 15 ปีเป็น 30 ปีไง ยืดจากการผ่อนรถ 3 ปีเป็น 6 ปี 7 ปี ส่วนซึ่งยืดออกไปเป็นส่วนซึ่งลูกหลานเราต้องทำงานหนักเพิ่มเป็นพิเศษ แล้วก็ผ่อนส่งของต่างๆ พวกนี้ นี่คือการเมืองเก่า การเมืองเก่าไม่ได้มีโอกาสให้ลูกหลานเราเกิดขึ้นได้เลย คนข้างบนเท่านั้นที่ร่ำรวยอยู่ ผู้รับเหมา นักการเมือง คิดโครงการอะไรขึ้นมาแล้วกินส่วนต่าง ทำให้ต้นทุนของโครงการสูงขึ้นตลอด ถ้าเราใช้หลักของการเมืองใหม่เข้ามา ใช้ว่า ใครใช้มากคนนั้นต้องจ่าย ถ้าเรามีภาษีถนนเข้ามา เราเอารายได้ภาษีถนนเข้ามา สะสมเป็นเงินกองทุนสักก้อนหนึ่ง คุณเติมศักดิ์ รถยนต์ในกรุงเทพฯ มีประมาณ 5 ล้านคัน ถ้าผมคิดภาษีถนน คันละ 5,000 บาท ปีนึงผมมี 25,000 ล้านบาท ผมคิด 2,000 บาทก็ได้ 2,000 บาท โทษฐานที่คุณมีรถยนต์ นอกเหนือจากภาษีป้ายแล้ว 2,000 บาท 1 ปีคุณมี 10,000 ล้าน 10,000 ล้าน คุณสามารถออกพันธบัตร 20 ปีได้จำนวน 100,000 ล้าน คุณเอาเงินสด 100,000 ล้าน ขายพันธบัตร ไปค้ำประกันด้วยภาษีถนน ซึ่งรัฐเป็นคนเก็บ แล้วจ่ายคืนให้พันธบัตร คุณมี 100,000 ล้าน ระบบ 100,000 ล้านบาท คุณพัฒนาขนส่งมวลชนที่เป็นรถไฟใต้ดินได้ถึง 15 สาย รถเมล์อีกบนดิน เหมาเบ็ดเสร็จขึ้นรถเมล์ลงใต้ดินเสร็จ ราคา 10 บาท ถ้าค่ารถที่ต้องเดินทางไปทำงานของชาวบ้าน ของลูกหลานเรา ของประชาชน 10 บาท ไปกลับ 20 บาท เดือนละ 600 บาท เงินเดือน 8,000 บาท ยังพออยู่ได้
โดยสรุป ถ้าคนเราทำงาน ทำงานให้กับประเทศชาติ คิดถึงเรื่องส่วนรวมเอาไว้ก่อน อย่าไปคิดเรื่องส่วนตัว กลับไปสู่คำขวัญของเรา คือต้องเสียสละ ถามว่านักการเมืองวันนี้มีใครเสียสละบ้าง ไม่มี
เติมศักดิ์- เห็นแก่ตัวทั้งนั้น
สนธิ- อยากจะได้เงิน อยากจะได้ตำแหน่ง กล้าหาญไหม ไม่กล้า กล้าหาญที่จะคอร์รัปชั่น แต่ความกล้าหาญที่จะต้องไปตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ ที่มันกระทบกระเทือนผลประโยชน์ของคุณ กล้าไหม ไม่กล้า ไม่เสียสละ ไม่กล้าหาญ ซื่อสัตย์ไหม ไม่ซื่อสัตย์ มีความสามารถไหม ไม่มี เพราะถ้ามีความสามารถ จะคิดได้อย่างไร รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน นี่เป็นความสามารถในการทำสิ่งที่ไม่ถูก ต้องสามารถทำสิ่งที่ถูกแล้วคิดถึงส่วนรวม เพราะฉะนั้นแล้ว ปัญหาก็คือว่า ในขณะนี้ประเทศไทยของเราทั้งหมด อยู่ในมือนักการเมือง นักการเมืองทำตัวเป็นเจ้าของประเทศไทย นี่คือพวกนักการเมืองรุ่นเก่า เอะอะอะไรก็บอกว่า ตกลงกันในสภา นั่นคือว่า ทำไมเราถึงต้องออกมาประท้วง ประท้วงเสร็จเรียบร้อยแล้วทำไมเราต้องเข้าไปสู้กันในสภา เพราะเราต้องการทำเป็นตัวอย่างให้เห็น เราต้องการจะแยกแกะขาวออกจากแกะดำให้เห็นชัด อยู่ในสภานั่นหละ แกะดำมีส่วนหนึ่ง แต่เราจะพยายามเป็นแกะขาวให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นประเทศไทยไม่มีอนาคต คุณเติมศักดิ์
