xs
xsm
sm
md
lg

ชี้หญิงตั้งครรภ์ดื้อยาต้านเอดส์พุ่ง สภากาชาดไทยจี้เปลี่ยนสูตรใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ดันไทยเปลี่ยนยาต้านเอชไอวีสูตรใหม่ ให้หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเอดส์ ป้องกันติดเชื้อจากแม่สู่ลูก เผย ช่วยทารกเสี่ยงติดเอดส์ลดลงเหลือ 2% หรือลดลงจากยาสูตรเดิมเท่าตัว ขณะที่กรมอนามัยยันจำเป็นต้องศึกษาความคุ้มค่าประสิทธิภาพการป้องกัน มั่นใจวิจัยเสร็จปี 2553

ศ.นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ขณะนี้อัตราการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี/เอดส์ในหญิงตั้งครรภ์ เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะหากแม่รับประทานยาไม่ต่อเนื่อง จะทำให้เกิดการดื้อยา 20-50% และยังส่งผลให้การป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกลดลง ซึ่งกรมอนามัย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสภากาชาดไทย พยายามผลักดันให้มีการใช้ยาสูตรใหม่ จากเดิมที่ใช้สูตรยา 2 ตัว คือ เอแซดที และ เนวิราปิน แต่เนื่องจากหญิงตั้งครรภ์ส่วนหนึ่งเกิดอาการแพ้และดื้อยาสูตรดังกล่าว

ดังนั้น จึงมีการเสนอให้เปลี่ยนมาใช้สูตรยาต้านเชื้อเอชไอวี 3 ตัว คือ เอแซดที (AZT) ลามิวูดีน (3TC) และ เนวิราปิน (NVP) หรือ เอแซดที (AZT) ลามิวูดีน (3TC) และเอฟฟาไวเรนซ์ หรือ เอแซดที (AZT) ลามิวูดีน (3TC) และ คาเรตต้า หรือ อลูเวีย ซึ่งทั้ง 3 สูตร มีราคาที่แตกต่างกัน โดยสูตรที่มีส่วนผสมของเนวิราปิน จะถูกที่สุดอยู่ที่ 1,200 บาท ต่อเดือนและสูตรที่มีส่วนผสมของคราเรตต้า ซึ่งเป็นยาที่ไทยบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร (ซีแอล) จะสูงที่สุด แต่มีราคาลดลงจากเดิมมาก

“หวังว่า ในปีหน้าไทยจะได้รับข่าวดีในการเปลี่ยนสูตรยาต้านไวรัสสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งผลการศึกษาทั่วโลก พบว่า หากแม่ตั้งครรภ์ไม่ได้รับยาต้านไวรัสลูกมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีถึง 30% แต่หากได้รับยาต้านไวรัสสูตร 2 ตัว จะลดโอกาสเสี่ยงการติดเชื้อเอชไอวีในทารกได้ 4.8% แต่หากเปลี่ยนมาใช้ยาสูตรใหม่จะช่วยลดการติดเชื้อเหลือ 2% เท่ากับว่า สามารถลดอัตราการติดเชื้อได้อีกกว่าเท่าตัว”

นพ.ประพันธ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนกระบวนการในการเปลี่ยนสูตรยาต้านไวรัสเอชไอวีวี สำหรับหญิงตั้งครรภ์เพื่อลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกหากจะมีการเปลี่ยนให้หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอดส์ทุกคนทั่วประเทศจะต้องมีการตรวจร่างกาย เตรียมความพร้อม เจาะเลือด ดูการทำงานของตับ ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากมาก ถือเป็นเรื่องที่ต้องตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียด และจะต้องได้รับอนุมัติจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเอชไอวี/เอดส์ ในโรงพยาบาลด้วย

“การเปลี่ยนสูตรยาต้านไวรัสครั้งนี้ จริงๆ ไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาอีก เนื่องจากปัจจุบันหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื่อเอชไอวีกว่า 2,000 คน ในโครงการช่วยลดการติดเอดส์จากแม่สู่ลูก สภากาชาดไทย ในพระอุปถัมภ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ได้เริ่มใช้ยาสูตรนี้นาน 4-5 ปี แล้วพิสูจน์ได้ว่าสามารถลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้จริง ขณะที่ทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ประเทศแถบยุโรป มีการใช้ยาสูตรดังกล่าวนานนับ 10 ปี แล้ว ซึ่งหากมีการศึกษาวิจัยการใช้ยาต้านเชื้อเอชไอวีสูตรนี้อีก อาจต้องใช้เวลานาน 3-4 ปี” นพ.ประพันธ์ กล่าว

ด้านนพ.สรกิจ ภาคีชีพ ผู้จัดการกองทุนเอชไอวี/เอดส์ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือความเป็นไปได้ในการนำยาต้านเชื้อเอชไอวีสูตรใหม่สำหรับหญิงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกมาใช้ อย่างไรก็ตาม จากการประชุมร่วมกันทางกรมอนามัย ระบุว่า ยังมีความจำเป็นต้องศึกษาวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการนำยาสูตรใหม่มาใช้และประสิทธิภาพในการป้องกัน เพราะยังไม่มีการศึกษาวิจัยมาก่อนในประเทศไทย เมื่อได้ผลการศึกษาที่มีน้ำหนักก็จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงสูตรยาต้านไวรัสของแม่และเด็กทั่วประเทศตามโครงสร้างของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งคาดว่า การศึกษาวิจัยจะแล้วเสร็จทันในปีงบประมาณ 2553 นี้

“ส่วนตัวแล้วอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงสูตรเช่นกัน โดยในวันที่ 29 ธ.ค.นี้ จะมีการประชุมหารือร่วมกันอีกครั้งระหว่าง สปสช.กรมอนามัย สภากาชาด และสถาบันวิจัยด้านสาธารณสุข เพื่อประชุมร่วมกันวางโครงสร้างการวิจัย ปรับสูตรยาใหม่ให้ทันในปีงบประมาณ 2553” นพ.สรกิจ กล่าว

ด้านนพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะอนุกรรมการด้านเอดส์ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการนำเรื่องการปรับสูตรยาต้านเชื้อเอชไอวี สำหรับหญิงตั้งครรภ์ป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการแต่อย่างใด แต่หากสรุปว่ามีความเหมาะสมในการเปลี่ยนสูตรยาก็จะต้องนำเสนอในที่ประชุมก่อน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา โครงการป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก ซึ่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องหลายปียังได้ผลดี อัตราการแพร่เชื้อลดลงมาก และอัตราการดื้อยายังต่ำอยู่ ไม่มีปัญหาในเรื่องการควบคุมดูแลแต่อย่างใด
กำลังโหลดความคิดเห็น