สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ผ่านพ้นกาลเวลามาอย่างยาวน่น ก็มักจะผุพังและสลายไปตามกาลเวลา แต่ด้วยความสามารถของต้นไม้ที่มาอยู่ถูกตำแหน่ง ทำให้สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นยืนหยัดผ่านกาลเวลาได้ด้วยลำต้นและรากของต้นไม้ใหญ่ ที่นอกจากจะปกคลุมให้ความร่มรื่นแล้ว ยังช่วยยึดโครงสร้างบางส่วนให้ยังหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันได้
สิ่งก่อสร้างที่พูดถึงนี้ ส่วนใหญ่ที่ยังคงเห็นอยู่ก็คือ อุโบสถหลังเก่าของวัด บางแห่งอาจจะเป็นวัดร้างไปแล้ว บางแห่งก็หลงเหลือเพียงแต่ตัวโบสถ์ แต่บางแห่งก็ยังคงเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่
ขอรวบรวม “5 โบสถ์ต้นไม้ปกคลุม” ที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน มาให้ได้ยลความงามแปลกตากัน
วัดบางกุ้ง จ.สมุทรสงคราม
ที่ “วัดบางกุ้ง” แห่งนี้ นับว่าเป็นภาพที่เราคุ้นเคยกันดีกับ “โบสถ์ปรกโพธิ์” ที่มีความโดดเด่นไม่มีใครเหมือน ตัวโบสถ์ภายนอกถูกปกคลุมด้วยรากไม้ใหญ่ 4 ชนิด คือ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร และต้นกร่าง ส่วนภายในประดิษฐานหลวงพ่อนิลมณี และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามและเก่าแก่ แสดงเรื่องราวพุทธประวัติ เป็นภาพพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม และภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ในซุ้ม ขนาบข้างด้วยอัครสาวกนั่งพนมมือ นับเป็นความลงตัวที่แปลกตาน่ายลถือเป็นอันซีนไทยแลนด์อันโด่งดังแห่งเมืองแม่กลอง
“วัดบางกุ้ง” หรือที่คุ้นหูกันว่า “ค่ายบางกุ้ง” เดิมเคยเป็นค่ายทหารเรือ สมัยพระเจ้าเอกทัศน์แห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ ที่มีเรื่องราวของวีรกรรมชาวแม่กลอง ในช่วงปลายสมัยอยุธยาและตอนต้นกรุงธนบุรี ทหารไทย-จีน ซึ่งมีการจำลองกำแพงค่ายบางกุ้ง มีรูปปั้นแม่ไม้มวยไทย และยังเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชอีกด้วย
วัดเลขธรรมกิตติ์ จ.นครนายก
“วัดเลขธรรมกิตติ์” ตั้งอยู่ที่ อ.บ้านนา จ.นครนายก เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมมีชื่อว่า วัดบางอ้อนอก ว่ากันว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้เคยเสด็จทางชลมารคและขึ้นมาประทับเพื่อเสวยพระกระยาหารที่วัดแห่งนี้
สำหรับโบสถ์ของที่นี่ก็มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี ปัจจุบันหลงเหลือเพียงผนังบางส่วนและซุ้มประตูโบสถ์ที่ถูกปกคลุมด้วยรากและต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ ที่ช่วยยึดโครงสร้างผนังและให้ร่มเงาได้อย่างดี ผนังฝั่งหนึ่งหลงเหลือหน้าต่างสองบาน มีรากไม้ขนาดใหญ่เลื้อยคลุมโดยรอบ ทำให้เป็นความสวยงามแปลกตา จนเป็นไฮไลท์จุดถ่ายภาพของที่นี่ ส่วนอีกจุดก็คือซุ้มประตูเก่าที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นประตูแห่งกาลเวลา เมื่อเดินลอดซุ้มประตูเข้ามาก็คล้ายกับจะได้ย้อนกลับไปในยุคเก่า ด้านในโบสถ์เก่ามีศาลาเล็กๆ ประดิษฐานพระพุทธรูป
วัดไทร จ.สิงห์บุรี
“วัดไทร” ตั้งอยู่ที่ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เดิมชื่อว่า “วัดทะยาน” สันนิษฐานว่า “ทะยาน” เป็นการกร่อนมาจากคำว่า “ท้ายย่าน” มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าเคยมีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาพบวัดร้างแห่งนี้ เห็นว่าบริเวณโดยรอบมีต้นไทรขึ้นอยู่หนาแน่น จึงบอกให้ชาวบ้านเปลี่ยนชื่อเป็นวัดไทร
