นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สายงานแรงงาน กล่าวคาดว่า ไตรมาสแรกปี 2552 ประเทศไทยจะประสบปัญหาการว่างงานมากขึ้น และจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2
อย่างไรก็ตาม การที่ภาครัฐให้ความสนใจดูแลธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) มากขึ้นก็เชื่อว่าจะช่วยบรรเทาสถานการณ์การเลิกจ้างในปีหน้าให้บรรเทาลงได้จากเดิมที่ ส.อ.ท.คาดว่า จะมีตัวเลขการว่างงานนับล้านคน ตัวเลขการว่างงานที่จะเกิดขึ้นก็น่าที่จะลดลงได้ โดยเฉพาะผลจากการที่รัฐจะอัดฉีดเม็ดเงิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับเอสเอ็มอี ทั้งในรูปของเงินกู้ผ่านธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือเอสเอ็มอีแบงก์ จำนวน 6,000 ล้านบาท และยังมีเงินจากคณะกรรมการกองทุนประกันสังคมจะพิจารณานำเงินมาช่วยเหลือเอสเอ็มอีอีกจำนวน 6,000 ล้านบาทด้วย ซึ่ง ส.อ.ท.เห็นว่า เงินจำนวนดังกล่าวน่าจะน้อยไป ควรจะพิจารณาเพิ่มวงเงินช่วยเหลือเป็น 20,000 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการกองทุนประกันสังคมรับไปพิจารณาแล้วเชื่อว่าน่าจะมีความเป็นไปได้มากที่จะเพิ่มวงเงินช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้สูงขึ้น ส่วนการที่พนักงานโรงงานต่างๆ มีการประท้วงและหยุดงาน เรื่องดังกล่าวย่อมเกิดขึ้นได้บ้าง แต่ถ้าความช่วยเหลือมาถึงเอสเอ็มอีเร็ว สถานการณ์เลิกจ้างก็จะบรรเทาลงได้
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ ส.อ.ท.ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงงานต่างๆ ให้ใช้วิธีรักษาคนงานเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนกรณีที่ลูกจ้างมีการชุมนุมประท้วงในเรื่องขอโบนัส และผลประโยชน์ เรื่องดังกล่าวมีทางออกคือ ให้นายจ้างและลูกจ้างมาพูดคุยกัน โดยหากโรงงานมีผลประกอบการดีในช่วงตั้งแต่ต้นปี เพิ่งจะผลประกอบการไม่ดีปลายดี ซึ่งลูกจ้างก็ทราบดี เรื่องนี้นายจ้างจะมาอ้างเฉพาะผลกระทบปลายปี 2 เดือนหลังก็ทำไม่ได้ เพราะจะเป็นการไม่ยุติธรรมกับลูกจ้างเช่นกัน แต่ถ้าหากบริษัทใดมีผลประกอบการไม่ดีมาตั้งแต่ต้น แต่พนักงานประท้วงก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน ดังนั้นจะต้องพูดคุยกันให้เป็นที่เข้าใจและเป็นธรรม
นอกจากนี้การที่แรงงานมีปัญหาเล็กน้อยก็ประท้วงจนเป็นแฟชั่น ซึ่งหากการประท้วงไม่มีเหตุผลจะทำให้อุตสาหกรรมไทยลำบาก เพราะต่างชาติจับตาเรื่องนี้อยู่เช่นกัน เปรียบได้กับนักลงทุนไทยหากจะออกไปลงทุนในต่างประเทศก็จะพิจารณาเรื่องนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การที่ภาครัฐให้ความสนใจดูแลธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) มากขึ้นก็เชื่อว่าจะช่วยบรรเทาสถานการณ์การเลิกจ้างในปีหน้าให้บรรเทาลงได้จากเดิมที่ ส.อ.ท.คาดว่า จะมีตัวเลขการว่างงานนับล้านคน ตัวเลขการว่างงานที่จะเกิดขึ้นก็น่าที่จะลดลงได้ โดยเฉพาะผลจากการที่รัฐจะอัดฉีดเม็ดเงิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับเอสเอ็มอี ทั้งในรูปของเงินกู้ผ่านธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือเอสเอ็มอีแบงก์ จำนวน 6,000 ล้านบาท และยังมีเงินจากคณะกรรมการกองทุนประกันสังคมจะพิจารณานำเงินมาช่วยเหลือเอสเอ็มอีอีกจำนวน 6,000 ล้านบาทด้วย ซึ่ง ส.อ.ท.เห็นว่า เงินจำนวนดังกล่าวน่าจะน้อยไป ควรจะพิจารณาเพิ่มวงเงินช่วยเหลือเป็น 20,000 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการกองทุนประกันสังคมรับไปพิจารณาแล้วเชื่อว่าน่าจะมีความเป็นไปได้มากที่จะเพิ่มวงเงินช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้สูงขึ้น ส่วนการที่พนักงานโรงงานต่างๆ มีการประท้วงและหยุดงาน เรื่องดังกล่าวย่อมเกิดขึ้นได้บ้าง แต่ถ้าความช่วยเหลือมาถึงเอสเอ็มอีเร็ว สถานการณ์เลิกจ้างก็จะบรรเทาลงได้
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ ส.อ.ท.ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงงานต่างๆ ให้ใช้วิธีรักษาคนงานเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนกรณีที่ลูกจ้างมีการชุมนุมประท้วงในเรื่องขอโบนัส และผลประโยชน์ เรื่องดังกล่าวมีทางออกคือ ให้นายจ้างและลูกจ้างมาพูดคุยกัน โดยหากโรงงานมีผลประกอบการดีในช่วงตั้งแต่ต้นปี เพิ่งจะผลประกอบการไม่ดีปลายดี ซึ่งลูกจ้างก็ทราบดี เรื่องนี้นายจ้างจะมาอ้างเฉพาะผลกระทบปลายปี 2 เดือนหลังก็ทำไม่ได้ เพราะจะเป็นการไม่ยุติธรรมกับลูกจ้างเช่นกัน แต่ถ้าหากบริษัทใดมีผลประกอบการไม่ดีมาตั้งแต่ต้น แต่พนักงานประท้วงก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน ดังนั้นจะต้องพูดคุยกันให้เป็นที่เข้าใจและเป็นธรรม
นอกจากนี้การที่แรงงานมีปัญหาเล็กน้อยก็ประท้วงจนเป็นแฟชั่น ซึ่งหากการประท้วงไม่มีเหตุผลจะทำให้อุตสาหกรรมไทยลำบาก เพราะต่างชาติจับตาเรื่องนี้อยู่เช่นกัน เปรียบได้กับนักลงทุนไทยหากจะออกไปลงทุนในต่างประเทศก็จะพิจารณาเรื่องนี้เช่นกัน
