"นายกรัฐมนตรี"เซอร์ไพรส์ลงพื้นที่“ชุมชนบ้านบุ”ไม่นัดหมายล่วงหน้า ขอคนไทยเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ไม่ใช่รู้แบบงูๆ ปลาๆ แล้วให้คนมาบิดเบือน
วันนี้ (22พ.ย.) เมื่อเวลา 12.00 น. ที่ชุมชนบ้านบุ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมด้วยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “ชุมชนบ้านบุ” ดูงานหัตถกรรม “ขันลงหินบ้านบุ” มรดกทางปัญญาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งควรอนุรักษ์ไว้ กับ ”ตลาดไร้คาน” ซึ่งเป็นการลงพื้นที่ โดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า โดยจุดแรกคือวัดสุวรรณาราม มีนักเรียนจากโรงเรียนสุวรรณารามมารอให้การต้อนรับ ซึ่งทันทีที่นายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้พูดคุยทักทายกับคณะนักเรียน ก่อนจะถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกโดยได้เรียกนายจักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เขตบางกอกน้อย มาถ่ายรูป พร้อมกล่าวว่า รักส.ส.ต้องรักนายกฯ ด้วย นายกฯก็ต้องรักษาส.ส. นายกฯ ไม่ได้มีอะไรกับใครอยู่แล้ว จากนั้นนักเรียน ได้กล่าวให้การต้อนรับพร้อมแนะนำสถานที่สำคัญของพื้นที่ในเขตชุมชนบ้านบุ นายกรัฐมนตรีจึงกล่าวว่าหลายอย่างเป็นสิ่งดีๆที่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นวัฒนธรรมอัตลักษณ์ของความเป็นไทย ซึ่งจะหายไปไม่ได้ เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเราสร้างกันมา
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เข้าสักการะหลวงพ่อพระศาสดาพระประธานในพระอุโบสถ รวมทั้งได้กราบนมัสการพระเทพสุวรรณเมธี เจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม ซึ่งได้มอบพระพุทธรูปจำลองหลวงพ่อพระศาสดา ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว ก่อนนายกฯจะสนทนาธรรมตอนหนึ่งว่า คนไทยจะต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ไม่ใช่รู้แบบงูๆปลาๆแล้วมีคนมาบิดเบือนได้ เพื่อที่จะได้รักษารากเหง้าและวัฒนธรรมของประเทศไว้ ช่วงหนึ่งเจ้าอาวาสกล่าวว่า คนที่จะต้องเข้าเกณฑ์ทหารใหม่มักจะมาบนที่วัดแห่งนี้ เพราะมีความเชื่อว่ามาบนที่นี่แล้วจะไม่ถูกทหาร พล.อ.ประยุทธ์ จึงกล่าวว่า การเกณฑ์ทหาร มีความสำคัญ เป็นผู้ที่ช่วยเหลือสังคม และมีการสร้างความเป็นธรรมให้กับคนทุกคน คนที่เรียนหนังสือสูงๆก็มีกฎเกณฑ์ผ่อนผัน จะสมัครเป็นทหารก็ได้ หรือจะมีการผ่อนผันก็ได้ ตรงนี้เรามีความเป็นธรรมให้อยู่แล้ว แล้วจะไม่ให้มีทหาร พอถึงเวลาแล้วจะไปเกณฑ์มามันไม่ได้ เพราะออกรบไม่ได้ จำเป็นต้องผ่านการฝึก กองหนุนต่างๆต้องมี จึงถือว่าวันนี้ทหารยังมีความจำเป็น ไม่เชื่อให้ถามร พล.อ.อนุพงษ์ได้ ตนก็มีความกังวลตรงนี้ เป็นเรื่องการสร้างความเท่าเทียม ไม่ใช่ว่าคนรวยจะไม่ต้องไปเป็น มันไม่ใช่ หลักเกณฑ์เขามีอยู่แล้ว การเตรียมกำลังที่สำคัญในการฝึกการเตรียมกำลังช่วงที่ไม่มีภาวะสงคราม เราก็มีขั้นตอนและความพร้อม แบ่งเป็นการเตรียมกำลังกับการใช้กำลัง มีทั้งกองเกินกองหนุน ถ้าไม่ให้เป็นทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้
