การปลุกระดมมวลชนกลุ่มเสื้อแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีของศาลฎีกา ด้วยการวิดีโอลิงก์เข้ามาปราศรัยเมื่อคืนวันศุกร์ที่ 27 มีนาคม ที่ผ่านมานั้นถือว่าน่าสนใจกว่าหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา
โดยส่วนตัว ผมถือว่าคำปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งล่าสุดนั้นถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ของสงครามประชาชนที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการ และ นายจักรภพ เพ็ญแข รวมถึงแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้เกริ่นนำมาแล้วหลายครั้งและกำลังดำเนินการจุดไฟสงครามดังกล่าวด้วยการเคลื่อนไหวที่พวกเขาเรียกว่า “แดงทั้งแผ่นดิน” ณ ขณะนี้
ดังที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคยอธิบายมาแล้วหลายครั้งว่า
... พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้เป็นคู่ปรับกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
... พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้คิดแย่งอำนาจกับ พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน หรือ พรรคเพื่อไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ
... คนเสื้อเหลือง ก็ไม่ได้เป็นคู่ปรับกับ คนเสื้อแดง ดังที่ สื่อมวลชน และ คนส่วนใหญ่พยายามจำคู่
แต่คู่ปรับของ พันธมิตรฯ และ คนเสื้อเหลือง แท้จริงแล้วคือ “ระบอบทักษิณ” คือ ระบบทุนสามานย์ คือ การคอร์รัปชั่น-ฉ้อราษฎร์บังหลวง คือขบวนการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ มิใช่ ตัวคุณทักษิณ กลุ่ม นปช. หรือ คนเสื้อแดงโดยตรง
คำปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่า คู่ปรับหรือขั้วตรงข้ามที่แท้จริงของเขาและกลุ่ม นปช. นั้น แท้จริงแล้ว มิใช่กลุ่มพันธมิตรฯ มิใช่คนเสื้อเหลือง มิใช่เอเอสทีวี และยิ่งไม่ใช่ชายที่ชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ... แต่เป็นสถาบันองคมนตรี เป็นองคมนตรีบางคน เป็นทหารบางกลุ่ม เป็นสถาบันตุลาการ เป็นองค์กรอิสระ เป็นนักการเมืองบางพรรค
ในค่ำวันเดียวกัน และเวลาใกล้เคียงกันกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วิดีโอลิงก์เข้ามายังกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล คุณสนธิ ลิ้มทองกุลก็ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีชั่วคราวของพันธมิตรฯ บริเวณบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์
คุณสนธิ ขึ้นเวทีปราศรัยด้วยร่างกายที่อ่อนล้า และ น้ำเสียงที่อ่อนระโหย จากการทำงานหนัก ต้องตื่นตี 4 ทุกวันและการต้องเดินขึ้นศาลแทบทุกวัน หลายวันติดต่อกัน
ผู้ก่อตั้งเอเอสทีวีและหนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ ผู้นี้พูดไว้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาในทำนองที่ว่า อาจถึงเวลาแล้วที่ ชาวพันธมิตรฯ ต้องเลิกทำตัวอยู่ระหว่าง “เขาควาย” ต้องเลิกทำตัวเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้อื่นเสียที และ อาจถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันมารักษาบาดแผลจากการต่อสู้ จับกลุ่มกันไว้เพื่อปกป้องพวกพ้องของเราจากภยันตรายที่เข้าคุกคาม
นับตั้งแต่ปี 2548 ถึงวันนี้ก็นับเป็นเวลา 3 ปีกว่า เกือบ 4 ปีแล้ว ที่สนธิ และกลุ่มพันธมิตรฯ ได้อาสาตัวเป็นทหารแนวหน้าในการออกรบ สู้ศึก กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และบริวารของเขา
