การประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบขนส่งทางรางและระบบขนส่งมวลชน ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานสัปดาห์ที่แล้ว ได้เห็นชอบจัดสรรงบประมาณ 50 ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังไปว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินเข้าไปสำรวจสถานะทางการเงิน มูลค่าทรัพย์สิน และแนวทางการในการซื้อกิจการรถไฟฟ้าบีทีเอส ของบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส ตามนโยบายของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ว่ามีความคุ้มค่ากับเงินลงทุนมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะการกำหนดราคาหุ้นที่เหมาะสม เพื่อให้การตัดสินใจลงทุนของรัฐบาลไม่ถูกคำครหาและมีผลทางเศรษฐกิจมากที่สุด
ทั้งนี้ การที่นายกรัฐมนตรีต้องการเข้าไปซื้อกิจการของบีทีเอส เพราะต้องการให้เกิดความสะดวกในการบริหารจัดการโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งระบบ ขณะที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) คาดว่าจะใช้เงินกว่า 56,000 ล้านบาท ในการเข้าซื้อกิจการ โดยขอซื้อหนี้จากเจ้าหนี้ร้อยละ 89 หรือประมาณ 50,000 ล้านบาท ที่เหลืออีกร้อยละ 11 ซื้อหุ้นของบีทีเอส เป็นเงินประมาณ 6,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ไปปรับงบประมาณในการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดทำโครงการรถไฟฟ้า สายสะพานใหม่-ลำลูกกา สายบางปิ้ง-บางปู สายวงแหวนรอบใน (รัชโยธิน-พระราม 7/ ท่าพระ-พระราม 3-คลองเตย) โดยให้ใช้งบประมาณของปี 2552 มาดำเนินการแทน และ สนข.ยังได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าระยะแรกให้ที่ประชุมทราบ โดยสายบางใหญ่-บางซื่อ ได้เปิดขายเอกสารประกวดราคาแล้วเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา และเชื่อว่าจะลงนามสัญญาก่อสร้างได้ภายในต้นปี 2552 เส้นทางแบริ่ง-สมุทรปราการ-บางปู และเส้นทางหมอชิต-สะพานใหม่ อยู่ระหว่างรอสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว คาดว่าจะประกวดราคาได้ในเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะที่เส้นทางบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค จะประกวดราคาได้ในเดือนมิถุนายนนี้ ส่วนระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เส้นทางบางซื่อ-ตลิ่งชัน จะลงนามสัญญาก่อสร้างได้ในเดือนพฤษภาคมนี้ เส้นทางบางซื่อ-รังสิต คาดว่าจะประกวดราคาได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ และเส้นทางบางซื่อ-พญาไท-หัวหมาก จะประกวดราคาได้ในเดือนกรกฎาคม 2551
ทั้งนี้ การที่นายกรัฐมนตรีต้องการเข้าไปซื้อกิจการของบีทีเอส เพราะต้องการให้เกิดความสะดวกในการบริหารจัดการโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งระบบ ขณะที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) คาดว่าจะใช้เงินกว่า 56,000 ล้านบาท ในการเข้าซื้อกิจการ โดยขอซื้อหนี้จากเจ้าหนี้ร้อยละ 89 หรือประมาณ 50,000 ล้านบาท ที่เหลืออีกร้อยละ 11 ซื้อหุ้นของบีทีเอส เป็นเงินประมาณ 6,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ไปปรับงบประมาณในการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดทำโครงการรถไฟฟ้า สายสะพานใหม่-ลำลูกกา สายบางปิ้ง-บางปู สายวงแหวนรอบใน (รัชโยธิน-พระราม 7/ ท่าพระ-พระราม 3-คลองเตย) โดยให้ใช้งบประมาณของปี 2552 มาดำเนินการแทน และ สนข.ยังได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าระยะแรกให้ที่ประชุมทราบ โดยสายบางใหญ่-บางซื่อ ได้เปิดขายเอกสารประกวดราคาแล้วเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา และเชื่อว่าจะลงนามสัญญาก่อสร้างได้ภายในต้นปี 2552 เส้นทางแบริ่ง-สมุทรปราการ-บางปู และเส้นทางหมอชิต-สะพานใหม่ อยู่ระหว่างรอสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว คาดว่าจะประกวดราคาได้ในเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะที่เส้นทางบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค จะประกวดราคาได้ในเดือนมิถุนายนนี้ ส่วนระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เส้นทางบางซื่อ-ตลิ่งชัน จะลงนามสัญญาก่อสร้างได้ในเดือนพฤษภาคมนี้ เส้นทางบางซื่อ-รังสิต คาดว่าจะประกวดราคาได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ และเส้นทางบางซื่อ-พญาไท-หัวหมาก จะประกวดราคาได้ในเดือนกรกฎาคม 2551
