Youtube :Travel MGR
“มุมไบ” (Mumbai) เป็นอีกหนึ่งเมืองของอินเดียที่หลายๆ คนคุ้นหู บ้างก็รู้จักในชื่อ “บอมเบย์” ซึ่งก็เป็นชื่อเก่าของมุมไบนั่นเอง
มุมไบตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศอินเดีย เป็นเมืองหลวงของรัฐมหาราษฏระ เดิมเมืองนี้มีชื่อว่า “บอมเบย์” ด้วยความที่อยู่ติดชายฝั่งทะเลอาหรับจึงทำให้เป็นเมืองท่าที่สำคัญมาอย่างยาวนาน จนในปัจจุบันก็ยังนับว่าเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของอินเดีย เป็นที่ตั้งของตลาดหุ้นอินเดีย และเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมบันเทิงที่คนทั่วโลกรู้จักรู้จักกันในชื่อ “บอลลีวูด”
มาถึงมุมไบ ต้องไม่พลาดที่จะมาเยือน “ประตูสู่อินเดีย” (Gateway of India) สัญลักษณ์ของเมืองมุมไบ ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลอาหรับ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จมาเยือนเมืองมุมไบของพระเจ้าจอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี่ ในปี ค.ศ.1911
ประตูแห่งนี้มีความสูง 26 เมตร ก่อสร้างด้วยหินบะซอลต์ ด้วยสถาปัตยกรรมแบบอินเดีย-ซาราเซนิก สร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1924 กลายเป็นทางเข้าประเทศอินเดียหากเดินทางมาทางทะเลอาหรับ มหาสมุทรอินเดีย ความสำคัญของที่นี่อีกอย่างคือ เมื่ออินเดียได้รับเอกราช ทหารของอังกฤษหน่วยสุดท้ายได้เดินทางออกจากอินเดียที่ประตูนี้เมื่อ ค.ศ.1948 ปัจจุบันใช้เป็นสัญลักษณ์สำหรับพิธีต้อนรับรัฐมนตรีใหม่ของนครมุมไบ รวมถึงต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองด้วย
ใกล้ๆ กันนั้นมีโรงแรมที่ชื่อ “Taj Mahal Palace Hotel” สร้างเมื่อ พ.ศ. 2466 โดยทายาทตระกูลทาทา เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างฮินดูกับมุสลิม ใน พ.ศ.2551 โรงแรมได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ก่อการร้าย
บริเวณประตูสู่อินเดีย ยังเป็นท่าเรือโดยสารสำหรับเดินทางไปยัง “Elephanta Caves” อีกหนึ่งแหล่งมรดกโลกของอินเดีย
“Elephanta Caves” ตั้งอยู่บนเกาะเอเลแฟนต้า ห่างจากฝั่งราวสิบกิโลเมตร ใช้เวลานั่งเรือเกือบๆ 1 ชั่วโมง พอขึ้นมาถึงเกาะ ก็สามารถเดินเข้าไปด้านใน หรือจะซื้อตั๋วนั่งรถไฟรางก็ได้ พอมาถึงตีนเขา ก็ต้องเดินขึ้นบันไดไปด้านบน ผ่านร้านค้าสองข้างทางขึ้นไป ใครอยากแวะซื้ออะไรแนะนำให้เล็งไว้ก่อน เดี๋ยวขากลับค่อยลงมาซื้อ
ด้านบนเป็นถ้ำที่สร้างโดยการเจาะภูเขาหินเข้าไป มีทั้งหมด 7 ถ้ำ พุทธสถาน 2 ถ้ำ และเทวสถานในศาสนาฮินดู 5 ถ้ำ ด้านในมีการแกะสลักเป็นภาพเทพเจ้า ลักษณะศิลปะราวศตวรรษที่ 5-8 ส่วนถ้ำหลักที่เป็นไฮไลต์จะเป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดู
