xs
xsm
sm
md
lg

สนธิ ลิ้มทองกุล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พ่อแม่พี่น้องที่รักและเคารพของพวกผมครับ เมื่อคืนนี้ตอน 05.30 น. ผม ท่านพล.ต.จำลอง ศรีเมือง คุณพิภพ ธงไชย คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข ท่านอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ประชุมกันอย่างจริงจังแล้วก็ถามกันว่า วันนี้ตอนเช้าพอไปยื่นจดหมายให้เสร็จเรียบร้อยแล้วถือว่าภารกิจเสร็จสิ้นหรือเปล่า ถ้าเสร็จสิ้นเราก็แยกย้ายกันกลับ แต่ว่าพวกเราก็เลยตั้งคำถามๆ มาว่า พวกเรา 5 คนพร้อมที่จะสู้จนถึงที่สุดอยู่แล้ว แต่การสู้ของพวกเรานั้นเราสู้เพื่อชาต ศาสนา และพระมหากษัตริย์ การสู้ของพวกเรานั้นจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่พี่น้องที่มาร่วมสู้กับเราด้วยน้ำใสใจจริง ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ด้วยธรรมที่มีอยู่ในใจ แต่การสู้ของพวกเรานั้นบางครั้งเราต้องมีมารถูกมาผจญอย่างเมื่อคืนนี้ หรือเมื่อวานนี้ในขณะเคลื่อนขบวนมีคนที่เหี้ยล้วนๆ ไม่มีสัตว์อย่างอื่นผสม มาไล่ตีคนของพวกเรา เมื่อวานตอนกลางคืนพวกเราก็เลยตัดสินใจถามความสมัครใจของคนที่จะมาร่วมอาสาเป็น รปภ. แล้วเราก็ใช้กติกาที่ว่า ตีมา 1 ทีก็ตีกลับไป 2 ที แต่พวกเราเป็นห่วงผู้หญิง คนอายุมาก และเด็ก เราก็เลยตัดสินใจกันเป็นมติเอกฉันท์ ทั้ง 5 คน รวมทั้งคุณสุริยะใส กตะศิลา ด้วย บอกว่าเอาละถ้าเราจะอยู่ต่อ เราจะสู้ต่อ ถ้าจะมีอันตรายพวกเรา 5-6 คนเราพร้อมจะรับ แต่เราต้องถามพ่อแม่พี่น้องก่อน เราก็เลยถามพ่อแม่พี่น้องตอนเช้า ตอนประมาณ 06.00 น. ท่าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ท่านก็ถามชัดเจน ท่านว่ามีอยู่ 2 ข้อ ให้ช่วยกันลงคะแนนเสียง (ข้อแรก) เมื่อเรายื่นจดหมายให้กับประธานวุฒิสภาฯ แล้ว ถือว่าภารกิจจบสิ้นแล้ว จะกลับหรือไม่ ใครเห็นด้วย (ข้อที่สอง) ยื่นเสร็จแล้วแต่เราไม่กลับ เพราะว่ามีภารกิจที่จะต้องทำชาติให้กลับไปเป็นสถานที่อยู่อาศัยที่มีคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรม สำหรับเราและลูกหลานเราต่อไปในอนาคต แต่การอยู่ต่อนั้นอาจจะต้องลำบาก ให้พ่อแม่พี่น้องตอนเช้าเป็นคนตัดสินใจ ถ้าพี่น้องบอกว่ากลับ เราคิดกันในใจว่าเพียงแค่ 10 % ยกมือว่ากลับ เราก็จะกลับ เพราะว่าเราไม่ต้องการเป็นห่วงเป็นใย และก็ทำให้พ่อแม่พี่น้องจะต้องมีปัญหาเวลาโดนเหี้ยล้วนๆ ที่ไม่มีสัตว์อย่างอื่นผสม ก็ปรากฏว่าพี่น้องที่นั่งอยู่ตอนเช้า