จากนั้นเจ้าอาวาสได้มอบหนังสือในเรื่องความต้องการของประชาชนในพื้นที่ให้กับนายกฯ ด้วย
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก่อนจะให้อาหารปลาที่บริเวณท่าน้ำร่วมกับนักเรียน และเดินไปทักทายเจ้าหน้าที่ ทำความสะอาดกรุงเทพฯ เป็นอย่างไรกันบ้างลำบากกันไหมก่อนจะถ่ายภาพร่วมกัน โดยเจ้าหน้าที่กทม.ได้เข้ามาสวมกอดนายกฯ พร้อมบอกว่า "ท่านเป็นตัวอย่างในการทำงานของหนูเลยค่ะ" ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะหันไปถามเด็กว่า รู้จักไหมว่าใคร ซึ่งเด็กตอบว่ารู้จัก นายกรัฐมนตรี จึงบอกว่าให้ตั้งใจเรียน ขณะเดียวกันนายกฯ ได้สอบถามกับนักเรียนในชุมชนว่าในชุมชนดังกล่าวด้วยว่า ในชุมชนมีผู้นับถือศาสนาใดบ้าง พร้อมระบุว่าทุกศาสนาเป็นการสร้างความปรองดองให้กับคนในชาติ จากนั้นได้มีกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนรอต้อนรับนายกฯ โดยนายกฯ ได้สวมกอดและถ่ายรูปร่วมกันอย่างอารมณ์ดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยตอนหนึ่งนายกฯได้เข้าไปพูดคุยกับบรรดาแม่ค้าที่นำขนมไทยโบราณในชุมชนมามอบให้ โดยพูดไปพร้อมจับที่ข้อมือแม่ค้าคนหนึ่งซึ่งใส่กำไลทองพร้อมเอามือแม่ค้ารูปที่ท้องนายกฯแล้วถามว่า เศรษฐกิจพอยังได้อยู่ไหม มีทองใสอยู่แสดงว่าเศรษฐกิจยังพอได้นะ ช่วยๆรัฐบาลอธิบายเดี๋ยวมันก็ได้เองแหละ ขณะเดียวกันยังเดินเข้าไปทักทายผู้สูงอายุถึงในบ้าน ซึ่งนายกฯ ได้ สอบถามเรื่องสุขภาพพร้อมอวยพรขอให้อายุยืน
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมโรงงานขันลงหินบ้านบุซึ่งเป็นมรดกทางปัญญาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน โดยปัจจุบัน นางเมตตา เสลานนท์ ทายาทรุ่นที่6 เป็นผู้สืบทอดงานหัตถกรรมขันลงหิน ซึ่งนางเมตตาได้มอบขันลงหินขนาด 6 นิ้วราคาไม่เกิน 3,000 บาทให้นายกรัฐมนตรีเป็นที่ระลึกขณะที่นายกรัฐมนตรีได้ซื้อขันลงหินจำนวน 1 ชุดราคา 16,000 บาท
โอกาสนี้นายกฯ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับช่างตีขันหิน ซึ่งทำกับภรรยาก็ว่า 46 ปีแล้ว ว่าให้สืบทอดภูมิปัญญาไม่ให้สูญหายพร้อมบอกให้นางเมตตาดูแลช่างให้ดีที่สุด
อย่างไรก็ตามการลงพื้นที่ในครั้งนี้ถือเป็นการลงพื้นที่โดยไม่ได้มีการแจ้งล่วงหน้ารู้ข่าวทราบข่าวจากการโพสต์ เฟซบุ๊กส่วนตัว ของนายกรัฐมนตรี เพียง 30 นาทีเท่านั้นเนื่องจากนายกฯ อยากเห็นสภาพจริงของชุมนโดยไม่มีการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า แม้กระทั่งตำรวจในพื้นที่บางส่วนก็ทราบว่านายกจะมีการลงพื้นที่ ทราบหลังจากที่นายกรัฐมนตรีเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลแล้ว
ทั้งนี้สาเหตุการลงพื้นที่ของนายกฯ ในครั้งนี้เนื่องจากมีการรายงานให้รับทราบว่าชุมชนดังกล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เริ่มซบเซามีเพียงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบางส่วนเท่านั้นที่ยังเดินทางมาท่องเที่ยวอยู่จึงอยากให้นายกฯ เข้ามากระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าว