เดินเข้าไปด้านในถ้ำจะเย็นสบายกว่าอยู่ด้านนอก ไม่อับทึบ มีเสาค้ำยัน 24 ต้น จำหลักลวดลายหัวเสาอย่างสวยงาม มีคูหาประดิษฐานศิวลึงค์ อันเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะโดยมีทวารบาลจำหลักทั้ง 4 ด้านของผนังรวม 8 องค์
ภาพสลักด้านในที่สำคัญที่สุดคือ “มเหศวรมูรติ” เป็นการรวมภาคทั้งสามของพระศิวะเข้าไว้ด้วยกันในร่างเดียว (คนละอย่างกับพระตรีมูรติ ที่เป็นการรวมของพระพรหม พระศิวะ และพระวิษณุ) ได้แก่ ภาคผู้สร้าง (จันทรเศขรมูรติ) ภาคผู้ปกป้องรักษา (อุมาภควดี) และภาคผู้ทำลาย (ไภรวะมูรติ)
นอกจากนี้ ยังมีภาพแกะสลักเทพในศาสนาฮินดูที่น่าสนใจปรากฏภายในถ้ำอีก เช่น ภาพพิธีสยุมพรพระศิวะและพระนางปารตี, ภาพพระศิวะปราบอันธกาสูร, ภาพพระศิวะในภาคที่ครึ่งหนึ่งเป็นบุรุษครึ่งหนึ่งเป็นสตรี เป็นต้น
อย่างที่เล่าว่ามุมไบนั้นเป็นเมืองท่าที่สำคัญมาอย่างยาวนาน มีการค้าขายกับชนชาติต่างๆ อยู่เสมอ รวมไปถึงการที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เมืองนี้ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในด้านสถาปัตยกรรม
หากมาเดินอยู่ใจกลางเมืองมุมไบ ก็มักจะได้เห็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียและอาร์ตเดคโค ที่โดดเด่นมากก็คือ “Chhatrapati Shivaji Terminus” (สถานีฉัตรปตี ศิวาจี) หรือชื่อเดิมคือ “Victoria Terminus” เป็นสถานีรถไฟที่ก่อสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียโกธิคผสมผสานกับงานศิลปะแบบอินเดีย ที่สวยงามทรงคุณค่าจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก
ที่นี่เป็นสถานีรถไฟหลักของเมืองมุมไบ และเป็นสถานีรถไฟที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่นที่สุดในประเทศอินเดีย โดยใช้เป็นสถานีปลายทางสำหรับรถไฟทางไกล และรถไฟขนส่งในเขตปริมณฑลของมุมไบอีกด้วย และด้วยความสวยงามของตัวสถานี จึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมกันไม่ขาดสาย
ใกล้ๆ กันก็ยังมีตึกสวยๆ ให้ถ่ายรูปกันอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ตึกบริษัทเทศบาลมุมไบ อาคารที่ทำการรัฐบาล มหาวิทยาลัยมุมไบ อาคารร้านค้าต่างๆ และโบสถ์ในศาสนาคริสต์