ที่อยู่ค้างคืนกับเรามาผ่านการต่อสู้มา ผ่านการคุกคามมา ทุกคนลงมติเป็นเอกฉันท์ทุกเสียง ว่าจะขออยู่ต่อ อะไรจะเกิดให้มันเกิด ผมพูดเมื่อเช้านี้ ผมบอกว่าพวกเราเป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่พี่น้อง ความกล้าหาญของพ่อแม่พี่น้องนั้นมีมากกว่าพวกเราเยอะ ทำไมพวกเราถึงพูดเช่นนั้น ที่พวกเราพูดเช่นนั้นก็เพราะว่าพวกเรานั้น เมื่อตัดสินใจจะเดินหน้าเพื่อต่อสู้เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์แล้ว เราก็ใช้เวลาของเราเดินหน้าสู้ทันที อะไรจะเกิดให้มันเกิด จะฟ้องผมหมิ่นประมาทกี่คดี ก็ฟ้องไป จะจำคุกผม 6 ปี 10 ปี ก็จำไป เดินหน้าไม่ถอยอยู่แล้ว แต่พี่น้อง พี่น้องมีภาระ มีลูก มีเมีย มีการงานที่ต้องทำ ขนาดมีภาระอย่างนี้ยังเสียสละตัวเองมา มานั่งกลางดิน กินกลางทราย เสร็จเรียบร้อยแล้วก็พร้อมที่จะต้องเตรียมรับกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น พวกผมถึงบอกว่าพวกผมขอคารวะจิตใจของพ่อแม่พี่น้อง เพราะว่าด้วยเหตุนี้ที่พ่อแม่พี่น้องเป็นคนอย่างนี้ พวกเราถึงมีกำลังใจที่จะต่อสู้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตลอดไปครับ
พี่น้องครับ สังคมไทยวันนี้เป็นสังคมที่แบ่งแยกชัดเจนแล้ว วันนี้เราสามารถที่จะพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดว่าการเอาธรรมนำหน้านั้นจะต้องชนะอธรรม เมื่อคืนนี้มีการรังควานพวกเรา พวกเราก็ตอบโต้กลับไป พวกเราก็บาดเจ็บสิบกว่าคน เขาก็บาดเจ็บ 20 กว่าคนถึง 30 ปรากฎว่า ไอ้ที่บาดเจ็บนั้นมันรับมา 500 บาท แต่มันต้องไปเย็บที่หัวมัน 3,000 บาท มันไม่คุ้ม ของเรานี่บาดเจ็บหัวแตก ก็บอกเราว่า พี่เรื่องเล็ก แตกอีก 3 ครั้ง ผมก็ไม่แคร์เพราะผมแค้น คนของพวกเราสู้ ที่เขาสู้เมื่อคืนเพราะเขาต้องการให้รู้ว่าเราชุมนุมอย่างสงบและอหิงสานั้นไม่ได้หมายความว่า เรากลัวเขา ใช่ไม่ใช่ เป็นเพียงแต่ว่า เรามีความเป็นมนุษย์มากกว่าพวกเขา ใช่ไม่ใช่ แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องประดาบแล้วเลือดเดือด ตาต่อตาฟันต่อฟัน เราก็พร้อมและเราก็กล้ามากกว่าเขาด้วย คนเราไม่ได้วัดกันด้วยท่าทีที่เป็นนักเลงอันธพาล ใช่ไม่ใช่ คนเราวัดกันที่ใจใช่ไหม ใจมันต้องเป็นใหญ่ ใจมันต้องเป็นประธานมันถึงจะชนะ ใช่ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นแล้วไอ้พวกเรือหายทั้งหลาย ขอให้รับรู้เอาไว้ว่าทุกคนที่มาอยู่ในที่นี้ใจเป็นใหญ่แล้วใจเป็นประธานทั้งสิ้น ปรบมือให้กับตัวเองสักหน่อยพ่อแม่พี่น้อง
