xs
xsm
sm
md
lg

“ภูเขาไฟฟูจิ” มีไว้ชม หรือมีไว้ปีน??

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

Facebook : Travel @ Manager
ภูเขาไฟฟูจิในฤดูร้อนเมื่อหิมะละลายจนหมด ก็ถึงฤดูปีนฟูจิกันแล้ว
“ภูเขาไฟฟูจิ” เปรียบดังสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น ภูเขาลูกนี้ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างจังหวัดชิซุโอะกะ และ จังหวัดยามานาชิ ทางตะวันตกของกรุงโตเกียว และยังเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศ มีความสูงราว 3,776 เมตร เป็นหนึ่งในทัศนียภาพที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมรดกโลกทางวัฒนธรรมอีกด้วย

ด้วยรูปทรงสมมาตรที่มองดูแล้วสงบงามลึกซึ้ง ให้ความรู้สึกมั่นคงไม่หวั่นไหว แต่แท้จริงแล้วภายในภูเขาไฟฟูจิยังคงคุกกรุ่นและอาจมีวันใดที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง (มีโอกาสปะทุในระดับต่ำ) ไม่ว่าอย่างไรภูเขาไฟฟูจิก็ยังคงสวยงามในทุกๆ ฤดู และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่อยากจะไปเยือนสักครั้ง รวมไปถึง “ตะลอนเที่ยว” เองก็เช่นกัน
ความงามของภูเขาไฟฟูจิในฤดูหนาว
แต่ไม่ได้ตั้งใจจะไปเยี่ยมเยือนธรรมดา เพราะเราตั้งใจว่าจะไป “ปีน” ให้ถึงปากปล่องภูเขาไฟกันเลย

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเราสามารถปีนขึ้นไปจนถึงปากปล่องภูเขาไฟฟูจิได้เลย เพราะปกติแล้วจะเห็นภาพวิวสวยๆ ของการชมฟูจิจากระยะไกลๆ ซึ่งการจะปีนไปยังยอดภูเขาไฟฟูจินั้นทำได้เฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้นคือช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เมื่อหิมะบนยอดเขาละลายจนหมดจนดูเหมือนฟูจิหัวโล้นนั่นแหละ แสดงว่าถึงเวลาสำหรับฤดูกาลปีนภูเขาไฟฟูจิกันแล้ว
บริเวณภูเขาไฟฟูจิชั้นที่ 5 เต็มไปด้วยร้านค้าร้านขายของและนักปีนเขา
สำหรับคนญี่ปุ่นที่ถือว่าตนเป็นลูกหลานพระอาทิตย์ หากมีโอกาสแล้วพวกเขาจะมาเดินขึ้นยอดภูเขาไฟฟูจิให้ได้สักครั้งในชีวิต และการได้มาชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าบนภูเขาหรือที่เรียกว่า “โกไรโคะ” (Goraiko) โดยเฉพาะบนภูเขาไฟฟูจินั้นเป็นเรื่องที่ฟินมากทีเดียว อีกทั้งความเชื่อดั้งเดิมที่เชื่อว่าภูเขาไฟฟูจิทั้งลูกคือเทพเจ้า ผู้คนจึงนิยมเดินทางไปแสวงบุญที่ภูเขาไฟตั้งแต่โบราณ แถมเมื่อก่อนนี้ยังห้ามผู้หญิงเดินขึ้นด้วย แต่ตอนนี้ความเชื่อนั้นล้มเลิกไปแล้ว