ในด้านหนึ่ง มุมไบเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ มีการลงทุนธุรกิจการค้าต่างๆ มากมาย มีตึกรามบ้านช่องสวยงาม แต่ในอีกมุมหนึ่ง ที่มุมไบก็เป็นเมืองที่มีชุมชนแออัดขนาดใหญ่มาก (ว่ากันว่าเป็นชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย) ชื่อว่า “Dharavi” ถึงขนาดมีการจัดทัวร์เพื่อชมสลัม และที่นี่เองก็เป็นแรงบันดาลใจของภาพยนตร์เรื่อง Slumdog Millionaire ที่สะท้อนชีวิตคนในสลัมเมืองมุมไบได้อย่างชัดเจนจนหนังคว้ารางวัลออสการ์ใน พ.ศ. 2552
เมืองใหญ่เมืองนี้ มีผู้คนอาศัยอยู่มากมาย ทำให้มุมไบขึ้นชื่อเรื่องการจราจรที่หนาแน่นมากๆ มีการสำรวจเมืองที่รถติด ก็พบว่ามุมไบนั้นติดอันดับต้นๆ มาโดยตลอด หากใครมาเที่ยวที่มุมไบก็ต้องเผื่อเวลา (และเผื่อใจ) มาเผชิญกับรถติด (แบบติดอันดับโลก) ของเมืองนี้ ข้อดีก็คือการได้นั่งมองภาพของเมืองมุมไบอย่างเต็มอิ่ม รวมถึงภาพวิถีชีวิตผู้คนบนท้องถนนที่ชวนให้เพลินใจอยู่ไม่น้อย
และในเมืองที่มีผู้คนแออัดแบบนี้ ย่อมต้องก่อให้เกิดอาชีพเพื่อตอบสนองความต้องการผู้คนที่หลากหลาย อย่างอาชีพ “คนส่งปิ่นโต” หรือ “Dabbawala” ที่ทำธุรกิจนี้กันมานานกว่าร้อยปีแล้ว โดยดับบาลาวา เป็นชื่อเรียกผู้ทำหน้าที่จัดส่งอาหารกลางวันจากบ้าน ไปยังสถานที่ทำงานของลูกค้า ทุกเช้าจะเริ่มต้นจากการรวบรวมปิ่นโตจากบ้านลูกค้าไปยังจุดรวมพล เพื่อขนส่งไปยังสถานีรถไฟ ก่อนกระจายไปเขตต่างๆ ใช้วิธีการจำเพียงรหัส 4 ตัว ด้วยการจำแนก “ตัวอักษร ตัวเลข และสี” ได้แก่ ต้นทางของปิ่นโต สถานีรถไฟต้นทาง สถานีรถไฟปลายทาง และ สถานที่จัดส่งปิ่นโต
การจัดส่งปิ่นโตนี้จะต้องส่งให้ทันภายในเที่ยงวัน จากนั้นก็จะรับปิ่นโตที่ว่างเปล่า (ของวันก่อน) รวบรวมกลับไปส่งยังต้นทางในตอนบ่ายของวันเดียวกัน ความน่าทึ่งของระบบการส่งปิ่นโตนี้ คือแทบจะไม่มีความผิดพลาดในการขนส่งเลย มีการสำรวจว่าการขนส่งปิ่นโตนี้มีความแม่นยำถึงร้อยละ 99.99 เรียกว่าได้กินอาหารอร่อยฝีมือคนที่บ้าน และทันกินช่วงพักเที่ยงอย่างแน่นอน
อีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจในมุมไบก็คืออาชีพซักผ้า ที่ว่าน่าสนใจนั่นก็คือมีพื้นที่หนึ่งที่เป็นลานซักผ้าแบบเปิดโล่งที่ใหญ่ที่สุดในมุมไบ และใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ความสนใจ นั่นก็คือ “Dhobi Ghat”
คำว่า “Dhobi” หมายถึง ผู้ซัก อาชีพซักผ้านี้มีการรวมกลุ่มก่อตั้งมามากกว่า 140 ปีแล้ว แต่เดิมรับซักผ้าปูที่นอนจากโรงพยาบาล โรงแรมและบ้านเรือนเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ชาวอังกฤษ และชาวปาร์ซี (ชาวปาร์ซี (Parsis) สืบเชื้อสายมากจากชุมชนโซโลแอสเทรียนเปอร์เซียน ซึ่งอพยพมาจากตะวันออกกลางหรืออิหร่านในปัจจุบัน แต่เดิมชาวปาร์ซีตั้งถิ่นฐานอยู่ที่รัฐคุชราต ชาวปาร์ซีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมของอินเดีย อาทิ ตระกูลทาทา ตระกูลวาเดีย ตระกูลโกเดร็จรวมทั้งเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลทางด้านสังคม ศิลปะและวัฒนธรรม ตลอดจนการช่วยเหลือสังคมผ่านมูลนิธิต่าง ๆ)