พี่น้องครับพวกเรา 5 คน ไม่มีอะไรให้พี่น้องนอกจากอย่างเดียวเท่านั้นเอง ว่าเราให้สัจจวาจากับพี่น้องได้ว่า ในการทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นั้น เราจะไม่ท้อถอย และที่สำคัญที่สุดที่พวกเราตัดสินใจร่วมสู้กันต่อก็เพราะว่าเมื่อมันยังไม่ได้สู้จนถึงที่สุดแล้วถอยทำไม สงครามมันเพิ่งจะเริ่ม ยังไม่ได้ถึงที่สุด เพราะฉะนั้นจะแพ้ขอขอให้แพ้อย่างสมศักดิ์ศรี คือให้มันถึงที่สุดเสียก่อน พ่อแม่พี่น้อง พ่อแม่เรา ครูบาอาจารย์เราเคยสอนว่า ทำอะไรต้องทำให้ดีที่สุดใช่ไหม ถ้าไม่ทำให้ดีที่สุดแล้วผิดพลาดขึ้นมาแล้วเราจะมาเสียใจทีหลังบอกว่า แหมถ้ากูรู้อย่างนี้ ใช่ไม่ใช่ อย่าให้มีคำว่า ถ้ากูรู้อย่างนี้ หลุดออกมาเป็นอันขาด ใช่ไม่ใช่ ด้วยเหตุนี้ผมอยากจะเรียกร้องไปยังพ่อแม่พี่น้องที่นั่งกินกาแฟ กินข้าว กินหูฉลาม แล้วนั่งดู ASTV อยู่ที่บ้าน ว่าอย่าเลยพี่น้องมานั่งเขียนประวัติศาสตร์กันที่นี่ร่วมกันจะดีกว่า จำได้ไหมพ่อแม่พี่น้องที่เราสู้ครั้งแรกที่สนามหลวง ที่ผมบอกพ่อแม่พี่น้องให้จำวันนี้เอาไว้ จดบันทึกลงไปในความทรงจำเพื่อที่จะเล่าให้ลูกให้หลานฟัง ว่าครั้งหนึ่งพ่อ หรือปู หรือตา แม่ หรือยาย หรือย่า เคยออกมานั่งกินกลางดินนอนกลางทรายท่ามกลางน้ำค้างตอนเช้า เพื่อจะร่วมกันกู้ชาติ จำได้ไหมผมพูดคำนี้ไว้ ครั้งนี้ก็คือโอกาสอีกโอกาสหนึ่ง โอกาสอย่างนี้ไม่ใช่มีมาง่ายๆ พี่ลองของผมอายุก็มากแล้ว พี่ลองบอก สนธิครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้วนะ พี่ลองบอกว่า ชีวิตผมมันต้องสู้มาตลอด ให้ผมได้พักบ้าง ผมก็บอก พี่ลองผมเองก็ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายเหมือนกัน มันไล่อย่างไร ปี 2549 ไล่มันไปแล้วไอ้เรือหายก็ยังเสือกกลับมาอีก จะต้องให้ไล่กันจนกระทั่งถึงลูกถึงหลานหรืออย่างไร มีคนในสหภาพแรงงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ชื่อคุณอ้อย แกเป็นหนึ่งในหน่วยรักษาความปลอดภัย แกไปดูแลพวกเราที่สนามหลวงตั้งแต่ลูกสาวแกยังอยู่ ม.3 ที่เซนต์ฟรังฯ วันเสาร์ที่ผ่านมา เดินออกมาถามแกว่า อ้าวอ้อยนี่ลูกสาวหรอ บอกใช่ค่ะ โตเป็นสาวแล้ว ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นไหนแล้วลูก ม.6 แล้วค่ะ อ้าวตาย สมัยนั้นยังอยู่ ม.3 นี่ขอร้องอย่าให้ลุงต้องไล่จนกระทั่งวันนึงแกมีลูกแล้วลุงต้องไล่อีกนะ บอกลุงรับไม่ไหวแล้วนะงานนี้ ขอให้ครั้งนี้เป็นสงครามครั้งสุดท้ายพ่อแม่พี่น้องครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น