ส.อ.ท. ชี้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศได้รับผลกระทบเศรษฐกิจต่างประเทศที่ทำให้การส่งออกลดลง คาดส่งออกปีหน้าโตเพียง 4-5% แนะรัฐบาลชุดใหม่เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบัน เน้นช่วยเอสเอ็มอี-รากหญ้า ฟื้นตัว
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลครั้งใหม่นี้ เสนอโจทย์ให้ทางรัฐบาลชุดใหม่มีการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบ ทั้งพิษเศรษฐกิจต่างประเทศที่ทำให้การส่งออกลดลง ซึ่งปีหน้าคาดว่าการส่งออกจะเติบโตเพียงร้อยละ 4-5 เท่านั้น บางฝ่ายคาดการณ์ว่าอาจติดลบ รัฐบาลต้องมีมาตรการรองรับภาคอุตสาหกรรมที่ยอดการผลิตลดลง ดูแลปัญหาสภาพคล่อง การเพิ่มงบกลางปี 100,000 ล้านบาท ต้องเร่งออกมาใช้จ่าย รวมทั้งการดูแลรากหญ้าและธุรกิจเอสเอ็มอี เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ขณะนี้ถือว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังบอบช้ำ โดยเฉพาะในสายตาชาวโลก ดังนั้นจึงไม่ควรมีการปิดท่าอากาศยานอีก เพราะจะส่งผลต่อธุรกิจท่องเที่ยวที่อาจลดลงลดลง 30-40% และคาดว่าจะส่งผลต่อการเลิกจ้างงานกว่า 100,000 คน ในขณะที่ด้านความปลอดภัย ยังหาวิธีแก้ไขไม่ได้ก็จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของภาคเอกชน เพราะตัวเลขการขอรับส่งเสริมการลงทุน 11 เดือนนี้ต่ำกว่าปีที่แล้วกว่า 100,000 ล้านบาท หากการลงทุนไม่ขยายตัวภายใน 2 ปี จะทำให้เกิดปัญหาการว่างงานตามมา โดยคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่ควรก้าวร้าว ประนีประนอม สมานฉันท์มีความรู้ความสามารถ สื่อสารกับต่างประเทศได้ มีภาพลักษณ์ดี มีความจริงใจและตั้งใจจริงไม่แบ่งภาคแบ่งฝ่าย” รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกล่าว
ในขณะที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า ไตรมาส 1 และ 2 ปีหน้าหากไม่มีมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ จะมีผลกระทบต่อการว่างงานถึงร้อยละ 2.5 หรือประมาณ 900,000 คน 1 ล้านคน ดังนั้น รัฐบาลใหม่ไม่ว่าจะมาจากขั้วไหนจะต้องนำคนนอกที่มีฝีมือ เป็นมืออาชีพมาช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้ฝ่าวิกฤติไปให้ได้
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลครั้งใหม่นี้ เสนอโจทย์ให้ทางรัฐบาลชุดใหม่มีการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบ ทั้งพิษเศรษฐกิจต่างประเทศที่ทำให้การส่งออกลดลง ซึ่งปีหน้าคาดว่าการส่งออกจะเติบโตเพียงร้อยละ 4-5 เท่านั้น บางฝ่ายคาดการณ์ว่าอาจติดลบ รัฐบาลต้องมีมาตรการรองรับภาคอุตสาหกรรมที่ยอดการผลิตลดลง ดูแลปัญหาสภาพคล่อง การเพิ่มงบกลางปี 100,000 ล้านบาท ต้องเร่งออกมาใช้จ่าย รวมทั้งการดูแลรากหญ้าและธุรกิจเอสเอ็มอี เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ขณะนี้ถือว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังบอบช้ำ โดยเฉพาะในสายตาชาวโลก ดังนั้นจึงไม่ควรมีการปิดท่าอากาศยานอีก เพราะจะส่งผลต่อธุรกิจท่องเที่ยวที่อาจลดลงลดลง 30-40% และคาดว่าจะส่งผลต่อการเลิกจ้างงานกว่า 100,000 คน ในขณะที่ด้านความปลอดภัย ยังหาวิธีแก้ไขไม่ได้ก็จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของภาคเอกชน เพราะตัวเลขการขอรับส่งเสริมการลงทุน 11 เดือนนี้ต่ำกว่าปีที่แล้วกว่า 100,000 ล้านบาท หากการลงทุนไม่ขยายตัวภายใน 2 ปี จะทำให้เกิดปัญหาการว่างงานตามมา โดยคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่ควรก้าวร้าว ประนีประนอม สมานฉันท์มีความรู้ความสามารถ สื่อสารกับต่างประเทศได้ มีภาพลักษณ์ดี มีความจริงใจและตั้งใจจริงไม่แบ่งภาคแบ่งฝ่าย” รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกล่าว
ในขณะที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า ไตรมาส 1 และ 2 ปีหน้าหากไม่มีมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ จะมีผลกระทบต่อการว่างงานถึงร้อยละ 2.5 หรือประมาณ 900,000 คน 1 ล้านคน ดังนั้น รัฐบาลใหม่ไม่ว่าจะมาจากขั้วไหนจะต้องนำคนนอกที่มีฝีมือ เป็นมืออาชีพมาช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้ฝ่าวิกฤติไปให้ได้