พื้นที่ Dhobi Ghat ของมุมไบ (Mahalaxmi Dhobi Ghat) จะมีลานล้างน้ำที่สร้างด้วยคอนกรีตแบบเปิดโล่งจำนวนกว่า 700 บ่อ มีคนซักผ้าประมาณ 10,000 คนต่อวัน รับผ้ามาจากโรงแรม โรงพยาบาล ธุรกิจอื่นๆ รวมถึงคนทั่วไป นำมาซักด้วยมือ วิธีการซักคือการทุบเสื้อผ้าซ้ำ ๆ บนก้อนหินเพื่อสิ่งสกปรกออกจากเสื้อผ้า ล้างให้สะอาด ตากแดดจนแห้ง และส่งกลับไปยังเจ้าของ
หลายๆ ครอบครัวยึดอาชีพซักผ้าเป็นอาชีพหลัก และส่งต่อไปรุ่นสู่รุ่น หากมาเดินดูก็จะเห็นว่ามีคนซักผ้าหลากหลายช่วงวัย มีวิธีการตากผ้าและเก็บผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ ที่สำคัญคือมายืนดูการซักผ้าแบบทุบเสื้อ เอาเสื้อฟาดลงน้ำ แค่นี้ก็เพลินแล้ว
พาไปเที่ยวอีกที่ใกล้ๆ เมืองมุมไบ มากันที่อุทยานแห่งชาติสัญชัยคานธีร์ เป็นที่ตั้งของ “Kanheri Caves” (ถ้ำกัณเหรี) อยู่ห่างจากตัวเมืองมุมไบราว 30 กิโลเมตร
“Kanheri Caves” เป็นถ้ำที่เกิดจากการขุดเจาะหินเข้าไป และแกะสลักให้เป็นพุทธสถาน มีอายุระหว่าง พ.ศ.443 - พ.ศ.1543 ถ้ำต่างๆ ตั้งอยู่ตามไหล่เขา โดยมีทั้งหมด 109 ถ้ำ ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดด้านในมีสถูปองค์ใหญ่ มีพื้นที่ให้เข้าไปนั่งวิปัสสนาและเทศนาธรรม มีภาพแกะสลักพระพุทธรูปอย่างงดงาม
ส่วนถ้ำอื่นๆ หากอยากเดินไปชมก็จะอยู่ตามไหล่เขา สามารถเดินขึ้นไปจนถึงด้านบนได้ แต่ละถ้ำขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน สันนิษฐานว่าใช้เป็นกุฏิของพระสงฆ์ และหากมองออกไปรอบๆ ก็จะเห็นความเขียวชอุ่มของป่าไม้ที่อยู่รอบๆ ได้สูดอากาศสดชื่นจากป่ากลางเมืองที่ถือว่าเป็นปอดของเมืองมุมไบ
ที่ “มุมไบ”เมืองเดียว ก็มีหลายมุมให้เข้าไปสัมผัส ใครอยากจะมาเยือนด้วยตัวเองต้องบอกว่าเดินทางสะดวกมากๆ เพราะสามารถบินตรงจากกรุงเทพฯ มายังสนามบินนานาชาติฉัตรปาตี ศิวะจี มหาราช ได้เลย อย่างสายการบินไทยสมายล์ ก็มีเที่ยวบินตรงมามุมไบทุกวัน
* * * * * * * * * * * * * *
สายการบิน “ไทยสมายล์” มีบริการเที่ยวบินตรงทุกวัน “กรุงเทพฯ-มุมไบ” เที่ยวบิน WE335 เวลา 22.20-01.35 น. “มุมไบ-กรุงเทพฯ” เที่ยวบิน WE336 เวลา 02.40-08.25 น. ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่โทร. 1181 หรือที่โทร. 0-2118-8888 หรือเว็บไซต์ https://www.thaismileair.com/th
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Travel MGR
