xs
xsm
sm
md
lg

ตื่นตา 6 เมืองมรดกโลกอาเซียน ไปเที่ยวได้ไม่ต้องใช้วีซ่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เมืองเก่าพุกาม ดินแดนแห่งทะเลเจดีย์
ชวนเที่ยว 6 เมืองมรดกโลกสุดแจ่มในอาเซียน ประเทศเพื่อนบ้านของเราที่คนไทยมีแค่พาสปอร์ตไม่ต้องใช้วีซ่า ก็ไปเที่ยวได้เลย

ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนรอบ ๆ ประเทศไทยนั้นถือเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มีความน่าสนใจไม่แพ้ภูมิภาคอื่นของโลกมีเมืองที่ได้รับการรับรองสถานะ “มรดกโลก” จากองค์การยูเนสโก ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา และวิถีชีวิตที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ล้วนเป็นมรดกทรงคุณค่าแก่การต้องไปเยือนสักครั้ง โดยเฉพาะความสะดวกสบายในฐานะนักท่องเที่ยวสัญชาติไทยที่ใช้แค่หนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ตเล่มเดียว ก็ไปเที่ยว 6 จุดหมายที่มีชื่อเสียงในระดับโลกเหล่านี้ได้เลย แบบไม่ต้องง้อวีซ่า

พุกาม พม่า


พระอาทิตย์ตกที่พุกาม
แม้เมืองมรดกโลกของประเทศพม่าอย่าง “พุกาม" เพิ่งได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมานี้เอง (พ.ศ.2562) แต่ทว่าอาณาจักรโบราณซึ่งได้รับการกล่าวขานให้เป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ ก็เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมจากนักท่องเที่ยวมาเนิ่นนานแล้ว แถมความโด่งดังก็อยู่ในแนวหน้าของอาเซียน การันตีโดยสื่อท่องเที่ยวระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Lonely Planet หรือหนังสือดังจากนิวยอร์กไทม์ส “1,000 places to see before you die”

เอกลักษณ์อันเป็นที่จดจำจากคนทั่วโลกเกี่ยวกับเมืองพุกาม คือ เจดีย์โบราณนับพันองค์ที่สร้างมาในศตวรรษที่ 11-13 กระจัดกระจายไปทั่วเขตเมืองเก่า ไม่ว่าจะเป็นทัศนียภาพยามต้องแสงแรกของวัน หรือก่อนแสงอาทิตย์ลาลับ แดดอาบอุ่นก็จะเปลี่ยนท้องทุ่งเจดีย์เป็นสีสันน่าตื่นตาตื่นใจ โดยในปัจจุบันเจดีย์พุกาม เหลืออยู่ประมาณ 2,000 องค์ เปรียบเป็นหลักฐานความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร ในช่วง พ.ศ. 1587 - 1830 และสื่อถึงความศรัทธายิ่งใหญ่ที่มีต่อพุทธศาสนา

มหาเจดีย์ชเวสิกอง
อย่างไรก็ตาม นอกจากไฮไลท์ทุ่งเจดีย์เก่าแล้ว เมืองมรดกโลกพุกาม ยังมี 1 ใน 5 มหาศักดิ์สิทธิ์ของพม่า ที่ไม่ควรพลาดไปเยือน คือ “มหาเจดีย์ชเวสิกอง" หรือเจดีย์สีทองแห่งชัยชนะ ซึ่งมีความงดงามยิ่งใหญ่ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมแบบมอญ

วัดอนันดา
รวมถึง “วัดอนันดา” เพชรน้ำเอกแห่งสถาปัตยกรรมแบบมอญ ที่เป็นสัญลักษณ์แทนภูเขานันทมูล แห่งเทือกเขาหิมาลัย ภายในวิหารสร้างด้วยรูปแบบผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนทั้ง 4 ทิศ เป็นพระพุทธรูปแกะสลักด้วยไม้สักที่มีความงดงาม บ่งบอกฝีมือช่างแห่งศิลปะพุกามขนานแท้

หมายเหตุ : *คนไทยไปเที่ยวพม่าได้ 14 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า (เฉพาะการเดินทางผ่านท่าอากาศยาน)

ฮอยอัน เวียดนาม


เมืองท่ายุคโบราณแห่งนี้ มีบุคลิกแตกต่างจากเมืองใหญ่ของเวียดนามแห่งอื่นอย่างสิ้นเชิง “ฮอยอัน” เป็นศูนย์กลางความรุ่งเรืองมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15-19 ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมทั้งดัตช์ ญี่ปุ่น อินเดีย ผนวกเข้ากับความเป็นท้องถิ่นดั้งเดิม จึงเป็นเอกลักษณ์ชัดเจนชนิดที่ใครเห็นภาพก็รู้ว่าเป็นเมืองไหน