ความพิเศษของวัดนี้ก็คือ บริเวณโบสถ์จะมีรากต้นไทรยึดกำแพงโบสถ์ไว้โดยรอบ ส่วนอื่นๆ ของวัดอย่างพวกศาลาก็น่าจะพังทลายลงน้ำไปแล้ว ตัวโบสถ์เป็นโบสถ์เก่าที่ชาวบ้านเรียกว่าโบสถ์มหาอุด คือเป็นโบสถ์ที่มีประตูเข้าออกทางเดียว ภายในประดิษฐาน “หลวงพ่อขาว” หรือ “หลวงพ่อทะยาน” แต่ปัจจุบันเรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดไทร”
โบสถ์ที่เห็นในปัจจุบันนี้สามารถตั้งอยู่ได้ด้วยรากของต้นไทรที่พยุงไว้โดยรอบ หากเดินดูรอบๆ ก็จะเห็นว่ามีต้นไทรอยู่ที่มุมของโบสถ์ มีรากเลื้อยคลุมโบสถ์ไว้ทั้งสี่ด้าน ในอดีตเคยมีคนจะเข้ามาบูรณะหลังคาโบสถ์ แต่เมื่อลงมือทำก็มีฟ้าผ่า และมีคนฝันว่าองค์พระประธานที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์นั้นบอกไม่ให้สร้างหรือดัดแปลงใดๆ ตัวโบสถ์จึงมีลักษณะอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
วัดสังกระต่าย จ.อ่างทอง
“วัดสังกระต่าย” ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.อ่างทอง เดิมมีชื่อเรียกว่า วัดสามกระต่าย แต่ต่อมาเพี้ยงเสียงมาเป็น วัดสังกระต่าย วัดนี้มีอายุกว่า 400 ปี คาดว่าน่าจะถูกสร้างก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาและยังมีเรื่องเล่าอีกด้วยว่า เมื่อก่อนนั้นยังมีพระสงฆ์จำพรรษอยู่ที่นี่ แต่มักจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งในหมู่พระสงฆ์อยู่เสมอๆ ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าวัดนี้มีอาถรรพ์ จนกระทั่งในที่สุดก็กลายเป็นวัดร้าง ไม่มีพระสงฆ์มาจำพรรษาอยู่
ปัจจุบันหลงเหลือแค่เพียงตัวโบสถ์เท่านั้น ไม่ได้เป็นวัดและไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่แล้ว ตัวโบสถ์เก่าแก่มีต้นโพธิ์ ขนาดใหญ่ขึ้นปกคลุมรอบโบสถ์ 4 ต้น รวมถึงปกคลุมภายในโบสถ์ด้วย โดยภายในโบสถ์มีทั้งหมด 3 ห้อง ภายในห้องแรกมีพระบูชา คือ หลวงพ่อแก่น เมื่อเข้ามาในห้องใหญ่มีพระประธานองค์ใหญ่ 1 องค์ คือ หลวงพ่อวันดี และอีก 2 องค์มีขนาดเล็กลงมา คือ หลวงพ่อศรี และหลวงพ่อสุข ส่วนห้องสุดท้ายเป็นห้องว่าง ผนังโบสถ์ทรุดโทรมมากแล้วแต่ยังไม่พังทลายลงมาเนื่องจากมีรากต้นโพธิ์ค้ำอยู่ ส่วนหลังคาโบสถ์ก็ไม่มีแล้ว แต่ยังคงมีความร่มรื่นจากต้นโพธิ์ที่ปกคลุม
วัดสมเด็จ (เก่า) จ.กาญจนบุรี
“วัดสมเด็จ (เก่า)” อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ตั้งอยู่บนฝั่งไทยของสังขละบุรี แต่การเดินทางไปจะต้องนั่งเรือไป เป็นหนึ่งในเส้นทางการนั่งเรือชมเมืองบาดาลสังขละบุรี เมื่อนั่งเรือมาถึงฝั่งก็ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกประมาณ 300 เมตร
สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในบริเวณนี้คืออุโบสถหลังเล็กๆ ซึ่งเหลือเพียงผนังก่ออิฐถือปูนสี่ด้าน รอบๆ ตัวโบสถ์ก็ยังคงมีร่องรอยของลวดลายปูนปั้นให้เห็นอยู่บ้าง แต่ตัวโบสถ์นั้นถูกต้นไทรใหญ่ที่อยู่รอบๆ โอบล้อมไปส่วนหนึ่งแล้ว ด้วยความที่เป็นวัดร้างเนื่องจากการย้ายเมืองสังขละบุรี จึงทำให้ที่นี่ไม่ค่อยมีคนมาเยือนนัก ต้นไม้ต้นไทรต่างๆ จึงเลื้อยพันไปรอบโบสถ์อย่างอิสระ ให้อารมณ์วัดร้างลึกลับ แต่รู้สึกถึงความสงบนิ่งในจิตใจ
ด้านในยังมีพระประธานที่มีลักษณะคล้ายพระพุทธชินราช และตัวโบสถ์ยังคงมองเห็นลวดลายปูนปั้นประดับหน้าบันและตามซุ้มประตูหน้าต่างงดงามไม่น้อย
#########################################
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline