ชวนเที่ยว “ปูซาน” เมืองท่าแห่งเกาหลีใต้ ย้อนไปสัมผัสเรื่องราวของผู้คนในยุคสงครามเกาหลี ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวที่เราคุ้นเคย อย่างเช่น หมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอน แล้วไปเที่ยวกันต่อในวันที่ท้องฟ้าสดใส ชมวิวริมทะเลในมุมสูงที่ BUSAN X the SKY เลาะเลียบชายฝั่งกับ Haeundae Blueline Park แล้วชิมอาหารทะเลสดๆ ที่ ตลาดจากัลชี
ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนไทย แต่เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อ “สงครามเกาหลี” รวมถึงวีรกรรมของทหารไทยที่เข้าร่วมการรบในสงครามครั้งนั้น
สงครามเกาหลี เป็นสงครามระหว่างเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ เมื่อกองทัพเกาหลีเหนือได้ข้ามเส้นขนานที่ 38 รุกเข้าสู่เกาหลีใต้ ในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1950 ก็นับว่าเป็นวันเริ่มต้นของสงครามในครั้งนั้น ต่างฝ่ายต่างได้รับการสนับสนุนจากชาติใหญ่ แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือประชาชน มีทั้งบาดเจ็บ เสียชีวิต พลัดพรากจากครอบครัว ไปจนถึงการต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน ความอดอยาก และการต้องดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอด โดยสงครามในครั้งนั้น ได้ยุติลงจากการลงนามสงบศึกเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ.1953 แต่ในทางเทคนิคแล้ว สงครามเกาหลีก็ยังไม่เคยยุติ เพราะมีเพียงการลงนามความตกลงการสงบศึกเท่านั้น หากแต่ไม่มีสนธิสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการ
สำหรับไทย ได้ส่งทหารเข้าร่วมรบกับสหประชาชาติ การส่งกองกำลังทั้งทางบก น้ำ อากาศ เข้าช่วยเหลือ ซึ่งทหารราบของไทยก็ประจำในเกาหลีใต้ยาวจนถึงเดือนมิถุนายน 1972
เที่ยว “ปูซาน” ย้อนรอยสงครามเกาหลี
“ปูซาน” นับว่าเป็นอีกเมืองในเกาหลีใต้ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้คนในยุคสงคราม โดยเฉพาะรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่เสียสละเพื่อครอบครัว ท่ามกลางความยากลำบาก ทาง “องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี” จึงมีแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงสันติภาพ โดยมีปูซานเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวเหล่านี้
จากบาดแผลแห่งสงครามที่ยังส่งผลจนถึงทุกวันนี้ แปรเปลี่ยนสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ให้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว อย่างแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตอันดับต้นๆ ของปูซาน นั่นคือ “หมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอน” (Gamcheon Culture Village) หมู่บ้านสีสันสดใสที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองปูซาน
หมู่บ้านนี้เริ่มก่อตั้งในช่วงสงครามเกาหลีปี 1950 โดยผู้ลี้ภัยที่เข้ามาตั้งรกรากตามเนินเขาที่ยังมีพื้นที่ว่างอยู่ (บนพื้นราบส่วนใหญ่จะมีชาวบ้านดั้งเดิมอาศัยอยู่แล้ว) ตัวบ้านเรือนนั้นเรียงรายตามแนวเนินเขาเป็นแบบขั้นบันไดอย่างเป็นระเบียบ และตรอกซอกซอยที่ซับซ้อนเหมือนเขาวงกต และนี่คือเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหมู่บ้านคัมชอน
พื้นที่ที่สะท้อนร่องรอยของผู้ลี้ภัยสงครามเกาหลี พัฒนามาเป็นชุมชนที่อยู่อาศัย และตั้งแต่ปี 2009 ก็ได้รับการฟื้นฟูจากชุมชนยากจนให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งด้วยการผสมผสานศิลปะและวัฒนธรรม บ้านเรือถูกทาสีพาสเทลให้มีความสดใส ตามตรอกซอกซอยมีผลงานศิลปะซ่อนอยู่ในทุกมุม กลายเป็นจุดถ่ายรูปสวยๆ อย่างผลงานที่ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือเจ้าชายน้อย รวมถึงการเป็นจุดถ่ายทำภาพยนต์และซีรีส์ต่างๆ