บ้านเรือนในฮอยอันยามราตรี
จุดขายสำคัญที่นักท่องเที่ยวหลงเสน่ห์ฮอยอัน อยู่ในย่านเมืองเก่าริมแม่น้ำทูโบน (Thu Bon) แหล่งเมืองเก่าถนนสามสายขนานกันที่สะดุดตาด้วยอาคารเก่าแก่สีเหลืองมัสตาร์ดสีสันสดใสเบียดเสียดอวดความงามสไตล์ย้อนยุคสถาปัตยกรรมตะวันตกผสมตะวันออก หลายแห่งดัดแปลงเป็นที่พัก ร้านอาหาร ร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก พิพิธภัณฑ์ชุมชน ฯลฯ

นักท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่าฮอยอัน
วิธีทำความรู้จักความงามของเมือง ได้แก่ การเดินเท้าสำรวจ เช่าจักรยานปั่นลัดเลาะไปตามถนนสายเล็ก หรือใช้บริการสามล้อถีบสไตล์เวียดนาม (Cyclo) ที่ผู้โดยสารนั่งอยู่ด้านหน้า ชมบรรยากาศในเขตเมืองเก่าที่ยังสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมหลากหลาย เช่น ศาลเจ้าชาวจีนอย่างศาลเจ้ากว่างเจีย ศาลเจ้าเฝือกเกี๋ยน รวมท้ังสะพานญี่ปุ่นริมคลองที่เป็นแลนด์มาร์กมรดกตกทอดจากชาวญี่ปุ่นสร้างไว้

บรรยากาศสวยงามเวลากลางคืนที่แม่น้ำทูโบน
เมื่อถึงช่วงเวลากลางคืน บรรยากาศฮอยอัน ปรับโหมดเป็นความโรแมนติกได้ไม่ยาก เพราะโคมไฟหลากสีไม่เพียงแต่เพิ่มความสว่างขับไล่ความมืด แต่เป็นสีสันที่ประดับประดาเมืองเก่าให้มีเสน่ห์อีกเท่าตัว โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้ำทูโบน ที่มีแม่ค้าพายเรือมาขายโคมลอยน้ำคล้ายกระทง ตามความเชื่อเรื่องการขอพรขอความโชคดี ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือไปลอยกลางน้ำก็ได้

หมายเหตุ : *คนไทยไปเที่ยวเวียดนามได้ 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า


จอร์จทาวน์ มาเลเซีย


จอร์จทาวน์” หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า ปีนัง เมืองมรดกโลกของประเทศเพื่อนบ้านติดชายแดนใต้ เป็นเมืองท่าเก่าแก่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเคยได้รับการกล่าวขานว่าเป็นไข่มุกแห่งดินแดนตะวันออก

จอร์จทาวน์จากมุมสูง แสดงให้เห็นเอกลักษณ์อาคารสไตล์ชิโน-โปรตุกีส
จุดเริ่มต้นของการเป็นศูนย์กลางความเจริญในอดีต มาจากเซอร์ ฟรานซิส ไลท์ กัปตันเรือและพ่อค้าชาวอังกฤษ ที่ตั้งใจจะเช่าเกาะจากสุลต่านเพื่อใช้ทำการค้า และเป็นท่าเรือของบริษัท British East India และทำให้เป็นท่าเรือปลอดภาษี จึงเป็นเกาะที่ดึงดูดพ่อค้าชาวจีน ชาวท้องถิ่น แรงงานชาวอินเดีย เข้ามาปักหลักตั้งถิ่นฐาน กลายเป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญ และตั้งชื่อว่า จอร์จทาวน์ ตามพระนามของพระเจ้าจอร์จที่ 3

Blue Mansion หรือ Cheong Fatt Tze
ความโดดเด่นของจอร์จทาวน์ในวันนี้ ต้องยกให้กับความเป็นเมืองเก่าที่ยังมีชีวิตซึ่งเรื่องราวในอดีตผสมผสานกับความร่วมสมัยได้อย่างกลมกลืน อาคารเก่าสไตล์ชิโน-โปรตุกีสนับร้อยนับพันหลังยังคงโครงสร้างที่สมบูรณ์สวยงามเฉกเช่นเมื่อกว่าร้อยปีที่แล้ว หากจะปรับเปลี่ยนก็มีเพียงการตกแต่งเพื่อความสวยงามให้เหมาะกับการใช้งานเท่านั้น ซึ่งมีทั้งการทำเป็นที่พัก พิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร ผับบาร์ ฯลฯ