“มุมไบ” (Mumbai) เป็นอีกหนึ่งเมืองของอินเดียที่หลายๆ คนคุ้นหู บ้างก็รู้จักในชื่อ “บอมเบย์” ซึ่งก็เป็นชื่อเก่าของมุมไบนั่นเอง
มุมไบตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศอินเดีย เป็นเมืองหลวงของรัฐมหาราษฏระ เดิมเมืองนี้มีชื่อว่า “บอมเบย์” ด้วยความที่อยู่ติดชายฝั่งทะเลอาหรับจึงทำให้เป็นเมืองท่าที่สำคัญมาอย่างยาวนาน จนในปัจจุบันก็ยังนับว่าเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของอินเดีย เป็นที่ตั้งของตลาดหุ้นอินเดีย และเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมบันเทิงที่คนทั่วโลกรู้จักรู้จักกันในชื่อ “บอลลีวูด”
มาถึงมุมไบ ต้องไม่พลาดที่จะมาเยือน “ประตูสู่อินเดีย” (Gateway of India) สัญลักษณ์ของเมืองมุมไบ ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลอาหรับ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จมาเยือนเมืองมุมไบของพระเจ้าจอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี่ ในปี ค.ศ.1911
ประตูแห่งนี้มีความสูง 26 เมตร ก่อสร้างด้วยหินบะซอลต์ ด้วยสถาปัตยกรรมแบบอินเดีย-ซาราเซนิก สร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1924 กลายเป็นทางเข้าประเทศอินเดียหากเดินทางมาทางทะเลอาหรับ มหาสมุทรอินเดีย ความสำคัญของที่นี่อีกอย่างคือ เมื่ออินเดียได้รับเอกราช ทหารของอังกฤษหน่วยสุดท้ายได้เดินทางออกจากอินเดียที่ประตูนี้เมื่อ ค.ศ.1948 ปัจจุบันใช้เป็นสัญลักษณ์สำหรับพิธีต้อนรับรัฐมนตรีใหม่ของนครมุมไบ รวมถึงต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองด้วย
ใกล้ๆ กันนั้นมีโรงแรมที่ชื่อ “Taj Mahal Palace Hotel” สร้างเมื่อ พ.ศ. 2466 โดยทายาทตระกูลทาทา เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างฮินดูกับมุสลิม ใน พ.ศ.2551 โรงแรมได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ก่อการร้าย
บริเวณประตูสู่อินเดีย ยังเป็นท่าเรือโดยสารสำหรับเดินทางไปยัง “Elephanta Caves” อีกหนึ่งแหล่งมรดกโลกของอินเดีย
“Elephanta Caves” ตั้งอยู่บนเกาะเอเลแฟนต้า ห่างจากฝั่งราวสิบกิโลเมตร ใช้เวลานั่งเรือเกือบๆ 1 ชั่วโมง พอขึ้นมาถึงเกาะ ก็สามารถเดินเข้าไปด้านใน หรือจะซื้อตั๋วนั่งรถไฟรางก็ได้ พอมาถึงตีนเขา ก็ต้องเดินขึ้นบันไดไปด้านบน ผ่านร้านค้าสองข้างทางขึ้นไป ใครอยากแวะซื้ออะไรแนะนำให้เล็งไว้ก่อน เดี๋ยวขากลับค่อยลงมาซื้อ
ด้านบนเป็นถ้ำที่สร้างโดยการเจาะภูเขาหินเข้าไป มีทั้งหมด 7 ถ้ำ พุทธสถาน 2 ถ้ำ และเทวสถานในศาสนาฮินดู 5 ถ้ำ ด้านในมีการแกะสลักเป็นภาพเทพเจ้า ลักษณะศิลปะราวศตวรรษที่ 5-8 ส่วนถ้ำหลักที่เป็นไฮไลต์จะเป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดู
