xs
xsm
sm
md
lg

พันธมิตรฯ ต้านรถเมล์ฉาว 4 พันคัน ชี้มหากาพย์การโกง-ไม่เอาทั้งเช่าและซื้อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สนธิ”เป็นตัวแทนพันธมิตรฯ ประกาศค้านรถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน ไม่ว่าเช่าหรือซื้อ ระบุเป็นโครงการฉ้อฉล ไม่โปร่งใส ไร้เหตุผลรองรับ เข้าข่ายเป็นมหากาพย์ฉ้อราษฎร์บังหลวงเทียบเท่าโกงสุวรรณภูมิ แฉสั่งรถเมล์เข้ามาผ่านท่าเรือกรุงเทพฯ พร้อมวิ่งแล้ว ทั้งที่ ครม.ยังไม่อนุมัติ เชื่อเงินถึงมือนักการเมืองนับหมื่นล้านบาท แนะนายกฯ ใช้ความเด็ดขาดประกาศยุติโครงการ ไม่เช่นนั้นจะถือเป็นจุดจบของรัฐบาลชุดนี้

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการ “คนในข่าว”

นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวเปิดใจใน รายการ"คนในข่าว" ทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 10 มิ.ย. ถึงโครงการเช่ารถเมล์ NGV ฉาวและภาพรวมของระบบขนส่งมวลชนในประเทศ ว่า โครงการรถเมล์ NGV 4,000 คัน มีมาตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งขณะนั้นพันธมิตรฯ กำลังชุมนุมอยู่ที่ท้องสนามหลวง เพื่อขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยโครงการดังกล่าว ได้มีแผนเสนออยู่แล้ว ตั้งแต่รัฐบาลสมัยนั้น แต่เมื่อเรื่องถูกเปิดออกมาก็กลัวไม่ได้รับการยอมรับ เพราะอาจเกิดปัญหาในแง่ลบ จึงชะลอโครงการออกไป จนผ่านวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหาร และปี 2550 ก็มีรัฐบาลที่มาจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) โครงการรถเมล์ NGV ก็ยังไม่ได้เปิด จนกระทั่งมีบทบาทขึ้นมาอีกครั้งในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ดังนั้น จะเห็นได้ว่า โครงการนี้ถูกสืบทอดมาตลอด ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคภูมิใจไทย ที่เรียกได้ว่าเกิดจากการรวมตัวของ ส.ส.พรรคพลังประชาชนที่กระจายตัวออก จึงถูกสานต่อและสืบทอดมาเรื่อยๆ และด้วยเหตุนี้พรรคเพื่อไทยจึงพร้อมจะอภิปรายเรื่องนี้ เพราะผลประโยชน์ถูกตัดตอนออกมาอยู่ในพรรคภูมิใจไทยแล้ว

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตนขอแถลงในนามตัวแทนแกนนำพันธมิตรฯ ว่าไม่เห็นด้วยกับการโครงการรถเมล์ NGV ดังกล่าว ไม่ว่าจะเช่าหรือซื้อ เนื่องจากเป็นโครงการที่ฉ้อฉล ผิดตรรกะ และไม่โปร่งใส เราไม่ต้องการรถเมล์ 4 พันคัน แต่เราต้องการระบบขนส่งมวลชนภายในกรุงเทพฯ ที่มีประสิทธิภาพ และคนที่แบกรับภาระก็ควรจะเป็นคนที่ใช้ถนนมากกว่าคนอื่น ซึ่งก็คือคนที่ใช้รถส่วนตัวตามหลักอารยะประเทศ ที่จะต้องแบกรับภาระมากกว่าคนอื่นในรูปของการจ่ายภาษี

