สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปลี่ยนระบบจัดซื้อยาวัณโรค ช่วยผู้ป่วยรับประทานยาง่ายขึ้น ลดจำนวนยาจากวันละ 10-13 เม็ด เหลือ 2-4 เม็ด ส่งผลผู้ป่วยดื้อยาลดลง ควบคุมป้องกันโรคได้ง่าย หายขาดใน 6 เดือน เพื่อผู้ป่วยเข้าถึงได้รับบริการคุณภาพ และตั้งเป้าให้ไทยหลุดจาก 1 ใน 22 ประเทศที่มีอุบัติการณ์วัณโรคสูงสุดในโลกได้
นายแพทย์วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2552 เป็นปีแรกที่ สปสช. ได้จัดซื้อยารักษาวัณโรค FDC (Fix Dose Combination) ซึ่งเป็นยารวมสนับสนุนหน่วยบริการผ่านองค์การเภสัชกรรม ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกินยาได้ง่ายขึ้น จากเดิมที่ต้องกินยาวันละประมาณ 10-13 เม็ด เหลือวันละ 2-4 เม็ด ซึ่งปริมาณยาที่มากอาจส่งผลให้ผู้ป่วยกินยาไม่ครบ และเป็นเหตุให้เชื้อเกิดการดื้อยาในที่สุด เมื่อเปลี่ยนเป็นยา FDC ผู้ป่วยกินน้อยลง ทำให้กินยาได้ง่ายขึ้นลดจำนวนผู้ป่วยที่ดื้อยา เพราะกินยาไม่ครบลง โดยขณะนี้ยาได้กระจายถึงหน่วยบริการเพื่อเข้าถึงผู้ป่วยแล้ว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 เป็นต้นมา
เลขาธิการ สปสช.กล่าวต่อว่า วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่สำคัญซึ่งสามารถติดต่อกันได้ง่ายจากการสูดอากาศที่มีเชื้อแบคทีเรียซึ่งทำเกิดโรคเข้าไป ขณะเดียวกันกระบวนการรักษาผู้ป่วยก็ใช้ระยะเวลาประมาณ 6-8 เดือน และผู้ป่วยต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องและตรงตามจำนวน ซึ่งมีปริมาณยาในการรับประทานแต่ละวันจำนวนมาก หากผู้ป่วยรับประทานยาไม่ครบตามแพทย์สั่ง โอกาสที่เชื้อดื้อยาจะมีสูงมาก ทำให้การรักษายากขึ้น ใช้ระยะเวลานาน และยังเป็นจุดที่แพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้อีก เพราะยังไม่หายขาด
ดังนั้น แนวทางการป้องกันและควบคุมไม่ให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดย สปสช.มีแนวทางการบริหารจัดการโรคเฉพาะร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขมาตั้งแต่ปี 2550 เพื่อให้ผู้ป่วยวัณโรคในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เข้าถึงและได้รับบริการที่มีคุณภาพได้มาตรฐานแบบครบวงจรอย่างต่อเนื่อง ลดการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคในชุมชน ซึ่งจะทำให้ขนาดและความรุนแรงของปัญหาวัณโรคในประเทศไทยลดลงจนไม่เป็นปัญหา ทางด้านสาธารณสุขและหลุดจากการจัดอันดับเป็น 1 ใน 22 ประเทศที่มีอัตราอุบัติการณ์วัณโรคสูงที่สุดในโลกได้ในที่สุด