บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทในประเทศทะยานขึ้นทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 10 ปีครึ่ง ครั้งใหม่ เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยได้รับแรงหนุนจากแรงเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างหนักของผู้ส่งออก ท่ามกลางกระแสการคาดการณ์ยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับสกุลเงินในภูมิภาค อาทิ เงินดอลลาร์สิงคโปร์ แข็งค่าสุดในรอบ 11 ปี และเงินดอลลาร์ไต้หวัน แข็งค่าสุดในรอบ 2 ปีครึ่งด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีแรงซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าเป็นการเข้ารักษาเสถียรภาพค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า
ขณะที่สัปดาห์หน้า ค่าเงินบาทในประเทศอาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 32.15-32.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปัจจัยที่ควรจับตาได้แก่ ความชัดเจนในประเด็นเกี่ยวกับมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 แรงขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ของผู้ส่งออก และสัญญาณการเข้าแทรกแซงตลาดของ ธปท. ตลอดจนทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะขึ้นกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ดัชนีราคาผู้ผลิต รายได้/รายจ่ายส่วนบุคคล และดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคลเดือนมกราคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดการเงินยังจับตาแถลงการณ์เกี่ยวกับนโยบายการเงินในรอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสของ นายเบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด อีกด้วย
ส่วนตลาดเงินระยะสั้นสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นทรงตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาพคล่องที่ยังคงมีอยู่มากในตลาดเงิน โดยมีการตัดจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มรายเดือนผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ในช่วงต้นสัปดาห์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ ประเภทกู้ยืมข้ามคืน ยังคงหนาแน่นเท่าเดิมที่ร้อยละ 3.20 ขณะที่อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ประมูลได้ของธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคี ระยะ 1 วัน ระยะ 7 วัน และระยะ 14 วัน อยู่ในกรอบประมาณร้อยละ 3.19-3.25 เทียบกับร้อยละ 3.22-3.25 ในสัปดาห์ก่อน
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีแรงซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าเป็นการเข้ารักษาเสถียรภาพค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า
ขณะที่สัปดาห์หน้า ค่าเงินบาทในประเทศอาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 32.15-32.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปัจจัยที่ควรจับตาได้แก่ ความชัดเจนในประเด็นเกี่ยวกับมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 แรงขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ของผู้ส่งออก และสัญญาณการเข้าแทรกแซงตลาดของ ธปท. ตลอดจนทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะขึ้นกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ดัชนีราคาผู้ผลิต รายได้/รายจ่ายส่วนบุคคล และดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคลเดือนมกราคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดการเงินยังจับตาแถลงการณ์เกี่ยวกับนโยบายการเงินในรอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสของ นายเบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด อีกด้วย
ส่วนตลาดเงินระยะสั้นสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นทรงตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาพคล่องที่ยังคงมีอยู่มากในตลาดเงิน โดยมีการตัดจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มรายเดือนผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ในช่วงต้นสัปดาห์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ ประเภทกู้ยืมข้ามคืน ยังคงหนาแน่นเท่าเดิมที่ร้อยละ 3.20 ขณะที่อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ประมูลได้ของธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคี ระยะ 1 วัน ระยะ 7 วัน และระยะ 14 วัน อยู่ในกรอบประมาณร้อยละ 3.19-3.25 เทียบกับร้อยละ 3.22-3.25 ในสัปดาห์ก่อน