เติมศักดิ์- อาจจะมีคนถามว่า แล้วถ้า 1 เดือนตีกลับมาแล้ว ครม.อนุมัติให้เช่าหรือเช่าซื้อก็ตามแต่ ซึ่งมันขัดกับสิ่งที่พันธมิตรฯ กำลังแสดงจุดยืนอยู่ตอนนี้ ถ้าถึงเวลานั้นพันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหวไหม
สนธิ- ผมคิดว่ามันไม่ใช่เป็นประเด็นจะต้องเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหว เป็นประเด็นว่า ผมเชื่อว่าถ้ารัฐบาลชุดนี้ ครม.ชุดนี้อนุมัติโครงการนี้ เขาต้องตอบคำถามกับประชาชนแล้ว เขาต้องตอบ ตอนนี้โครงการรถเมล์ 4,000 คัน เป็นโครงการซึ่งเสียงส่วนใหญ่เชื่อแล้วยอมรับแล้วว่าเป็นโครงการที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ที่ไม่สะอาด ไม่มีธรรมาภิบาล เพราะฉะนั้นแล้วท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ท่านจะเสี่ยงตัวท่านเอง หรือพรรคประชาธิปัตย์จะเสี่ยงตัวเอง ต้องไปตอบพี่น้องชาวใต้ พี่น้องชาวใต้จะเห็นว่า นี่ไง ไหนบอกว่าซื่อสัตย์ ไหนบอกว่าไม่พายเรือให้โจรนั่ง ต้องตอบคำถามเอง พันธมิตรฯ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าทำตัวเองคนจะเห็นได้ชัดเจน เมื่อชัดเจนแล้วก็ต้องตอบคำถามในการเลือกตั้งงวดหน้าว่า ตัวเองทำไมถึงตัดสินใจเลือกรถเมล์ 4,000 คัน
รถเมล์ 4,000 คัน ถ้ารัฐบาลชุดนี้อนุมัติ อันนี้จะเป็นฝันร้ายของพรรครัฐบาลตลอดไป เพราะว่าไปเดินที่ไหน เวลามีคนเขาถาม เวลาคู่ต่อสู้เขาปราศรัยหาเสียง เขาก็บอกว่า คุณมีส่วนร่วมในการฉ้อราษฎร์บังหลวง รถเมล์ 4,000 คัน ถ้าคุณไม่เกี่ยวคุณอนุมัติทำไม ตอบไม่ออกนะ
เติมศักดิ์- ไม่ว่าจะอนุมัติแบบเช่าหรือเช่าซื้อก็ตาม
สนธิ- จะออกแบบใดก็ตาม เพราะมันไม่มีเหตุผล
เติมศักดิ์- มันตอบคำถามคนไม่ได้
สนธิ- ตอบคำถามคนไม่ได้เลย มันไม่มีความจำเป็นต้องมี แล้วถ้ามีแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องแพงแบบนี้
เติมศักดิ์- แล้วประชาชนจะตัดสินเองโดยที่พันธมิตรฯ ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหว
สนธิ- ไม่ต้องเลยครับ ไม่ต้องเคลื่อนไหวเลยงานนี้ งานนี้มันลงไปถึงจิตวิญญาณของคนหมดแล้ว เอาอย่างนี้ดีกว่า ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ในขณะนี้ผมเดาใจท่านไม่ออก แต่ผมพอที่จะคาดคะเนได้ว่า ท่านก็ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ผมถึงบอกผมเห็นใจท่าน แต่ผมไม่สงสารท่าน ที่ผมไม่สงสารท่านก็เพราะว่า บางครั้งท่านพูดอะไรผมเห็นใจท่านนะ แล้วผมเออ ท่านพูดดี ท่านบอกท่านจะไม่ยอมเรื่องอะไรที่ไม่ถูกต้อง เออผมเห็นใจท่านแล้ว เออใช้ได้ แต่พอผ่านไปสักพักหนึ่งท่านอาจจะโดนที่ปรึกษาท่าน หรือว่าท่านเลขาพรรค ไปกล่อมท่านบอกว่า เราต้องอดทนหน่อยนะ รอให้งบประมาณผ่านก่อน ถ้างบประมาณไม่ผ่านแล้วโครงการต่างๆ ไม่เกิดขึ้น ถ้าโครงการต่างๆ ไม่เกิดขึ้นเราลำบากนำ อย่างนั้นกัดฟันทนต่อไปสักนิด มันจะเป็นอย่างนี้