เดินเข้าไปด้านในถ้ำจะเย็นสบายกว่าอยู่ด้านนอก ไม่อับทึบ มีเสาค้ำยัน 24 ต้น จำหลักลวดลายหัวเสาอย่างสวยงาม มีคูหาประดิษฐานศิวลึงค์ อันเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะโดยมีทวารบาลจำหลักทั้ง 4 ด้านของผนังรวม 8 องค์
ภาพสลักด้านในที่สำคัญที่สุดคือ “มเหศวรมูรติ” เป็นการรวมภาคทั้งสามของพระศิวะเข้าไว้ด้วยกันในร่างเดียว (คนละอย่างกับพระตรีมูรติ ที่เป็นการรวมของพระพรหม พระศิวะ และพระวิษณุ) ได้แก่ ภาคผู้สร้าง (จันทรเศขรมูรติ) ภาคผู้ปกป้องรักษา (อุมาภควดี) และภาคผู้ทำลาย (ไภรวะมูรติ)
นอกจากนี้ ยังมีภาพแกะสลักเทพในศาสนาฮินดูที่น่าสนใจปรากฏภายในถ้ำอีก เช่น ภาพพิธีสยุมพรพระศิวะและพระนางปารตี, ภาพพระศิวะปราบอันธกาสูร, ภาพพระศิวะในภาคที่ครึ่งหนึ่งเป็นบุรุษครึ่งหนึ่งเป็นสตรี เป็นต้น
อย่างที่เล่าว่ามุมไบนั้นเป็นเมืองท่าที่สำคัญมาอย่างยาวนาน มีการค้าขายกับชนชาติต่างๆ อยู่เสมอ รวมไปถึงการที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เมืองนี้ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในด้านสถาปัตยกรรม
หากมาเดินอยู่ใจกลางเมืองมุมไบ ก็มักจะได้เห็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียและอาร์ตเดคโค ที่โดดเด่นมากก็คือ “Chhatrapati Shivaji Terminus” (สถานีฉัตรปตี ศิวาจี) หรือชื่อเดิมคือ “Victoria Terminus” เป็นสถานีรถไฟที่ก่อสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียโกธิคผสมผสานกับงานศิลปะแบบอินเดีย ที่สวยงามทรงคุณค่าจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก
ที่นี่เป็นสถานีรถไฟหลักของเมืองมุมไบ และเป็นสถานีรถไฟที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่นที่สุดในประเทศอินเดีย โดยใช้เป็นสถานีปลายทางสำหรับรถไฟทางไกล และรถไฟขนส่งในเขตปริมณฑลของมุมไบอีกด้วย และด้วยความสวยงามของตัวสถานี จึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมกันไม่ขาดสาย
ใกล้ๆ กันก็ยังมีตึกสวยๆ ให้ถ่ายรูปกันอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ตึกบริษัทเทศบาลมุมไบ อาคารที่ทำการรัฐบาล มหาวิทยาลัยมุมไบ อาคารร้านค้าต่างๆ และโบสถ์ในศาสนาคริสต์
