นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังลงนามในประกาศคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา เรื่องบัญชียาหลักแห่งชาติ ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2552 บรรจุให้ ยา Deferiprone ซึ่งเป็นยาขับธาตุเหล็ก ใช้สำหรับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย อยู่ในบัญชี จ ข้อย่อย 1 มีผลให้ผู้ป่วยบัตรทองตามโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ได้รับยา และขณะนี้ทางองค์การเภสัชกรรม (อภ.) สามารถผลิตยาขับธาตุเหล็กที่มีประสิทธิภาพเหมือนยาต้นแบบภายใต้ชื่อ GPO-L-ONE และผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งการทดสอบประสิทธิภาพและชีวะสมมูลเรียบร้อย ส่งผลให้ยามีราคาถูกลงเหลือเพียงเม็ดละ 3.50 บาท จากเดิมที่มีราคาสูงถึงเม็ดละ 30 บาท
นายวิทยา กล่าวว่า โรคธาลัสซีเมียเป็นโรคจากพันธุกรรม ผู้ป่วยจะมีอาการซีด เหลือง จมูกบี้ โหนกแก้มสูง เนื่องจากมีธาตุเหล็กในร่างกายสูง การรักษาหากให้เลือดมากก็ยิ่งมีธาตุเหล็กมาก ต้องฉีดยา หรือรับประทานยาขับธาตุเหล็ก ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งการรับประทานยาจะคำนวณจากน้ำหนักร่างกายของผู้ป่วย และต้องรับประทานยาตลอดชีวิต หรือต้องมีการฉีดยาเพื่อขับธาตุเหล็กออกจากร่างกาย วันละ 3 ขวด ติดต่อกัน 5 วัน และต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกวันตลอดชีวิต ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เบื่อการฉีดยา เพราะนอกจากร่างกายจะมีรอยแผลจากเข็มแล้ว ยังมีการเขียวช้ำตามผิวหนัง และการบวม ทำให้เกิดการหลีกเลี่ยงการรักษา
ทั้งนี้ เพื่อทำให้ประชาชนเข้าถึงการรักษามากขึ้น ได้บรรจุยาดังกล่าวในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และเริ่มนำร่อง 35 โรงพยาบาลแล้ว สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยธาลัสซีเมียได้ไม่เกิน 5,000 รายต่อปี ค่าใช้จ่ายรวม 38 ล้านบาท และในอนาคตเตรียมขยายให้ครอบคลุมผู้ป่วยที่ต้องการเข้าถึงยา 50,000 คน
นายวิทยา กล่าวว่า โรคธาลัสซีเมียเป็นโรคจากพันธุกรรม ผู้ป่วยจะมีอาการซีด เหลือง จมูกบี้ โหนกแก้มสูง เนื่องจากมีธาตุเหล็กในร่างกายสูง การรักษาหากให้เลือดมากก็ยิ่งมีธาตุเหล็กมาก ต้องฉีดยา หรือรับประทานยาขับธาตุเหล็ก ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งการรับประทานยาจะคำนวณจากน้ำหนักร่างกายของผู้ป่วย และต้องรับประทานยาตลอดชีวิต หรือต้องมีการฉีดยาเพื่อขับธาตุเหล็กออกจากร่างกาย วันละ 3 ขวด ติดต่อกัน 5 วัน และต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกวันตลอดชีวิต ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เบื่อการฉีดยา เพราะนอกจากร่างกายจะมีรอยแผลจากเข็มแล้ว ยังมีการเขียวช้ำตามผิวหนัง และการบวม ทำให้เกิดการหลีกเลี่ยงการรักษา
ทั้งนี้ เพื่อทำให้ประชาชนเข้าถึงการรักษามากขึ้น ได้บรรจุยาดังกล่าวในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และเริ่มนำร่อง 35 โรงพยาบาลแล้ว สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยธาลัสซีเมียได้ไม่เกิน 5,000 รายต่อปี ค่าใช้จ่ายรวม 38 ล้านบาท และในอนาคตเตรียมขยายให้ครอบคลุมผู้ป่วยที่ต้องการเข้าถึงยา 50,000 คน