เตรียมตัว/เตรียมอุปกรณ์ปีนเขา

การปีนภูเขาไฟฟูจินั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ที่ว่าง่ายเพราะเราไม่ต้องเดินจากตีนเขา รถยนต์สามารถขึ้นไปได้ถึงชั้นที่ 5 ซึ่งก็คือครึ่งทางแล้ว (บนยอดคือชั้นที่ 10) แถมเด็กประถมตัวเล็กๆ ที่พ่อแม่ชาวญี่ปุ่นเขาพาไปก็ยังเดินกันสบายๆ ตัวปลิว คนสูงอายุก็ไปเดินกันเยอะแยะแรงดีกว่าหนุ่มๆ สาวๆ เสียอีก แถมเส้นทางเดินก็ทำไว้อย่างดี ไม่มีจุดล่อแหลมหวาดเสียวหรือต้องปีนป่ายจนเกินกำลัง
ศาลเจ้าโคมิตาเคะ ที่บริเวณชั้น 5
แต่ที่ว่ายากก็เพราะระดับความสูงที่เกิน 2,500 เมตร อาจทำให้เกิดอาการ “แพ้ความสูง” หรือ Altitude Sickness โดยในที่สูงๆ ออกซิเจนจะเบาบาง ทำให้บางคนเกิดอาการหายใจไม่อิ่ม ปวดหัว เหนื่อยหอบ หน้ามืดวิงเวียน ซึ่งก็อาจแก้ได้ด้วยการกินยาไว้ล่วงหน้าก่อนเดินทาง หรือถ้าไปแล้วเกิดอาการขึ้นมาทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือไม่ควรไปต่อ การออกกำลังกายให้พร้อมก่อนปีนและการปรับสภาพร่างกายก่อนเดินขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ และควรซื้อออกซิเจนกระป๋องติดตัวไว้ เมื่อรู้สึกว่าหายใจไม่ทันก็เอาออกมาสูดเสียหน่อยก็จะช่วยได้

การปีนส่วนใหญ่แล้วนิยมไปปีนตอนสายๆ เดินเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบพอตอนเย็นก็นอนค้างที่พักบนเขา (Mountain Hut) หนึ่งคืน จากนั้นปีนต่อตอนดึกเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าแล้วค่อยเดินลง แต่พวกขาแรงบางคนเขาเดินกันรวดเดียวโดยไม่พัก ออกเดินทางตอนเย็นไปถึงยอดเขาตอนเช้า ดูพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จแล้วก็เดินลง พวกนี้จะใช้เวลาเดินขึ้นราว 6 ชั่วโมง และเดินลง 4 ชั่วโมง แต่สำหรับเราที่จัดอยู่ในพวกขาอ่อนขอเลือกเดินแบบแรกดีกว่า
ในบางช่วงของเส้นทางมีบริการม้ารับส่งคนที่เดินไม่ไหวแล้ว
ก่อนไปควรเตรียมร่างกายเสียหน่อย ซึ่งก็แล้วแต่ความถนัดว่าชอบออกกำลังแบบไหน แต่ควรเน้นไปที่ขาให้อึดต่อการเดิน ฝึกเดินขึ้นลงบันไดเยอะๆ หน่อยก็ดี จากประสบการณ์ที่ผ่านมา “ตะลอนเที่ยว” ขอบอกว่า การเดินขึ้นคือความเหนื่อย แต่การเดินลงคือความทรมาน ดังนั้นบริหารต้นขาและน่องไว้เยอะๆ หน่อยก็จะดี

ส่วนการเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์ปีนเขาก็เป็นสิ่งสำคัญ แม้จะเป็นฤดูร้อนแต่ด้วยความสูงทำให้อากาศบนเขาหนาวเย็นและแปรปรวน อากาศตอนเช้าบนยอดเขาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นอาจลดต่ำได้ถึง 0 องศา อาจเจอหมอกและฝนได้ตลอดเวลา ส่วนลมนั้นพัดแรงแทบตลอดวัน ดังนั้นเครื่องแต่งกายที่ควรเตรียมไปจึงอาจต้องมีหลายเลเยอร์สักหน่อย ขอแนะนำให้ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวที่ระบายอากาศได้ดีเป็นชั้นแรก เพราะขณะกำลังเดินแม้อากาศจะเย็นแต่ความร้อนจากร่างกายก็จะทำให้เราเหงื่อแตกพลั่กๆ และเสื้อแขนยาวยังช่วยกันแดดเผาได้ด้วย
เส้นทางช่วงแรกมีต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง
จากนั้นเมื่อปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ อากาศเริ่มเย็นลงอีกก็ค่อยหยิบเสื้อฟลีซนุ่มๆ ไว้สวมทับเพิ่มความอบอุ่นอีกชั้น และในช่วงเช้ามืดซึ่งเป็นช่วงที่หนาวที่สุดก็ต้องเตรียมเสื้อแจ็คเก็ตที่กันลมและกันน้ำไว้ใส่เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย เพราะนอกจากอากาศจะเย็นจับใจแล้วลมยังแรงเพิ่มความหนาวเหน็บเข้ามาอีก และที่สำคัญก็คือเสื้อและกางเกงกันฝนแบบแยกชิ้น เพราะถ้าเจอฝนจนตัวเปียกแฉะคงไม่สนุกแน่ ส่วนเสื้อผ้าที่เตรียมใส่เป้ก็ควรใส่ถุงพลาสติกไว้อีกชั้นกันเปียก หรือเตรียมผ้ากันน้ำไว้คลุมเป้เลยก็ดี

ไฟฉายคาดหัวเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ตอนเดินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ส่วนรองเท้าก็ต้องเตรียมให้ดีเนื่องจากสภาพพื้นดินที่นี่เป็นหินภูเขาไฟที่เป็นก้อนร่วนๆ บางช่วงต้องปีนก้อนหินขรุขระนานๆ รองเท้าที่เหมาะสมจึงควรเป็นรองเท้าปีนเขาหุ้มข้อที่มีพื้นแข็ง จะช่วยปกป้องเท้าของเราให้เดินได้อย่างสบาย เท่าที่เห็นคนส่วนใหญ่จะใส่รองเท้าปีนเขากัน แต่ก็มีไม่น้อยที่ใส่รองเท้ากีฬาธรรมดา ซึ่งถ้าถนัดแบบนั้นจริงๆ ก็ใช้ได้ไม่ผิด แต่แนะนำให้เป็นรองเท้าพื้นแข็งหน่อยจะช่วยให้ไม่ปวดเท้าได้ดีกว่า
หมอกลงหนา
และอุปกรณ์ผู้ช่วยดีๆ อย่างไม้เท้าปีนเขา ออกซิเจนกระป๋อง อาหารเพิ่มพลังหรือ energy bar เหล่านี้เตรียมกันไปได้ตามความต้องการเลย ส่วนอาหารและน้ำดื่มมีขายตามจุดพักด้านบนระหว่างทาง แต่แน่นอนว่าราคาก็ขึ้นตามความสูงไปด้วย เราเตรียมไปพอประมาณสำหรับดื่มกินระหว่างทาง และที่สำคัญเหรียญ 100 เยนเตรียมไปเยอะๆ ไว้เข้าห้องน้ำครั้งละ 100 - 200 เยนด้วยจ้า

เส้นทางสู่ฟูจิ

แค่เตรียมของก็ตื่นเต้นจะแย่แล้ว คราวนี้มาเตรียมเลือกเส้นทางกันบ้าง อย่างที่บอกว่าภูเขาไฟฟูจิแบ่งความสูงออกเป็น 10 ระดับ และมีถนนให้รถวิ่งขึ้นได้ถึงชั้นที่ 5 จากนั้นจะต้องเดินเท้าสู่ยอดเขา ซึ่งมีเส้นทางให้เลือกเดิน 4 เส้นทางด้วยกัน ได้แก่ เส้นทางโยชิดะ (Yoshida Trail) ระยะทางประมาณ 6.8 กม. เส้นทางฟูจิโนะมิยะ (Fujinomiya Trail) ระยะทางประมาณ 4.3 กม. เส้นทางโกเท็มบะ (Gotemba Trail) ระยะทางประมาณ 10.5 กม. และเส้นทางสุบาชิริ (Subashiri Trail) ระยะทางประมาณ 6.9 กม.
บางช่วงมีอาคารกันหินถล่ม
ทางเดินซิกแซกซ้ายขวาลดความชัน
“ตะลอนเที่ยว” เลือกเส้นทางยอดนิยมที่มีคนปีนมากที่สุดนับแสนคนต่อปี คือเส้นทางโยชิดะ (Yoshida Trail) ซึ่งมีสีประจำเส้นทางและป้ายบอกทางต่างๆ เป็นสีเหลือง เส้นทางนี้สามารถเดินทางได้สะดวกเพราะอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของญี่ปุ่นอย่างทะเลสาบคาวากุจิโกะซึ่งเป็นจุดชมภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามมาก ทั้งยังสามารถนั่งรถบัสจากโตเกียวมาถึงภูเขาไฟฟูจิชั้นที่ 5 ได้เลย หรือจะนั่งรถบัสจากสถานีรถไฟคาวากุจิโกะมาก็ได้เช่นกัน