ในด้านหนึ่ง มุมไบเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ มีการลงทุนธุรกิจการค้าต่างๆ มากมาย มีตึกรามบ้านช่องสวยงาม แต่ในอีกมุมหนึ่ง ที่มุมไบก็เป็นเมืองที่มีชุมชนแออัดขนาดใหญ่มาก (ว่ากันว่าเป็นชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย) ชื่อว่า “Dharavi” ถึงขนาดมีการจัดทัวร์เพื่อชมสลัม และที่นี่เองก็เป็นแรงบันดาลใจของภาพยนตร์เรื่อง Slumdog Millionaire ที่สะท้อนชีวิตคนในสลัมเมืองมุมไบได้อย่างชัดเจนจนหนังคว้ารางวัลออสการ์ใน พ.ศ. 2552
เมืองใหญ่เมืองนี้ มีผู้คนอาศัยอยู่มากมาย ทำให้มุมไบขึ้นชื่อเรื่องการจราจรที่หนาแน่นมากๆ มีการสำรวจเมืองที่รถติด ก็พบว่ามุมไบนั้นติดอันดับต้นๆ มาโดยตลอด หากใครมาเที่ยวที่มุมไบก็ต้องเผื่อเวลา (และเผื่อใจ) มาเผชิญกับรถติด (แบบติดอันดับโลก) ของเมืองนี้ ข้อดีก็คือการได้นั่งมองภาพของเมืองมุมไบอย่างเต็มอิ่ม รวมถึงภาพวิถีชีวิตผู้คนบนท้องถนนที่ชวนให้เพลินใจอยู่ไม่น้อย
และในเมืองที่มีผู้คนแออัดแบบนี้ ย่อมต้องก่อให้เกิดอาชีพเพื่อตอบสนองความต้องการผู้คนที่หลากหลาย อย่างอาชีพ “คนส่งปิ่นโต” หรือ “Dabbawala” ที่ทำธุรกิจนี้กันมานานกว่าร้อยปีแล้ว โดยดับบาลาวา เป็นชื่อเรียกผู้ทำหน้าที่จัดส่งอาหารกลางวันจากบ้าน ไปยังสถานที่ทำงานของลูกค้า ทุกเช้าจะเริ่มต้นจากการรวบรวมปิ่นโตจากบ้านลูกค้าไปยังจุดรวมพล เพื่อขนส่งไปยังสถานีรถไฟ ก่อนกระจายไปเขตต่างๆ ใช้วิธีการจำเพียงรหัส 4 ตัว ด้วยการจำแนก “ตัวอักษร ตัวเลข และสี” ได้แก่ ต้นทางของปิ่นโต สถานีรถไฟต้นทาง สถานีรถไฟปลายทาง และ สถานที่จัดส่งปิ่นโต
การจัดส่งปิ่นโตนี้จะต้องส่งให้ทันภายในเที่ยงวัน จากนั้นก็จะรับปิ่นโตที่ว่างเปล่า (ของวันก่อน) รวบรวมกลับไปส่งยังต้นทางในตอนบ่ายของวันเดียวกัน ความน่าทึ่งของระบบการส่งปิ่นโตนี้ คือแทบจะไม่มีความผิดพลาดในการขนส่งเลย มีการสำรวจว่าการขนส่งปิ่นโตนี้มีความแม่นยำถึงร้อยละ 99.99 เรียกว่าได้กินอาหารอร่อยฝีมือคนที่บ้าน และทันกินช่วงพักเที่ยงอย่างแน่นอน
อีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจในมุมไบก็คืออาชีพซักผ้า ที่ว่าน่าสนใจนั่นก็คือมีพื้นที่หนึ่งที่เป็นลานซักผ้าแบบเปิดโล่งที่ใหญ่ที่สุดในมุมไบ และใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ความสนใจ นั่นก็คือ “Dhobi Ghat”
คำว่า “Dhobi” หมายถึง ผู้ซัก อาชีพซักผ้านี้มีการรวมกลุ่มก่อตั้งมามากกว่า 140 ปีแล้ว แต่เดิมรับซักผ้าปูที่นอนจากโรงพยาบาล โรงแรมและบ้านเรือนเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ชาวอังกฤษ และชาวปาร์ซี (ชาวปาร์ซี (Parsis) สืบเชื้อสายมากจากชุมชนโซโลแอสเทรียนเปอร์เซียน ซึ่งอพยพมาจากตะวันออกกลางหรืออิหร่านในปัจจุบัน แต่เดิมชาวปาร์ซีตั้งถิ่นฐานอยู่ที่รัฐคุชราต ชาวปาร์ซีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมของอินเดีย อาทิ ตระกูลทาทา ตระกูลวาเดีย ตระกูลโกเดร็จรวมทั้งเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลทางด้านสังคม ศิลปะและวัฒนธรรม ตลอดจนการช่วยเหลือสังคมผ่านมูลนิธิต่าง ๆ)