ฝั่งตรงข้ามของหมู่บ้านคัมชอน ก็เป็นอีกแห่งที่มีร่องรอยของผู้อพยพ นั่นคือ “หมู่บ้านวัฒนธรรมหลุมฝังศพอามีดง” (Ami-dong Tombstone Culture Village) ที่นี่นับว่าเป็นหมู่บ้านที่สร้างอยู่บนสุสาน เนื่องจากตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์โชซอน มีชาวญี่ปุ่นเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในบริเวณนี้ จึงมีการสร้างเมรุและสุสานสาธารณะ
จนกระทั่งในช่วงสงครามเกาหลี มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากเข้ามาอาศัยในพื้นที่เดียวกันนี้ ด้วยความเป็นอยู่ที่ยากไร้ ไม่มีเงินในการก่อสร้างบ้านเรือน จึงได้นำศิลาหินและแท่นหินจากสุสานมาใช้ซ้ำ เป็นฐานราก ขั้นบันได และกำแพง ซึ่งหากว่าได้เดินอยู่ในหมู่บ้าน ก็ยังสามารถสังเกตเห็นชิ้นส่วนของศิลาและแท่นหินเหล่านั้นอยู่ นับว่าอามีดงได้สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์และร่องรอยชีวิตของผู้ลี้ภัยได้อย่างครบถ้วน
อีกจุดในปูซานที่นับว่าเป็นอนุสรณ์เพื่อรำลึกถึงสงครามเกาหลี คือ “สวนสันติภาพอนุสรณ์แห่งสหประชาชาติในเกาหลี” (UN Memorial Cemetery in Korea) ที่นี่เป็นสุสานของกองกำลังสหประชาชาติแห่งเดียวในโลกที่อยู่ในการดูแลโดยตรงของสหประชาชาติ
กองบัญชาการกองกำลังสหประชาชาติได้จัดตั้งสถานที่นี้เพื่อฝังผู้เสียชีวิตจากสงครามเกาหลี หลังจากนั้น ศพของทหารที่ฝังชั่วคราวอยู่ตามเมืองต่างๆ เช่น แคซอง, อินชอน, แทจอน, แทกู, มีรยาง, มาซาน ก็ถูกย้ายมาฝังที่นี่ ตั้งแต่เดือนมกราคม 1951
ในปี 1955 รัฐสภาเกาหลีใต้ได้มอบที่ดินนี้ให้แก่สหประชาชาติเป็นการถาวร เพื่อแสดงความขอบคุณต่อการเสียสละของกองกำลังสหประชาชาติ และตามมติของสมัชชาสหประชาชาติในปีเดียวกัน สุสานแห่งนี้จึงอยู่ในการดูแลถาวรของสหประชาชาติ
ที่นี่อนุสาวรีย์ระลึกทหารสหประชาชาติ และอนุสาวรีย์ของเครือจักรภพ รวมถึงอนุสาวรีย์ระลึกของแต่ละประเทศ และมีศพทหารสหประชาชาติจาก 16 ประเทศที่เข้าร่วมสงครามเกาหลี และ 5 ประเทศที่สนับสนุนด้านการแพทย์ รวมประมาณ 2,300 ศพ (เดิมมีผู้เสียชีวิตประมาณ 11,000 คนถูกฝังไว้ แต่ต่อมามีการส่งศพกลับประเทศต้นทาง)
โดยทหารไทยที่ได้เข้าร่วมสงครามเกาหลีในครั้งนั้น ปัจจุบันมีการนำอัฐิไปฝังไว้ ณ สุสานอนุสรณ์แห่งสหประชาชาติ เมืองปูซาน จำนวน 3 ท่าน
และแม้ว่าสงครามเกาหลีจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่ปัจจุบันก็ยังคงมีการจัดงานเพื่อรำลึกถึงอยู่เสมอ ในวันที่ วันที่ 11 เดือน 11 ของทุกปี จะมีการจัดงาน “Turn Toward Busan” โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากทุกประเทศที่เข้าร่วมกองกำลังสหประชาชาติในช่วงสงครามเกาหลี และจะมีการยิงปืนใหญ่ในช่วงเวลา 11.00 น. เพื่อรำลึกถึงการสูญเสียในครั้งนั้น
เที่ยว “ปูซาน” ในวันฟ้าใส
มาถึงปูซาน ก็ต้องแวะมาตลาดชื่อดังที่สุด นั่นคือ “ตลาดจากัลชี” (Jagalchi Market) ตลาดอาหารทะเลแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองปูซาน เข้ามาด้านในแม้จะเป็นตลาดสดแต่ก็ดูทันสมัย มีอาหารทะเลหลากหลายให้เลือกซื้อ ส่วนรอบๆ ตลาดก็จะมีร้านอาหารทะเลให้เข้าไปชิมความสดอร่อยของทั้งกุ้งหอยปูปลา
ส่วนใครอยากไปไหว้พระขอพร แนะนำที่ “วัดแฮดงยงกุงซา” (Haedong Yonggungsa Temple) วัดริมทะเลชื่อดังของเมืองปูซาน
วัดนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1376 เป็นหนึ่งในสามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระโพธิสัตว์กวนอิมในเกาหลี และเป็นวัดริมทะเลที่มีชื่อเสียงด้านพลังศักดิ์สิทธิ์ ตำนานเล่าว่า หากอธิษฐานด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง จะได้รับนิมิตในฝันและพรหนึ่งประการจะเป็นจริง จึงทำให้วัดนี้เป็นที่รู้จักในนาม “วัดแห่งการสัมฤทธิ์พร”