สตรีทอาร์ตในจอร์จทาวน์
นอกจากอาคารเก่าสวยๆ วัดจีน มัสยิด อินเดียทาวน์ ซึ่งเป็นแหล่งเที่ยวด้านวัฒนธรรมแล้ว ความสนุกของการเที่ยวจอร์จทาวน์ ยังมีสีสันจากการเป็นหนึ่งในต้นแบบสตรีทอาร์ต ที่ศิลปินระดับโลกและศิลปินท้องถิ่น ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานเพื่อสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นท้องถิ่น ปรากฏลงไปในสตรีิทอาร์ตรูปแบบหลากหลาย มีแผนที่ให้ตามหาชิ้นงานไฮไลท์ต่างๆ ทำให้การเที่ยวชมเมืองมรดกโลกจอร์จทาวน์เพลิดเพลินยิ่งกว่าเดิม

หมายเหตุ : *คนไทยไปเที่ยวมาเลเซียได้ 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า

หลวงพระบาง ลาว


เมืองขวัญใจนักท่องเที่ยวอย่าง “หลวงพระบาง” มีความแข็งแกร่งในแง่ของการอนุรักษ์วิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี ความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นในเมืองมรดกโลกแห่งนี้นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความทันสมัยของโลกที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา เพราะทางการลาวปฏิเสธความเจริญจากการลงทุนที่ไม่เข้ากับวิถีแห่งเมืองเก่าและหลักการคุ้มครองเมืองมรดกโลก

หลวงพระบางในมุมสูง
ทุกวันนี้ วัดวาอารามแสนวิจิตรศิลปะแบบล้านช้าง โบราณสถาน หรืออาคารบ้านเรือนที่ได้รับอิทธิพลฝรั่งเศสในยุคโคโลเนียล ยังคงเสน่ห์แบบเดิมๆ ไม่เปลี่ยนไป ส่วนวิถีชีวิตของชาวลาวที่ผูกพันกับพุทธศาสนา เช่น การตักบาตรข้าวเหนียว เป็นสิ่งที่ยังดำเนินไปตามปกติไม่แตกต่างจากหลายสิบปีก่อน รวมถึงวิถีท้องถิ่นที่ตลาดสดยามเช้า หรือตลาดมืด (ที่หมายถึงตลาดกลางคืน) ก็ยังเป็นบรรยากาศเดิมๆอย่างที่เคยเห็นมาเนิ่นนาน นอกจากนี้ เอกลักษณ์ของวัฒนธรรมยังรวมถึงอาหารการกินในแบบฉบับคนลาว การแต่งกาย และประเพณีที่เชื่อมโยงกับศาสนาพุทธ ที่ผู้มาเยือนจะได้เรียนรู้เมื่อมาเยือนเมืองในหุบเขาแห่งนี้

วัดเชียงทอง
การทำความรู้จักความงามล้ำค่าของเมืองหลวงพระบาง สามารถทำได้ผ่านแหล่งท่องเที่ยวภาคบังคับที่นักท่องเที่ยวนิยม เช่น หอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง หรือพระราชวังเก่า วัดเชียงทอง วัดโพนชัย วัดใหม่สุวรรณภูมาราม จุดชมวิวพระธาตุพูสี น้ำตกตาดกวางสี ฯลฯ จากนั้น ลองหาโปรแกรมเดย์ทริปไปล่องแม่น้ำโขง ก็ทำให้สัมผัสกับเสน่ห์เมืองเก่าของ สปป.ลาวได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หมายเหตุ : *คนไทยไปเที่ยวลาวได้ 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า

เสียมราฐ กัมพูชา


หากกล่าวว่า “เสียมราฐ" หรือ เสียมเรียบ เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชา เป็นจุดหมายปลายทางที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศแถบอาเซียนก็ไม่ผิดนัก เพราะเมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งของมรดกโลกอย่าง “นครวัด” สิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสถานที่เดียวในอาเซียนที่เคยติด 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกมาแล้ว

นครวัด  1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ผู้หลงใหลในอารยธรรมยุคโบราณ เมืองเสียมราฐเปรียบดั่งสวรรค์แห่งการท่องเที่ยวเพราะโบราณสถานที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ราวปี พ.ศ.1656 ยังคงความงดงามอลังการในวันนี้ เฉิดฉายความรุ่งเรืองของอาณาจักรขอมในอดีตได้อย่างน่าทึ่ง ผสมผสานความเชื่อความศรัทธาตามคติของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ ปรากฏอยู่ในทุกรายละเอียดของการก่อสร้าง