พื้นที่ Dhobi Ghat ของมุมไบ (Mahalaxmi Dhobi Ghat) จะมีลานล้างน้ำที่สร้างด้วยคอนกรีตแบบเปิดโล่งจำนวนกว่า 700 บ่อ มีคนซักผ้าประมาณ 10,000 คนต่อวัน รับผ้ามาจากโรงแรม โรงพยาบาล ธุรกิจอื่นๆ รวมถึงคนทั่วไป นำมาซักด้วยมือ วิธีการซักคือการทุบเสื้อผ้าซ้ำ ๆ บนก้อนหินเพื่อสิ่งสกปรกออกจากเสื้อผ้า ล้างให้สะอาด ตากแดดจนแห้ง และส่งกลับไปยังเจ้าของ
หลายๆ ครอบครัวยึดอาชีพซักผ้าเป็นอาชีพหลัก และส่งต่อไปรุ่นสู่รุ่น หากมาเดินดูก็จะเห็นว่ามีคนซักผ้าหลากหลายช่วงวัย มีวิธีการตากผ้าและเก็บผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ ที่สำคัญคือมายืนดูการซักผ้าแบบทุบเสื้อ เอาเสื้อฟาดลงน้ำ แค่นี้ก็เพลินแล้ว
พาไปเที่ยวอีกที่ใกล้ๆ เมืองมุมไบ มากันที่อุทยานแห่งชาติสัญชัยคานธีร์ เป็นที่ตั้งของ “Kanheri Caves” (ถ้ำกัณเหรี) อยู่ห่างจากตัวเมืองมุมไบราว 30 กิโลเมตร
“Kanheri Caves” เป็นถ้ำที่เกิดจากการขุดเจาะหินเข้าไป และแกะสลักให้เป็นพุทธสถาน มีอายุระหว่าง พ.ศ.443 - พ.ศ.1543 ถ้ำต่างๆ ตั้งอยู่ตามไหล่เขา โดยมีทั้งหมด 109 ถ้ำ ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดด้านในมีสถูปองค์ใหญ่ มีพื้นที่ให้เข้าไปนั่งวิปัสสนาและเทศนาธรรม มีภาพแกะสลักพระพุทธรูปอย่างงดงาม
ส่วนถ้ำอื่นๆ หากอยากเดินไปชมก็จะอยู่ตามไหล่เขา สามารถเดินขึ้นไปจนถึงด้านบนได้ แต่ละถ้ำขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน สันนิษฐานว่าใช้เป็นกุฏิของพระสงฆ์ และหากมองออกไปรอบๆ ก็จะเห็นความเขียวชอุ่มของป่าไม้ที่อยู่รอบๆ ได้สูดอากาศสดชื่นจากป่ากลางเมืองที่ถือว่าเป็นปอดของเมืองมุมไบ
ที่ “มุมไบ”เมืองเดียว ก็มีหลายมุมให้เข้าไปสัมผัส ใครอยากจะมาเยือนด้วยตัวเองต้องบอกว่าเดินทางสะดวกมากๆ เพราะสามารถบินตรงจากกรุงเทพฯ มายังสนามบินนานาชาติฉัตรปาตี ศิวะจี มหาราช ได้เลย อย่างสายการบินไทยสมายล์ ก็มีเที่ยวบินตรงมามุมไบทุกวัน
* * * * * * * * * * * * * *
สายการบิน “ไทยสมายล์” มีบริการเที่ยวบินตรงทุกวัน “กรุงเทพฯ-มุมไบ” เที่ยวบิน WE335 เวลา 22.20-01.35 น. “มุมไบ-กรุงเทพฯ” เที่ยวบิน WE336 เวลา 02.40-08.25 น. ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่โทร. 1181 หรือที่โทร. 0-2118-8888 หรือเว็บไซต์ https://www.thaismileair.com/th
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Travel MGR