ด้วยทำเลที่ตั้งอันโดดเด่นบนหน้าผาริมทะเล ทำให้วัดนี้มีทิวทัศน์งดงามและเต็มไปด้วยความหมายทางศาสนา ทั้งพระพุทธรูปกวนอิมขนาดใหญ่ ศาลเจ้าพระราชามังกรและถ้ำธรรมะ ซึ่งสะท้อนถึงการหลอมรวมระหว่างศรัทธาในทะเล มังกร และพระพุทธศาสนา รวมถึงยังมี พระอุโบสถหลัก และ พระพุทธรูปในถ้ำธรรมะที่เชื่อว่าให้พรเรื่องบุตร จึงได้รับการขนานนามว่า “พระพุทธเจ้าประทานบุตรชาย” และเป็นที่เคารพศรัทธาของผู้คนจำนวนมาก
ไฮไลต์อีกอย่างคือ ที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงาม โดยเฉพาะในวันปีใหม่ที่มีนักท่องเที่ยวมาขอพรเพื่อเริ่มต้นปีใหม่อย่างโชคดี
ชวนมาชมวิวช่วงอาทิตย์อัสดงกันบ้าง ขึ้นมาที่ “BUSAN X the SKY” ที่อยู่ในย่านหาดแฮอุนแด ชายหาดชื่อดังของปูซาน
ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในเกาหลี ตั้งอยู่บนชั้น 98–100 ของ LCT Landmark Tower ด้วยความสูง 411.6 เมตร อาคารแห่งนี้จึงเป็นอาคารสูงอันดับสองของเกาหลีใต้ และเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นสถานที่สำคัญของปูซานได้ทั้งหมด เช่น สะพานควังอัน, ชายหาดแฮอุนแด, และย่านอาคารสูงติดทะเลมารีนซิตี้
ในเวลากลางวันสามารถชม วิวทะเลสีฟ้าและเมืองที่กลมกลืนกันอย่างสวยงาม ช่วงเย็นมาชมพระอาทิตย์ตกดินลาลับตรงเส้นของฟ้า ส่วนกลางคืนสามารถชมทิวทัศน์กลางคืนของปูซานที่งดงาม จุดชมวิวแบบพาโนรามา 360 องศา แห่งนี้จึงกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของปูซาน
ไปชมวิวกันต่อกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของปูซาน “แฮอุนแด บลูไลน์ พาร์ค” (Haeundae Blueline Park) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวชายฝั่งที่ทอดยาว 4.8 กม. จาก แฮอุนแด มีโพ (Haeundae Mipo) ผ่าน ชองซาโพ (Cheongsapo) ไปจนถึง ซงจอง (Songjeong) โครงสร้างนี้เกิดจากการ พัฒนาสายรถไฟเก่า ทงแฮนัมบู ( Donghae Nambu Line) ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่ผู้เข้าชมสามารถชมทิวทัศน์ชายฝั่งอันงดงามของปูซาน ที่ผสมผสานระหว่าง ท้องฟ้าสีฟ้าและทะเลใส
ขึ้นรถไฟชายหาด จากสถานีแฮอุนแด มีโพ ระหว่างทางก็จะได้ชมท้องทะเลของปูซานที่สดใส มีเส้นทางเดินเลียบรางรถไฟยาวขนานไปเรื่อยๆ แล้วเรามาลงที่สถานีชองซาโพ เพื่อมาเดินเล่นชมวิวที่ “จุดชมวิวชองซาโพ ทาริตดล” (Cheongsapo Daritdol Observatory)
จุดชมวิวทำเป็นสะพานทอดยาวออกไปในทะเลเป็นรูปตัว U มีความยาว 191 เมตร กว้าง 3 เมตร และสูงจากระดับน้ำทะเล 20 เมตร และที่ปลายสุดของจุดชมวิวมีพื้นกระจกโค้งรูปครึ่งวงกลม เวลาไปยืนจุดนั้นแล้วจะเหมือนกับได้เดินอยู่เหนือทะเลปูซาน
ส่วนใครที่ชอบงานศิลปะสมัยใหม่ หรือชอบการถ่ายรูปต้องไม่พลาด “อาร์เต้ มิวเซียม ปูซาน” (ARTE MUSEUM BUSAN) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัลแบบ Immersive ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ถ่ายทอดอัตลักษณ์ของเมืองปูซาน ซึ่งเป็นเมืองที่มีทั้งภูเขาและทะเลอยู่ร่วมกัน ผ่านงานศิลปะที่ผสมผสานเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์
ภายในมิวเซียม ผู้เข้าชมสามารถเดินและใช้เวลาอยู่ในผลงานศิลปะที่ประกอบด้วยแสง เสียง และกลิ่น เพื่อดื่มด่ำประสบการณ์รอบๆ ตัวแบบลึกซึ้ง ใครที่ชอบถ่ายรูป รับรองว่าจะได้เพลิดเพลินกับที่นี่แบบลืมเวลา
นอกจากที่ “ปูซาน” จะมีแหล่งท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับสงครามเกาหลีแล้ว ที่ “โซล” เมืองหลวงของเกาหลีใต้ ก็มีที่เที่ยวที่เชื่อมโยงกับสงครามเกาหลีเช่นกัน ติดตามกันต่อในตอนหน้า...
#########################################
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline