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ทำไมจะต้องเช่ารถเมล์ NGV ถึง 10 ปี อย่างรถทำข่าวของ ASTV เราเช่าแบบปีต่อปี แต่ถ้าหากใช้มาแล้ว 3 ปี แม้ไม่เกิดอุบัติเหตุ ไม่มีการเฉี่ยวชน ทางบริษัทให้เช่ารถดังกล่าวก็จะนำรถคันใหม่มาเปลี่ยนมาให้ โดยที่ทาง ASTV ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด นอกจากนี้รถยังมีค่าเสื่อมปีละ 20 %ครบ 5 ปี ก็มีค่าเป็น 0 เพราะฉะนั้นไม่มีบริษัทไหนที่จะเช่าแบบผูกพันถึง 10 ปี

นายสนธิ กล่าวว่า โครงการรถเมล์ NGV ฉาว มีความไม่ชอบมาพากลหลายประการ โดยนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ได้การันตีว่าโครงการดังกล่าวจะต้องทำกำไรได้อย่างงดงาม ซึ่งเมื่อดูจากตัวเลขกำไรแล้ว จะเห็นได้ว่าไม่มีเหตุผล ที่จะทำกำไรได้ถึง 100,000 กว่าล้านบาท ถือเป็นตัวเลขที่เพ้อเจ้อ เป็นตัวเลขฟองสบู่ที่ไม่มีอะไรรองรับ และอีกกรณีหนึ่งก็คือ นายโสภณได้ลดราคาค่าเช่าในโครงการดังกล่าวลง จากที่เคยเสนอมา 6.9 หมื่นล้าน เหลือ 6.4 หมื่นล้าน ทำไมจึงลดได้ถึงคราวละ 5 พันล้านบาท แสดงว่าตัวเลขที่ลดลงมานั้นถ้าผ่านอนุมัติก็จะเข้ากระเป๋านักการเมือง ถ้าหาก ครม. อนุมัติในตัวเลขที่สูงกว่านี้ ก็เท่ากับว่าโครงการรถเมล์ NGV จะทำให้นักการเมืองมีเงินเข้ากระเป๋ามากขึ้น และเชื่อว่าโครงการนี้จะมีเงินเข้ากระเป๋านักการเมืองถึง 1 หมื่นล้านบาท จึงเห็นว่า ปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่นไม่หมดสิ้นไปจากสังคมสักที

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีโครงการขนส่งมวลชนที่ไหนทำแล้วได้กำไร มีแต่รัฐบาลต้องเอาเงินมาช่วยชดเชยให้ แต่สิ่งที่นายโสภณ พูดว่า โครงการนี้ต้องมีกำไร เป็นพฤติกรรมที่อยากผลักดันให้โครงการเกิดขึ้น ทั้งนี้ ปัญหาคอร์รัปชั่น มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท คือ ประเภทแรกคอร์รัปชั่นจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่างๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาในประเทศไทยเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยมีตั้งแต่การได้รับผลประโยชน์ 3-5% ของมูลค่าโครงการ ในยุคของพรรคไทยรักไทยที่โลภมากขึ้นก็เพิ่มไปจนถึง 20-30% ในบางโครงการ อีกประเภทคือคอร์รัปชั่นนโยบาย เช่น กรณีภาษีสรรพสามติโทรคมนาคม ที่คนเป็นรัฐบาลต้องมีธุรกิจส่วนตัวรองรับ ซึ่งสามารถเอื้อผลประโยชน์ได้ แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีธุรกิจไรมารองรับ จึงมีเฉพาะการทุจริตโครงการ ดังนั้น จึงเปิดโอกาสให้พรรคร่วมรัฐบาล นั่นคือ พรรคภูมิใจไทย รีบผลักดันโครงการนี้ให้เป็นผลสำเร็จ โดยโครงการรถเมล์ NGV มีความฉ้อฉล ไม่มีหลักธรรมาภิบาล แต่เหตุผลที่นายโสภณ ต้องให้มีการเช่า เพราะว่า มีการวางเงินมัดจำไปแล้ว และมีการนำรถเมล์เข้ามาแล้ว ทั้งที่โครงการนี้ ยังไม่ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. ซึ่งตนมีหลักฐานชัดเจน เพราะว่า ที่ท่าเรือกรุงเทพฯ มีการนำรถเมล์ NGV มาจอด ไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน-ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แล้วได้มีการทยอยเอารถออกไปซ่อน โดยเข้ามาเป็นล็อตๆ ละ 20-30 คัน และรถจำนวนดังกล่าวได้เตรียมพร้อมสำหรับใช้งาน มีการระบุสายรถประจำทางอย่างชัดเจน ทำให้มั่นใจได้ว่า โครงการนี้มีการเตรียมแผนไว้หมดแล้ว และมีการตั้งธงอยู่แล้วว่า ครม. ต้องอนุมัติแน่นอน