การต่อสู้เกือบ 4 ปี นำมาซึ่งอุปสรรคต่างๆ ความลำบากแสนสาหัส ความเศร้าโศกเสียใจ การบาดเจ็บ การสูญเสียทั้งอวัยวะและชีวิต หนี้สิน รวมถึงคดีความนับไม่ถ้วนมากกว่า 50 คดีที่อยู่ระหว่างการสะสาง
ขณะที่ระหว่างการต่อสู้ นอกจากความสุขใจ ความสบายใจที่ได้ทำหน้าที่ใช้หนี้แผ่นดินแล้ว สนธิและพันธมิตรฯ แทบจะไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมาเลย แถมยังต้องกลายเป็นกลุ่มคนที่ถูกสังคมมองว่าเป็นผู้สร้างความขัดแย้ง เป็นผู้ก่อความไม่สงบ เป็นพวกหัวรุนแรง พวกคลั่งสถาบันคลั่งเจ้า ฯลฯ
ในทางกลับกัน กลุ่มคนที่เป็นขั้วขัดแย้งโดยตรงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นปช. และกลุ่มคนเสื้อแดง กลับผลัดกันขึ้นมาเสวยสุขอยู่บนบัลลังก์แห่งอำนาจ นับตั้งแต่กลุ่มทหารในนามของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) องคมนตรีบางคนและคนใกล้ชิด รวมไปถึงล่าสุดคือ คนของพรรคการเมืองเก่าแก่ที่ชื่อ “ประชาธิปัตย์”
ที่ผ่านมามิใช่ว่า พันธมิตรฯ ไม่รู้ว่า เราตกเป็น “เครื่องมือ” และถูกใช้เป็น “อาวุธ” ในการฟาดฟันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และบริวาร พันธมิตรฯ มิใช่คนโง่หรือไร้เดียงสาทางการเมืองขนาดนั้น
ในความเป็นจริงคือพันธมิตรฯ พร้อมใจ เรายินยอมที่เสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ... แม้ชีวิต ... เพื่อรักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพยิ่ง เพียงคาดหวังว่า กลุ่มคนที่ “ใช้” เราเป็นเครื่องมือจะสามารถนำพาบ้านเมือง นำพาสังคมไทย นำพาประชาชนไปสู่หนทางที่ถูกต้องและถูกทำนองคลองธรรมได้จริงๆ
แต่ในเมื่อบรรดาศัตรูโดยตรงของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเช่น ผู้ใกล้ชิดสถาบันเบื้องสูง อย่างเช่น องคมนตรีบางคนยังเห็นทำทีท่าเป็นทองมิรู้ร้อน ยังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ผู้นำทหารส่วนใหญ่ยังหวงแหนในตำแหน่งและอำนาจ นักการเมืองประชาธิปัตย์เกือบทั้งหมด เมื่อเข้าสู่อำนาจแล้วกลับคงทีท่าหยิ่งยะโส พยายามตีตัวออกห่าง และที่สำคัญที่สุด “ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ”
ก็อาจถึงเวลาที่พันธมิตรฯ จะต้องทบทวนตัวเอง อย่างที่คุณสนธิถามเป็นข้อคิดไว้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า “ถึงเวลาหรือยังที่เราจะต้องเลิกทำตัวอยู่ท่ามกลางเขาควาย?”
อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าการเลิกทำตัวอยู่ระหว่างเขาควายนั้นจะเป็นการละทิ้งแนวคิด ทอดทิ้งอุดมการณ์ที่พันธมิตรฯ ยึดถือมาตลอดในห้วงระยะเวลา 3 ปี เกือบ 4 ปีที่ผ่านมา แต่เป็นการถอยกลับมาทบทวนจุดยืน หลบกลับมารักษาตัว เลียบาดแผล และที่สำคัญถือเป็นยุทธศาสตร์ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อที่จะเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง
แกนนำทุกคน พันธมิตรทั่วประเทศ เอเอสทีวี และสื่อในเครือ ยังคงมีภารกิจในการสะสางคดีความที่กองรอเป็นพะเนินเทินทึก มีพันธะในการให้ความรู้ ถ่ายทอดปัญญา มีหน้าที่ในการสร้างมวลชนกลุ่มใหม่ๆ รวมไปถึงการดูแลพรรคพวกของเราที่เสียชีวิต พิการ บาดเจ็บและเดือนร้อนให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติสุขได้
ในด้านปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง “โครงการเครือข่ายธุรกิจเข้มแข็ง” ของกลุ่มพันธมิตรฯ น่าจะเป็นตัวช่วยนำพาพวกเราให้ข้ามฝ่าพายุเศรษฐกิจที่กำลังพัดโหม ไม่มากก็น้อย
ในส่วนวิกฤตการเมือง พันธมิตรฯ อาจจะต้องทบทวนอย่างจริงๆ จังๆ แล้วว่า “พรรคพันธมิตรฯ” ควรจะเป็นก้าวต่อไปเพื่อมุ่งไปสู่การเมืองใหม่ของพวกเราหรือไม่?
