องค์กรเครือข่ายด้านแรงงาน ประกอบด้วย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) พร้อมด้วยตัวแทนจากสภาองค์กรลูกจ้างแรงงาน 12 แห่ง กว่า 200 คน เดินทางมาที่ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาทบทวนนโยบายในการลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของนายจ้างลูกจ้างที่กระทรวงแรงงานเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมาโดยมีผู้แทนออกมารับหนังสือแทนนายกรัฐมนตรี
น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย เลขาธิการ คสรท. กล่าวว่า การลดเงินสมทบเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด เอื้อประโยชน์ให้กับนายจ้างมากว่าลูกจ้าง โดยเฉพาะนายจ้างที่มีลูกจ้างเป็นจำนวนมาก คิดเป็นเงิน ตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 3 ล้านบาท ภายใน 6 เดือนแต่ก็ไม่ได้มีหลักประกันว่าจะไม่มีการเลิกจ้าง เพราะธุรกิจจะอยู่ได้ขึ้นกับยอดคำสั่งซื้อ หรือออร์เดอร์ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นการแบ่งเบาภาระแก่ลูกจ้างในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจอย่างแท้จริง เพราะจากศึกษาพบว่าลูกจ้างจะได้ลดเงินสูงสุดตั้งแต่ 33.50 -300 บาทต่อเดือน หรือ 1-10 บาทต่อวันเท่านั้น
นอกจากนี้ การลดเงินสมทบ ยังส่งผลกระทบต่อกองทุนประกันสังคมในอนาคต โดยเฉพาะในส่วนกองทุนชราภาพที่เงินจะหายไปกว่า 15,000 ล้านบาท
ด้านนายอุดมศักดิ์ บุพนิมิตร ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากรัฐบาลยังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของผู้ใช้แรงงาน ซึ่งวันนี้มีการเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกัน เพื่อให้ทบทวนนโยบายลดเงินสมทบ ทั้งในส่วนของ คสรท. และสภาองค์กรลูกจ้าง 12 แห่ง ซึ่งไม่เคยปรากฎมาก่อนในรอบหลายปี ก็อาจจะเผชิญกับการชุมนุมใหญ่เพื่อคัดค้านจากกลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยจะมีการแถลงจุดยืนและท่าทีอีกครั้งหลังการประชุมร่วมกันของเครือข่ายผู้ใช้แรงงานในวันที่ 26 มิถุนายนนี้
น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย เลขาธิการ คสรท. กล่าวว่า การลดเงินสมทบเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด เอื้อประโยชน์ให้กับนายจ้างมากว่าลูกจ้าง โดยเฉพาะนายจ้างที่มีลูกจ้างเป็นจำนวนมาก คิดเป็นเงิน ตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 3 ล้านบาท ภายใน 6 เดือนแต่ก็ไม่ได้มีหลักประกันว่าจะไม่มีการเลิกจ้าง เพราะธุรกิจจะอยู่ได้ขึ้นกับยอดคำสั่งซื้อ หรือออร์เดอร์ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นการแบ่งเบาภาระแก่ลูกจ้างในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจอย่างแท้จริง เพราะจากศึกษาพบว่าลูกจ้างจะได้ลดเงินสูงสุดตั้งแต่ 33.50 -300 บาทต่อเดือน หรือ 1-10 บาทต่อวันเท่านั้น
นอกจากนี้ การลดเงินสมทบ ยังส่งผลกระทบต่อกองทุนประกันสังคมในอนาคต โดยเฉพาะในส่วนกองทุนชราภาพที่เงินจะหายไปกว่า 15,000 ล้านบาท
ด้านนายอุดมศักดิ์ บุพนิมิตร ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากรัฐบาลยังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของผู้ใช้แรงงาน ซึ่งวันนี้มีการเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกัน เพื่อให้ทบทวนนโยบายลดเงินสมทบ ทั้งในส่วนของ คสรท. และสภาองค์กรลูกจ้าง 12 แห่ง ซึ่งไม่เคยปรากฎมาก่อนในรอบหลายปี ก็อาจจะเผชิญกับการชุมนุมใหญ่เพื่อคัดค้านจากกลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยจะมีการแถลงจุดยืนและท่าทีอีกครั้งหลังการประชุมร่วมกันของเครือข่ายผู้ใช้แรงงานในวันที่ 26 มิถุนายนนี้
