นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวในการสัมมนา "วิกฤติอาหารโลก...โอกาสเอสเอ็มอีไทย ?" ว่า วิกฤตอาหารโลกมีความรุนแรง ซึ่งองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟเอโอ ระบุว่า มีผู้ได้รับความเดือดร้อนทั่วโลกแล้ว 854 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของประเทศไทย สถานการณ์วิกฤติอาหารไม่ถึงขั้นรุนแรง แต่ทำให้ราคาอาหารเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงร้อยละ 30 สำหรับสาเหตุที่เกิดวิกฤติอาหารโลก เพราะภาวะโลกร้อนรวมทั้งราคาอาหารเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน ซึ่งน้ำมันที่แพงขึ้นเกิดจากความต้องการใช้ที่มากกว่ากำลังการผลิต แม้ล่าสุดซาอุดีอาระเบียจะประกาศเพิ่มกำลังการผลิต 300,000 บาร์เรลต่อวันแล้วก็ตาม แต่ราคาน้ำมันก็ไม่มีทีท่าจะลดลง ประกอบกับมีการเก็งกำไรในตลาดล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ ส่งผลให้มีการเก็งกำไรสินค้าเกษตร ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า ภาวะเช่นนี้เป็นวิกฤติอาหารที่มีความรุนแรง อีกทั้งการแย่งพื้นที่ปลูกพืชอาหารจากพืชพลังงานทดแทน ทำให้สถานการณ์วิกฤตอาหารจะเป็นไปอย่างน้อย 3-5 ปี และใน 10 ปี ราคาอาหารจะเพิ่มขึ้น 20-50 เท่า หากภาวะโลกร้อนไม่ได้รับการแก้ไข วิกฤติอาหารรวมทั้งการแย่งพื้นที่การปลูกพืชเกษตรยังรุนแรงต่อไป
ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร ระบุว่า ปัจจุบันคนไทยชะลอการใช้จ่าย ซึ่งปกติครัวเรือนทั่วไปจะมีการใช้จ่ายด้านอาหารร้อยละ 30 ของรายได้ แต่คนยากจน ภาระค่าอาหารจะคิดเป็นร้อยละ 50 ของรายได้ และต้องยอมรับว่า ช่วงนี้ถือเป็นช่วงหมดยุคอาหารถูกแล้ว ในส่วนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ของไทยจะต้องปรับตัว โดยให้ความสนใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนสินค้า ใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น และมีการพัฒนาบุคลากร การนำความรู้และเทคโนโลยีมาใช้ รวมทั้งหาตลาดใหม่ ๆ เพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของประเทศไทย สถานการณ์วิกฤติอาหารไม่ถึงขั้นรุนแรง แต่ทำให้ราคาอาหารเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงร้อยละ 30 สำหรับสาเหตุที่เกิดวิกฤติอาหารโลก เพราะภาวะโลกร้อนรวมทั้งราคาอาหารเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน ซึ่งน้ำมันที่แพงขึ้นเกิดจากความต้องการใช้ที่มากกว่ากำลังการผลิต แม้ล่าสุดซาอุดีอาระเบียจะประกาศเพิ่มกำลังการผลิต 300,000 บาร์เรลต่อวันแล้วก็ตาม แต่ราคาน้ำมันก็ไม่มีทีท่าจะลดลง ประกอบกับมีการเก็งกำไรในตลาดล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ ส่งผลให้มีการเก็งกำไรสินค้าเกษตร ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า ภาวะเช่นนี้เป็นวิกฤติอาหารที่มีความรุนแรง อีกทั้งการแย่งพื้นที่ปลูกพืชอาหารจากพืชพลังงานทดแทน ทำให้สถานการณ์วิกฤตอาหารจะเป็นไปอย่างน้อย 3-5 ปี และใน 10 ปี ราคาอาหารจะเพิ่มขึ้น 20-50 เท่า หากภาวะโลกร้อนไม่ได้รับการแก้ไข วิกฤติอาหารรวมทั้งการแย่งพื้นที่การปลูกพืชเกษตรยังรุนแรงต่อไป
ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร ระบุว่า ปัจจุบันคนไทยชะลอการใช้จ่าย ซึ่งปกติครัวเรือนทั่วไปจะมีการใช้จ่ายด้านอาหารร้อยละ 30 ของรายได้ แต่คนยากจน ภาระค่าอาหารจะคิดเป็นร้อยละ 50 ของรายได้ และต้องยอมรับว่า ช่วงนี้ถือเป็นช่วงหมดยุคอาหารถูกแล้ว ในส่วนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ของไทยจะต้องปรับตัว โดยให้ความสนใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนสินค้า ใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น และมีการพัฒนาบุคลากร การนำความรู้และเทคโนโลยีมาใช้ รวมทั้งหาตลาดใหม่ ๆ เพิ่มเติม