นายสนธิ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ที่ประเทศไทยต้องพบเจอปัญหานี้ เพราะโครงการรถเมล์ NGV ต้องผลาญเงินไปจำนวน 69,000 ล้านบาท ในยุคที่ประเทศกำลังยากจน แต่รัฐบาลต้องกู้เงินกว่า 800,000 แสนล้านบาท เพื่อมาใช้จ่ายและให้นักการเมืองฉ้อฉลถลุงเอาไปใช้ โดยจากการติดตามการทำงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะเห็นได้ว่า ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของการหาวิธีจะทำอย่างไรให้การเลือกตั้งครั้งต่อไป มีความโปร่งใส ไม่มีการทุจริต ไม่มีการซื้อเสียง ดังนั้น ปัญหาคอร์รัปชั่นจึงไม่หมดไปง่ายๆ หากนายอภิสิทธิ์ ยังไม่กล้าแสดงอะไรออกมา ก็จะเสมือนการนำประเทศออกไปประมูล ใครมีเงินมากก็ได้ไป การเมืองเก่าก็จะยังคงอยู่ในสังคมไทยต่อไป

สำหรับกรณีที่รัฐบาลให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ เข้ามาศึกษาและตรวจสอบโครงการดังกล่าว นายสนธิ เห็นว่า ตนไม่ไว้ใจสภาพัฒน์ เพราะนายอำพน กิตตอำพน เลขาธิการสภาพัฒน์ มีความสนิทชิดเชื้อกับนายเนวิน ชิดชอบ ตั้งแต่สมัยที่นายเนวินเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า นายเนวิน มีบทบาทอยู่ในพรรคภูมิใจไทยด้วย จึงแสดงให้เห็นความไม่โปร่งใส และไม่น่าไว้วางใจ การที่รัฐบาลทำอย่างนี้ เป็นเหมือนการเอาเรื่องดังกล่าวไปซักฟอก ตนไม่อยากให้สภาพัฒน์เอาชื่อเสียงที่สะสมมานาน มาเสี่ยงกับเรื่องนี้ ส่วนการให้สถาบันพระปกเกล้า ช่วยพิจารณาเรื่องโครงการนี้ เป็นเรื่องที่ต้องมองความจริงว่า สถาบันพระปกเกล้าเป็นสถาบันทางการเมือง ไม่ใช่สถาบันวิจัย แล้วอีกอย่าง คืออยู่ภายใต้รัฐสภา มีนายชัย ชิดชอบ เป็นผู้คุมบังเหียนอยู่ ซึ่งนายชัย ก็เป็นบิดาของนายเนวิน จึงปฏิเสธความไม่ชอบมาพากลไม่ได้อยู่แล้ว

นายสนธิ กล่าวต่อว่า อีกเหตุผลที่พันธมิตรฯ ไม่เห็นด้วยกับรถเมล์ 4 พันคันก็เพราะปริมาณคนที่นั่งรถเมล์ไม่ได้มากตามที่นายโสภณบอก ทางออกที่ดีที่สุด คือ ทำไมไม่ให้ ขสมก. เป็นผู้ดูแลระบบขนส่งมวลชนบนพื้นดินและให้เอกชนมาทำทั้งหมดโดยมีคณะกรรมการภาคประชาชนร่วมด้วย และเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการสัมปทาน ซึ่งตนเชื่อว่า เอกชนมีความสามารถในการทำกำไรได้แน่นอน