เติมศักดิ์- ยอมๆ ไปก่อน
สนธิ- ยอมๆ ไปก่อน สักพักคุณธรรมกลับมา ผมจะไม่ยอมแล้วนะ อะไรผิดพลาดผมไม่เอาด้วย แต่พอสักพักมีคนมากล่อมอีก ท่านจะเป็นอย่างนี้ ผมถึงอยากจะกราบเรียนว่า ผมอยากให้ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ต้องใช้ความกล้าหาญ จริงๆ เราเรียกร้องให้ท่านใช้ความกล้าหาญมานานแล้ว แต่ท่านไม่ใช้ซิที ท่านไม่ใช้ ท่านใช้เฉพาะบางเรื่อง แต่เรื่องราวใหญ่ๆ ท่านไม่กล้าใช้ อย่างเรื่องตำรวจ ท่านก็ไม่กล้าใช้ เรื่องรถเมล์ท่านใช้บ้างแต่ท่านยังไม่เด็ดขาด ท่านใช้แต่ท่านยังหาโอกาสให้ไปฟอก ภาษาคนประชาธิปัตย์เขาเรียกว่า ทำให้มันเนียน มันจะได้ไม่เสีย จะได้ไม่ถึงตัว
เติมศักดิ์- อย่าให้โจ๋งครึ่มมาก
สนธิ- จริงๆ แล้วกรณีรถเมล์ ผมมีข้อคิด กรณีรถเมล์ผมไม่อยากให้ท่านนายกฯ เอาความเห็นประชาชน เอาประชาชนขึ้นมาคัดค้านมากจนกระทั่งท่านพูดกับพรรคร่วม บอกว่าเพราะว่าประชาชน สังคมค้านมาก เพราะฉะนั้นแล้วอย่าเอาเลย
เติมศักดิ์- ยืมกระแสสังคม
สนธิ- ผมไม่อยากให้ท่านยืม ผมอยากให้ท่านยืนหยัดด้วยตัวท่านเองแล้วชี้เลยว่า เรื่องรถเมล์ผมยอมให้ไม่ได้
เติมศักดิ์- จากจุดยืนของท่านเอง
สนธิ- จากจุดยืนของท่านเอง ท่านต้องรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ได้ เพราะท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ท่านรู้อยู่แล้ว ท่านรองนายกฯ กอร์ปศักดิ์ ท่านก็รู้ว่าไม่ได้ ท่านถาวร เสนเนียม ท่านก็รู้ว่าไม่ได้ ท่านบัญญัติ บรรทัดฐาน ท่านก็รู้ว่าไม่ได้ อย่าใช้วิธียืมกระแสประชาชน
เติมศักดิ์- ทำไมครับ เพราะว่า คุณอภิสิทธิ์อาจจะบอกว่า ก็กระแสสังคมไม่เอา เขาก็อาจจะบอกว่า เขาฟังเสียงประชาชน
สนธิ- มันสะท้อนถึงคุณภาพผู้นำ เพราะว่าหลายต่อหลายครั้ง การเป็นผู้นำนั้นต้องกล้าตัดสินใจ และรู้ว่าอันนี้ผิดแน่นอนอันนี้ถูกแน่นอน ต้องยืนในสิ่งที่ถูก และไม่เอาในสิ่งที่ผิด ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาเป็นผนังเหล็ก
เติมศักดิ์- ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก พักก่อนนะครับคุณสนธิครับ แล้วเดี๋ยวกลับมายังมีคำถามจากคุณผู้ชมทางบ้าน ที่สำคัญก็คือ มีการพูดอย่างนี้นะครับคุณสนธิ เมื่อวานผมฟังจาก ส.ส.ประชาธิปัตย์ คุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ว่า ถ้าพันธมิตรฯ เป็นพรรคการเมืองแล้ว โอกาสในการไปเคลื่อนไหวบนท้องถนนอีกเป็นไปไม่ได้เลย
สนธิ- คุณนิพิฏฐ์เข้าใจผิด
เติมศักดิ์- ซึ่งเดี๋ยวจะมาฟังเข้าใจผิดอย่างไร สักครู่ครับ