นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยว่า ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อยร้อยละ 0.50 ภายในปีนี้ ตามทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพื่อช่วยลดภาระให้กับผู้ซื้อบ้าน เนื่องจากเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวทำให้ประชาชนมีรายได้น้อยลง โดยหากลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 1 จะช่วยบรรเทาภาระการผ่อนบ้านได้ประมาณร้อยละ 8
นอกจากนี้ ยังเป็นห่วงเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยปีหน้า ที่จะมีโอกาสขยายตัวลดลงจนกระทบกำลังซื้อของผู้บริโภค เพราะถ้าการส่งออก การท่องเที่ยวขยายตัวน้อยลง ก็จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาว่างงาน แม้อัตราดอกเบี้ยลดลงกำลังซื้อผู้บริโภคก็จะไม่เพิ่มขึ้น
ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีนโยบายดูแลไม่ให้เกิดปัญหาการว่างงาน กระตุ้นภาคเอกชนด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับการขยายงาน และสร้างเสริมอาชีพอิสระ ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งทำก่อนที่ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอลงจะมีผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทย แต่ยังมั่นใจภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะไม่มีการปิดกิจการเหมือนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เนื่องจากมีความแข็งแกร่ง และธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อยกู้ให้กับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตามอยากให้รัฐบาลช่วยดูแลหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากปัจจุบันมีลูกค้าประมาณร้อยละ 20 ที่ยื่นขอสินเชื่อไม่ผ่าน เพราะติดปัญหาการขอกู้ ดังนั้น อยากให้ธนาคารผ่อนคลายกฎเกณฑ์ เพราะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ปลอดภัย และช่วยกระตุ้นกำลังซื้อมากขึ้น และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบว่ามีลูกค้าทิ้งเงินดาวน์ เพราะรับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจแต่อย่างใด
นายอธิป กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลขยายมาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษี ลดการจดจำนอง ค่าธรรมเนียมการโอนออกไปอีก 1 ปี จากเดิมที่จะครบเดือนมีนาคมนี้ เพื่อกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเสนอแนะให้รัฐบาลประกาศการต่ออายุสิทธิพิเศษในวันที่ 1 มกราคม 2552 เพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชน แต่แนวโน้มธุรกิจคอนโดปีหน้าก็ยังเชื่อว่าจะขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะในพื้นที่รอบรถไฟฟ้าและในเมือง เพราะแม้ราคาน้ำมันจะปรับลดลง แต่ยังเชื่อว่ามีโอกาสปรับขึ้นได้อีก ดังนั้นคอนโดมิเนียมยังคงได้รับความสนใจสูง
นอกจากนี้ ยังเป็นห่วงเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยปีหน้า ที่จะมีโอกาสขยายตัวลดลงจนกระทบกำลังซื้อของผู้บริโภค เพราะถ้าการส่งออก การท่องเที่ยวขยายตัวน้อยลง ก็จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาว่างงาน แม้อัตราดอกเบี้ยลดลงกำลังซื้อผู้บริโภคก็จะไม่เพิ่มขึ้น
ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีนโยบายดูแลไม่ให้เกิดปัญหาการว่างงาน กระตุ้นภาคเอกชนด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับการขยายงาน และสร้างเสริมอาชีพอิสระ ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งทำก่อนที่ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอลงจะมีผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทย แต่ยังมั่นใจภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะไม่มีการปิดกิจการเหมือนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เนื่องจากมีความแข็งแกร่ง และธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อยกู้ให้กับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตามอยากให้รัฐบาลช่วยดูแลหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากปัจจุบันมีลูกค้าประมาณร้อยละ 20 ที่ยื่นขอสินเชื่อไม่ผ่าน เพราะติดปัญหาการขอกู้ ดังนั้น อยากให้ธนาคารผ่อนคลายกฎเกณฑ์ เพราะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ปลอดภัย และช่วยกระตุ้นกำลังซื้อมากขึ้น และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบว่ามีลูกค้าทิ้งเงินดาวน์ เพราะรับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจแต่อย่างใด
นายอธิป กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลขยายมาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษี ลดการจดจำนอง ค่าธรรมเนียมการโอนออกไปอีก 1 ปี จากเดิมที่จะครบเดือนมีนาคมนี้ เพื่อกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเสนอแนะให้รัฐบาลประกาศการต่ออายุสิทธิพิเศษในวันที่ 1 มกราคม 2552 เพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชน แต่แนวโน้มธุรกิจคอนโดปีหน้าก็ยังเชื่อว่าจะขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะในพื้นที่รอบรถไฟฟ้าและในเมือง เพราะแม้ราคาน้ำมันจะปรับลดลง แต่ยังเชื่อว่ามีโอกาสปรับขึ้นได้อีก ดังนั้นคอนโดมิเนียมยังคงได้รับความสนใจสูง