โดยส่วนตัว ผมถือว่าคำปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งล่าสุดนั้นถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ของสงครามประชาชนที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการ และ นายจักรภพ เพ็ญแข รวมถึงแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้เกริ่นนำมาแล้วหลายครั้งและกำลังดำเนินการจุดไฟสงครามดังกล่าวด้วยการเคลื่อนไหวที่พวกเขาเรียกว่า “แดงทั้งแผ่นดิน” ณ ขณะนี้
ดังที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคยอธิบายมาแล้วหลายครั้งว่า
... พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้เป็นคู่ปรับกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
... พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้คิดแย่งอำนาจกับ พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน หรือ พรรคเพื่อไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ
... คนเสื้อเหลือง ก็ไม่ได้เป็นคู่ปรับกับ คนเสื้อแดง ดังที่ สื่อมวลชน และ คนส่วนใหญ่พยายามจำคู่
แต่คู่ปรับของ พันธมิตรฯ และ คนเสื้อเหลือง แท้จริงแล้วคือ “ระบอบทักษิณ” คือ ระบบทุนสามานย์ คือ การคอร์รัปชั่น-ฉ้อราษฎร์บังหลวง คือขบวนการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ มิใช่ ตัวคุณทักษิณ กลุ่ม นปช. หรือ คนเสื้อแดงโดยตรง
คำปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่า คู่ปรับหรือขั้วตรงข้ามที่แท้จริงของเขาและกลุ่ม นปช. นั้น แท้จริงแล้ว มิใช่กลุ่มพันธมิตรฯ มิใช่คนเสื้อเหลือง มิใช่เอเอสทีวี และยิ่งไม่ใช่ชายที่ชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ... แต่เป็นสถาบันองคมนตรี เป็นองคมนตรีบางคน เป็นทหารบางกลุ่ม เป็นสถาบันตุลาการ เป็นองค์กรอิสระ เป็นนักการเมืองบางพรรค
ในค่ำวันเดียวกัน และเวลาใกล้เคียงกันกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วิดีโอลิงก์เข้ามายังกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล คุณสนธิ ลิ้มทองกุลก็ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีชั่วคราวของพันธมิตรฯ บริเวณบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์
คุณสนธิ ขึ้นเวทีปราศรัยด้วยร่างกายที่อ่อนล้า และ น้ำเสียงที่อ่อนระโหย จากการทำงานหนัก ต้องตื่นตี 4 ทุกวันและการต้องเดินขึ้นศาลแทบทุกวัน หลายวันติดต่อกัน
ผู้ก่อตั้งเอเอสทีวีและหนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ ผู้นี้พูดไว้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาในทำนองที่ว่า อาจถึงเวลาแล้วที่ ชาวพันธมิตรฯ ต้องเลิกทำตัวอยู่ระหว่าง “เขาควาย” ต้องเลิกทำตัวเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้อื่นเสียที และ อาจถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันมารักษาบาดแผลจากการต่อสู้ จับกลุ่มกันไว้เพื่อปกป้องพวกพ้องของเราจากภยันตรายที่เข้าคุกคาม
นับตั้งแต่ปี 2548 ถึงวันนี้ก็นับเป็นเวลา 3 ปีกว่า เกือบ 4 ปีแล้ว ที่สนธิ และกลุ่มพันธมิตรฯ ได้อาสาตัวเป็นทหารแนวหน้าในการออกรบ สู้ศึก กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และบริวารของเขา
การต่อสู้เกือบ 4 ปี นำมาซึ่งอุปสรรคต่างๆ ความลำบากแสนสาหัส ความเศร้าโศกเสียใจ การบาดเจ็บ การสูญเสียทั้งอวัยวะและชีวิต หนี้สิน รวมถึงคดีความนับไม่ถ้วนมากกว่า 50 คดีที่อยู่ระหว่างการสะสาง