นอกจากนี้ โครงการรถเมล์ 4 พันคัน ยังไม่มีแผนรองรับสำหรับรถเมล์ที่มีอยู่เดิม 3 พันคัน ว่าจะขายอย่างไร ขายเดือนละกี่คัน และ 4 พันคันที่เข้ามาใหม่นั้นจะเข้ามาเดือนละกี่คัน แผนเหล่านี้ไม่มีเลย มีแต่จะเช่า ได้เงินแล้วก็จะทิ้งคันเก่าไปเลย รวมทั้งยังไม่มีการเปิดเผยสัญญาการเช่าด้วย เพราะเท่าที่ทราบจะมีการขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวีทำให้ประชาชนเดือดร้อนด้วย จึงถือว่าโครงการนี้เป็นอภิมหากาพย์ฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่แพ้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งถ้ารัฐบาลอนุมัติวันไหนก็ถือว่าวันนั้นคือจุดจบของรัฐบาลชุดนี้

อย่างไรก็ตาม นายสนธิ กล่าวต่อว่า นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นคนดี อยากจะสนับสนุนต่อ แต่สิ่งที่ตนอยากฝากถึงคนที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติ ว่า ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมให้มากกว่านี้ และต้องกล้าหาญพอที่จะจัดการกับปัญหาคอร์รัปชั่น ต้องไม่ให้ไกล ไม่ใช่แค่จะยืดอายุให้รัฐบาลอยู่ต่ออีก 3 เดือน เพื่อให้งบประมาณผ่าน โดยให้นักการเมืองเป็นเจ้าของประเทศ พันธมิตรฯ ปรารถนาดีต่อนายกฯ แต่ไม่อาจฝากผีฝากไข้กับนักการเมืองเก่าได้ จึงตั้งพรรคขึ้นมา เพื่อเข้าสู่การต่อสู้ในรัฐสภา ทำให้การเมืองเป็นเรื่องที่สะอาด และแยกแกะขาวออกมาจากแกะดำ

นายสนธิ กล่าวว่า ถ้าเป็นการเมืองใหม่ สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือเราต้องพิจาณาขนส่งมวลชนทั้งระบบก่อน เราเชื่อว่าใครใช้ถนนมากต้องจ่ายมาก ภาษีที่เอามาแบกต้องเป็นคนกรุงเทพฯ แบกรับ ไม่เอาภาษีคนทั้งประเทศมาแบก เพราะถนนทั้ง กทม. 85% ถูกใช้โดยคน 15% ที่มีรถยนต์ เพราะฉะนั้นคนที่มีรถยนต์ต้องจ่าย เพื่อเอาเงินมาทำขนส่งมวลชน ซึ่งมี 2 ประเภท คือ รถเมล์ที่อยู่บนดิน และรถไฟใต้ดิน แต่น่าเสียดายที่ระบบใต้ดินเราให้เอกชนมาสัมปทานแล้วคิดค่าโดยสารราคาแพง จนคนที่เพิ่งทำงานใหม่ๆ เงินเดือน 8,000 บาทไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าเราเก็บภาษีรถยนต์มาพัฒนาขนส่งมวลชนทั้งรถไฟใต้ดินและรถเมล์ ก็สามารถเก็บค่าโดยสารราคาถูกให้คนเงินเดือนน้อยสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ถ้าหากรัฐบาลยังดึงดันที่จะเดินหน้าอนุมัติโครงการรถเมล์ 4 พันคัน พันธมิตรฯ คงไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ต้องตอบคำถามพี่น้องชาวใต้ ให้ได้ว่าความสุจริตอยู่ที่ไหน ทำไมไปพายเรือให้โจรอย่างนี้ แต่ถ้าหากนายอภิสิทธิ์ ยังหาทางออกไม่ได้ ตนก็เห็นใจจากคนที่เคยพูดว่า จะไม่ยอมทำอะไรที่ผิด แต่สักพักก็ถูกกล่อมว่าถ้าไม่ผ่านโครงการเราก็อยู่ได้ไม่นาน จึงอยากจะให้ใช้ความกล้าหาญจัดการกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งเราเรียกร้องมานานเรื่องความเด็ดขาด แต่ที่ผ่านมายังไม่เด็ดขาดกับเรื่องใหญ่ๆ เช่น เรื่องตำรวจ เรื่องรถเมล์ก็ใช้ความกล้าหาญบ้างแต่ยังไม่เด็ดขาด ยังหาโอกาสไปฟอก เพื่อทำให้เนียน ไม่ให้เกิดความขัดแย้ง และใช้กระแสสังคมมาเป็นเกราะกำบัง ซึ่งไม่จำเป็นเพราะมันจะบ่งชี้ถึงสภาวะผู้นำได้เป็นอย่างดี นายกฯ ควรแสดงออกให้ชัดเจนด้วยตัวเองไปเลยว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด เนื่องจากนายอภิสิทธิ์เองก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์น่าจะรู้ว่าโครงการนี้คุ้มหรือไม่

