นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาค โฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. เปิดเผยว่า สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ หรือ สบน. อยู่ระหว่างการขอกู้เงินกับธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี จำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และธนาคารโลก จำนวน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 70,000 ล้านบาท เพื่อนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้ธนาคารของรัฐค้ำประกัน
ปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ 30 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี หากรวมกับวงเงินที่ใช้ในมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมา หนี้สาธารณะจะขึ้นไปถึงร้อยละ 42 ในปี 2553 ซึ่งยังไม่เกินกรอบพระราชบัญญัติ ที่กำหนดให้หนี้สาธารณะไม่เกินร้อยละ 50 ส่วนการปิดสนามบิน ทำให้ฐานรายได้ด้านการท่องเที่ยวลดลง และภาคการส่งออกชะลอตัวลง จึงคาดว่าจีดีพีในไตรมาสที่ 4 ของปีก่อนหน้าจะติดลบ และเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆ ของรัฐบาลที่ออกมาก่อนหน้านี้ จะเห็นผลชัดเจนได้ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกยังคงติดลบจากวิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาการเมือง เทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปีก่อน ที่จีดีพีโตกว่าร้อยละ 6 สำหรับมาตรการของกระทรวงการคลังที่ประกาศออกมา จะเป็นเพียงการกระตุ้นการบริโภคในประเทศในช่วงเร่งด่วน ส่วนมาตรการระยะยาว จะเป็นการเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็กต์ เนื่องจากต้องใช้เวลานาน
นายพิภพ อุดร อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่า รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยอาจระดมเงินผ่านทางการออกพันธบัตร แต่หากจำเป็นต้องกู้เงินจากต่างประเทศ ควรหามาตรการป้องกันความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังผันผวนได้ง่าย และเห็นว่า รัฐบาลควรออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดการใช้จ่ายจริง เช่น การผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับเอกชน สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนแทนการใช้มาตรการที่ทำให้รัฐบาลมีรายได้ลดลง เช่น การแจกเงินค่าครองชีพ 2,000 บาท เพราะจะเกิดผลเสียต่อรายได้รัฐในระยะยาว
ปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ 30 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี หากรวมกับวงเงินที่ใช้ในมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมา หนี้สาธารณะจะขึ้นไปถึงร้อยละ 42 ในปี 2553 ซึ่งยังไม่เกินกรอบพระราชบัญญัติ ที่กำหนดให้หนี้สาธารณะไม่เกินร้อยละ 50 ส่วนการปิดสนามบิน ทำให้ฐานรายได้ด้านการท่องเที่ยวลดลง และภาคการส่งออกชะลอตัวลง จึงคาดว่าจีดีพีในไตรมาสที่ 4 ของปีก่อนหน้าจะติดลบ และเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆ ของรัฐบาลที่ออกมาก่อนหน้านี้ จะเห็นผลชัดเจนได้ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกยังคงติดลบจากวิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาการเมือง เทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปีก่อน ที่จีดีพีโตกว่าร้อยละ 6 สำหรับมาตรการของกระทรวงการคลังที่ประกาศออกมา จะเป็นเพียงการกระตุ้นการบริโภคในประเทศในช่วงเร่งด่วน ส่วนมาตรการระยะยาว จะเป็นการเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็กต์ เนื่องจากต้องใช้เวลานาน
นายพิภพ อุดร อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่า รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยอาจระดมเงินผ่านทางการออกพันธบัตร แต่หากจำเป็นต้องกู้เงินจากต่างประเทศ ควรหามาตรการป้องกันความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังผันผวนได้ง่าย และเห็นว่า รัฐบาลควรออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดการใช้จ่ายจริง เช่น การผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับเอกชน สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนแทนการใช้มาตรการที่ทำให้รัฐบาลมีรายได้ลดลง เช่น การแจกเงินค่าครองชีพ 2,000 บาท เพราะจะเกิดผลเสียต่อรายได้รัฐในระยะยาว