ขณะที่ระหว่างการต่อสู้ นอกจากความสุขใจ ความสบายใจที่ได้ทำหน้าที่ใช้หนี้แผ่นดินแล้ว สนธิและพันธมิตรฯ แทบจะไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมาเลย แถมยังต้องกลายเป็นกลุ่มคนที่ถูกสังคมมองว่าเป็นผู้สร้างความขัดแย้ง เป็นผู้ก่อความไม่สงบ เป็นพวกหัวรุนแรง พวกคลั่งสถาบันคลั่งเจ้า ฯลฯ
ในทางกลับกัน กลุ่มคนที่เป็นขั้วขัดแย้งโดยตรงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นปช. และกลุ่มคนเสื้อแดง กลับผลัดกันขึ้นมาเสวยสุขอยู่บนบัลลังก์แห่งอำนาจ นับตั้งแต่กลุ่มทหารในนามของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) องคมนตรีบางคนและคนใกล้ชิด รวมไปถึงล่าสุดคือ คนของพรรคการเมืองเก่าแก่ที่ชื่อ “ประชาธิปัตย์”
ที่ผ่านมามิใช่ว่า พันธมิตรฯ ไม่รู้ว่า เราตกเป็น “เครื่องมือ” และถูกใช้เป็น “อาวุธ” ในการฟาดฟันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และบริวาร พันธมิตรฯ มิใช่คนโง่หรือไร้เดียงสาทางการเมืองขนาดนั้น
ในความเป็นจริงคือพันธมิตรฯ พร้อมใจ เรายินยอมที่เสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ... แม้ชีวิต ... เพื่อรักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพยิ่ง เพียงคาดหวังว่า กลุ่มคนที่ “ใช้” เราเป็นเครื่องมือจะสามารถนำพาบ้านเมือง นำพาสังคมไทย นำพาประชาชนไปสู่หนทางที่ถูกต้องและถูกทำนองคลองธรรมได้จริงๆ
แต่ในเมื่อบรรดาศัตรูโดยตรงของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเช่น ผู้ใกล้ชิดสถาบันเบื้องสูง อย่างเช่น องคมนตรีบางคนยังเห็นทำทีท่าเป็นทองมิรู้ร้อน ยังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ผู้นำทหารส่วนใหญ่ยังหวงแหนในตำแหน่งและอำนาจ นักการเมืองประชาธิปัตย์เกือบทั้งหมด เมื่อเข้าสู่อำนาจแล้วกลับคงทีท่าหยิ่งยะโส พยายามตีตัวออกห่าง และที่สำคัญที่สุด “ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ”
ก็อาจถึงเวลาที่พันธมิตรฯ จะต้องทบทวนตัวเอง อย่างที่คุณสนธิถามเป็นข้อคิดไว้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า “ถึงเวลาหรือยังที่เราจะต้องเลิกทำตัวอยู่ท่ามกลางเขาควาย?”
อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าการเลิกทำตัวอยู่ระหว่างเขาควายนั้นจะเป็นการละทิ้งแนวคิด ทอดทิ้งอุดมการณ์ที่พันธมิตรฯ ยึดถือมาตลอดในห้วงระยะเวลา 3 ปี เกือบ 4 ปีที่ผ่านมา แต่เป็นการถอยกลับมาทบทวนจุดยืน หลบกลับมารักษาตัว เลียบาดแผล และที่สำคัญถือเป็นยุทธศาสตร์ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อที่จะเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง
แกนนำทุกคน พันธมิตรทั่วประเทศ เอเอสทีวี และสื่อในเครือ ยังคงมีภารกิจในการสะสางคดีความที่กองรอเป็นพะเนินเทินทึก มีพันธะในการให้ความรู้ ถ่ายทอดปัญญา มีหน้าที่ในการสร้างมวลชนกลุ่มใหม่ๆ รวมไปถึงการดูแลพรรคพวกของเราที่เสียชีวิต พิการ บาดเจ็บและเดือนร้อนให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติสุขได้
ในด้านปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง “โครงการเครือข่ายธุรกิจเข้มแข็ง” ของกลุ่มพันธมิตรฯ น่าจะเป็นตัวช่วยนำพาพวกเราให้ข้ามฝ่าพายุเศรษฐกิจที่กำลังพัดโหม ไม่มากก็น้อย
ในส่วนวิกฤตการเมือง พันธมิตรฯ อาจจะต้องทบทวนอย่างจริงๆ จังๆ แล้วว่า “พรรคพันธมิตรฯ” ควรจะเป็นก้าวต่อไปเพื่อมุ่งไปสู่การเมืองใหม่ของพวกเราหรือไม่?