นายสนธิ กล่าวต่อว่า นายอภิสิทธิ์ ถือเป็นคนรุ่นใหม่ในโครงสร้างการเมืองเก่า เป็นคนดีคนสุดท้ายในการเมืองเก่า ซึ่งไม่รู้จะแบกต่อไปได้นานแค่ไหน พรรคประชาธิปัตย์ที่อยู่ได้ก็เพราะพึ่งพาภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์ แต่คำถามคือนายอภิสิทธิ์จะแบกภาระได้นานแค่ไหน เพราะตอนนี้ก็เริ่มล้าแล้ว และจะสอบตกหรือไม่ขึ้นกับรถเมล์ 4 พันคนและอีกหลายเรื่อง ถ้าสอบตกในอนาคตการเมืองเก่าก็จะไม่มีใครมาแทนนายอภิสิทธิ์อีกแล้ว

นายสนธิ กล่าวอีกว่า วันอังคารหน้า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.จะแถลงข่าวกรณีถูกปล้นตำแหน่งโดยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ซึ่งไม่ทราบว่าจะแถลงต่อหรือไม่ว่า พล.ต.อ.พัชรวาทนั้นถูกร้องเรียนพร้อมกับ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ และ พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์ กรณีทุจริตสมัยที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เป็น ผบ.ตร.และผลสอบสวนสรุปว่ามีมูล ถูกส่งไปสำนักนายกรัฐมนตรีตั้งแต่สมัยนายสมัครเป็นนายกฯ แต่นายสมัครไม่ทำอะไร สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ นายสมชายกำลังจะทำ แต่พ้นตำแหน่งไปก่อน

นายสนธิ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้อยู่ที่โต๊ะนายอภิสิทธิ์มานานแล้ว ถ้าไม่ทำจะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งนายอภิสิทธิ์จะต้องย้าย พล.ต.อ.พัชรวาท แต่ตอนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ ใหม่ๆ นั้น กลับให้นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ย้าย พล.ต.อ.พัชรวาทกลับมาเป็น ผบ.ตร.เพื่อไม่ผิดใจกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บททดสอบนายอภิสิทธิ์คือวันอังคารหน้า ถ้าไม่ผ่านและสอบตก พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องหาคนมาให้เกาะภาพลักษณ์แทนนายอภิสิทธิ์ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีแค่ 2 คน คือนายชวน หลีกภัย และนายอภิสิทธิ์ที่แบกได้ระดับหนึ่งเท่านั้น และคงแบกต่อไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นอยากให้นายอภิสิทธิ์ได้คิดว่าควรจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่กล้าหาญทางจริยธรรม ดีกว่าเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก

อ่าน คำต่อคำ"สนธิ ลิ้มทองกุล"ให้สัมภาษณ์รายการ"คนในข่าว"



กำลังโหลดความคิดเห็น