ภายในพื้นที่เมืองมรดกโลกประกอบไปด้วยสถานที่ห้ามพลาดมากมาย ทั้งนครวัด นครธม ปราสาทตาพรหม ปราสาทบันทายศรี ปราสาทพนมบาเค็ง ฯลฯ ซึ่งเข้มขลังไปด้วยบรรยากาศและสถาปัตยกรรมในแบบที่มนุษย์ยุคปัจจุบันก็มิอาจสร้างสรรค์เลียนแบบได้ และอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 วัน ถึงจะพอเก็บภาพความยิ่งใหญ่เหล่านี้ได้ครบถ้วน

พระพักตร์แกะสลักที่ปราสาทบายน
ในปี พ.ศ. 2565 รัฐบาลกัมพูชายังปลุกกระแสการท่องเที่ยวครั้งใหญ่ หลังต้องซบเซาและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มานาน โดยจัดตั้งเมืองเสียมราฐเป็นเขตการท่องเที่ยวพิเศษ เพื่อชูความโดดเด่นในความเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นสถานที่ตั้งของปราสาทหินโบราณอารยธรรมที่คนจากทั่วโลกปักหมุดเดินทางมาเยือน

หมายเหตุ : *คนไทยไปเที่ยวกัมพูชาได้ 14 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า

บาหลี อินโดนีเซีย


เสน่ห์โดดเด่นที่สุดของ “บาหลี” ซึ่งนักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้จักกันดี มีทั้งความสวยงามของธรรมชาติทางทะเล ธรรมชาติของขุนเขา ทุ่งนาขั้นบันได และศิลปวัฒนธรรม ประเพณีที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดู แต่จุดเด่นที่บาหลีได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลก คือ “ภูมิทัศน์วัฒนธรรมเขตบาหลี : ระบบสุบัก (Subak) หลักการตามปรัชญาไตรหิตครณะ

ทุ่งนาขั้นบันได มรดกแห่งวัฒนธรรมที่บาหลี (เครดิตภาพ: Niklas Weiss)
ระบบสุบัก เป็นระบบชลประทานที่สืบทอดภูมิปัญญามาจากคนยุคโบราณ ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 13 ซึ่งไม่เพียงแค่เป็นมรดกด้านเทคโนโลยีทางการเกษตรเท่านั้น แต่ยังมีลักษณะเป็นสถาบันทางสังคมผนวกกับศาสนา ความเชื่อ วัฒนธรรม และการเมืองในท้องถิ่นอยู่ด้วย

ระบบดังกล่าวกำหนดขอบเขตคล้ายหมู่บ้าน และมีโดยมีทั้งพระราชวัง และวัดเป็นศูนย์กลางทำหน้าที่ควบคุมและบริหารจัดการการจ่ายน้ำ เพื่อใช้ในการเกษตร การอุปโภคบริโภค เป็นเครือข่ายที่ซับซ้อนในการส่งน้ำไปสู่นาขั้นบันไดชั้นบนสุดของเนินเขา ก่อนปล่อยให้ไหลลงสู่นาข้าวเบื้องล่างทำให้สามารถบริหารจัดการการใช้น้ำได้อย่างเพียงพอทั้งเกาะที่กินพื้นที่เกือบสองร้อยตารางกิโลเมตร ซึ่งหลักการของระบบสุบัก ก็คือปรัชญาไตรหิตครณะ หรือ หลักความสมดุลกลมกลืน 3 ประการที่สร้างความสงบสุขแก่ชีวิตของศาสนาฮินดู โดยความสมดุลทั้งสาม ได้แก่ มนุษย์ เทพเจ้า และธรรมชาตินั่นเอง

วัด Pura Ulun Danu Bratan ศาสนสถานแบบฮินดู (เครดิตภาพ: Guillaume Marques)
แต่นอกจากแหล่งท่องเที่ยวและองค์ความรู้เชิงมรดกทางวัฒนธรรมแล้ว สิ่งที่ทำให้ใครต่อใครหลงรักบาหลีก็ยังเป็นบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองท่องเที่ยวพักตากอากาศที่ครบครันทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก ที่พักรีสอร์ทหรูหรา แหล่งดำน้ำ จุดเล่นเซิร์ฟ ฯลฯ ที่ราคาเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว

หมายเหตุ : *คนไทยไปเที่ยวอินโดนีเซียได้ 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า


กำลังโหลดความคิดเห็น