นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวในการจัดสัมมนาเรื่องบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ.2551 เพื่อมุ่งให้เกิดการใช้ยาที่เหมาะสม ลดการค่าจ่ายยาที่ไม่จำเป็น เกิดการใช้ยาที่สมเหตุสมผลตามบัญชียาหลักแห่งชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาราคาแพง และทราบแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับยาโดยเฉพาะยาบัญชี จ ข้อย่อย 2 จากข้อมูลในปี 2548 พบคนไทยมีการใช้จ่ายยา 186,331ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.8 ของรายจ่ายด้านสุขภาพทั้งหมด ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วพบมีสัดส่วนการใช้ยาเพียงร้อยละ 10 -20 ที่น่าเป็นห่วงคือในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ค่ายาในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการเพิ่มร้อยละ 15-20 และล่าสุดในปี 2551 มีมูลค่าสูง 55,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,423 ล้านบาท
นายวิทยา กล่าวว่า สำหรับประชาชนที่มีตู้ยาภายในบ้านควรหมั่นตรวจสอบยาว่าหมดอายุหรือไม่ และเมื่อหมดอายุควรนำไปทิ้ง ไม่ควรเก็บไว้รับประทาน เพราะแทนที่จะเกิดประโยชน์กับจะเกิดโทษแทนจากการที่ยาเสื่อมสภาพ และยาที่ได้รับจากแพทย์สั่งนั้นล้วนมีอายุการใช้งาน ส่วนใหญ่แพทย์จะสั่งตามลักษณะอาการให้เกิดความเหมาะสม ไม่สั่งยามาเกินจำเป็น หากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์เพื่อไม่ให้เกิดการดื้อยา และหากยาเหลือก็ไม่ควรเก็บรักษานาน การซื้อยาก็เช่นกันควรคำนึงถึงความเหมาะสม
นายวิทยา ยังกล่าวแสดงความห่วงเรื่องปัญหายาเสพติดที่พบกลับมาแพร่ระบาดมากขึ้น ส่วนหนึ่งยอมรับว่าเรื่องการทำความเข้าใจกับผู้เสพยา ให้หันมาสมัครบำบัดรักษาไม่ได้ผลเพียงพอ ส่วนใหญ่เป็นการบังคับเลิก และนำตัวมารับการรักษาหลังการถูกจับกุม ทั้งจากตัวเลขการติดยาเสพติดพบว่า มีอายุต่ำลง โดยพบว่าเด็กเพียงอายุ 13 ปี เริ่มมีการริลองยาเสพติดแล้ว จากเดิมพบในวัยรุ่นอายุ 15 ปี ทั้งนี้ เกณฑ์อายุช่วงดังกล่าวเป็นช่วงอายุของการพัฒนาร่างกายและสติปัญญา ควรได้รับแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่กลับไปหันใช้ยาเสพติดแทน ซึ่งเรื่องนี้จะมีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดูแล เพราะปัจจุบันนี้พบว่า มีการแพร่ขยายการลักลอบการจำหน่ายยาเสพติดทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้เกิดการเข้าถึงยาเสพติดง่ายขึ้น
นายวิทยา กล่าวว่า สำหรับประชาชนที่มีตู้ยาภายในบ้านควรหมั่นตรวจสอบยาว่าหมดอายุหรือไม่ และเมื่อหมดอายุควรนำไปทิ้ง ไม่ควรเก็บไว้รับประทาน เพราะแทนที่จะเกิดประโยชน์กับจะเกิดโทษแทนจากการที่ยาเสื่อมสภาพ และยาที่ได้รับจากแพทย์สั่งนั้นล้วนมีอายุการใช้งาน ส่วนใหญ่แพทย์จะสั่งตามลักษณะอาการให้เกิดความเหมาะสม ไม่สั่งยามาเกินจำเป็น หากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์เพื่อไม่ให้เกิดการดื้อยา และหากยาเหลือก็ไม่ควรเก็บรักษานาน การซื้อยาก็เช่นกันควรคำนึงถึงความเหมาะสม
นายวิทยา ยังกล่าวแสดงความห่วงเรื่องปัญหายาเสพติดที่พบกลับมาแพร่ระบาดมากขึ้น ส่วนหนึ่งยอมรับว่าเรื่องการทำความเข้าใจกับผู้เสพยา ให้หันมาสมัครบำบัดรักษาไม่ได้ผลเพียงพอ ส่วนใหญ่เป็นการบังคับเลิก และนำตัวมารับการรักษาหลังการถูกจับกุม ทั้งจากตัวเลขการติดยาเสพติดพบว่า มีอายุต่ำลง โดยพบว่าเด็กเพียงอายุ 13 ปี เริ่มมีการริลองยาเสพติดแล้ว จากเดิมพบในวัยรุ่นอายุ 15 ปี ทั้งนี้ เกณฑ์อายุช่วงดังกล่าวเป็นช่วงอายุของการพัฒนาร่างกายและสติปัญญา ควรได้รับแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่กลับไปหันใช้ยาเสพติดแทน ซึ่งเรื่องนี้จะมีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดูแล เพราะปัจจุบันนี้พบว่า มีการแพร่ขยายการลักลอบการจำหน่ายยาเสพติดทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้เกิดการเข้าถึงยาเสพติดง่ายขึ้น