อีกทั้งในระหว่างเส้นทางปีนเขาของเส้นทางโยชิดะก็มีที่พัก (Moutain Hut) ซึ่งเป็นทั้งที่พัก ร้านค้า และจุดเข้าห้องน้ำเปิดให้บริการเป็นจำนวนมากกว่าเส้นทางอื่นๆ คนจึงมาปีนเส้นทางนี้กันมากโดยเฉพาะช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ทางเดินเป็นดินปนกรวดภูเขาไฟ
ขึ้นมาอยู่เหนือเมฆเมื่อถึงชั้น 7
ในการเดินทางครั้งนั้น “ตะลอนเที่ยว” นั่งรถ Highway Bus รวดเดียวจากสถานีชินจุกุ (โตเกียว) มาถึงภูเขาไฟฟูจิชั้นที่ 5 (Fuji Subaru Line) ที่เต็มไปด้วยร้านค้าร้านของฝากของที่ระลึก เพราะที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ใครๆ ก็มาเที่ยวได้แม้จะไม่ได้ไปปีนเขาก็ตาม แต่สามารถมาเพื่อชมบรรยากาศและสัมผัสภูเขาได้อย่างใกล้ชิดกว่าที่เคย

ด้วยความที่เรามาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่จึงต้องหาที่ฝากกระเป๋าเสียก่อน ซึ่งตามร้านค้าเหล่านี้จะมีตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญให้ฝากกระเป๋าได้ทั้งใบเล็กและใบใหญ่ หรือแม้แต่ใบใหญ่บิ๊กเบิ้มที่เอาเข้าล็อกเกอร์ไม่ได้เขาก็ให้ยกขึ้นไปวางเก็บไว้ชั้นบนของร้านค้าได้
ท้องฟ้าเปิดแจ่มใส
แสตมป์ไม้พลองเป็นที่ระลึกด้วยเหล็กเผาไฟ
เมื่อจัดแจงสัมภาระที่จำเป็นแยกใส่เป้หลังเรียบร้อย ฝากกระเป๋าเดินทางไว้ในล็อกเกอร์ จากนั้นใช้เวลาเดินสำรวจบริเวณชั้น 5 กันก่อน ซึ่งก็ถือเป็นการปรับสภาพร่างกายด้วยไปในตัวเพราะจุดที่เรายืนอยู่นี้ก็มีความสูง 2,305 เมตรแล้ว สูงกว่าดอยอินทนนท์เสียอีก เราควรใช้เวลา 30 - 60 นาที เดินไปเดินมาปรับสภาพร่างกายให้ชินกับความสูงเสียก่อน ซึ่งก็ใช้เวลานี้ในการหาของกินให้ท้องอิ่ม สำรวจร้านค้า เล็งของฝากที่จะซื้อตอนขากลับ ซื้อไม้พลอง (สำหรับคนที่ไม่มีไม้เท้า) ที่สามารถแสตมป์ด้วยเหล็กเผาไฟเป็นลวดลายต่างๆ เก็บเป็นที่ระลึกได้ด้วย และมาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้าโคมิตาเคะ (Komitake Jinja) ขอพรให้อากาศดี ได้ชมพระอาทิตย์สวยๆ และปีนเขาได้อย่างปลอดภัย

จากนั้นก็ได้เวลาออกแรงเดินพาตัวเองไปสู่ยอดเขากัน
ร้านค้าบนความสูง 3,000 เมตร
ยังคงมีไม้พุ่มให้เห็นระหว่างทาง
จากชั้น 5 สู่ยอดเขา

พอเริ่มออกเดินทาง แดดที่มีอยู่น้อยนิดก็เริ่มถูกเมฆมาบดบัง ไม่นานนักทัศนวิสัยข้างหน้าก็เริ่มมองได้ไม่ไกลเพราะมีหมอกหนาแผ่มาปกคลุมเส้นทางไว้ แต่ข้อดีก็คือเดินสบายๆ ไม่โดนแดดเผาจนหมดแรง เส้นทางลาดเอียงไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ในช่วงเริ่มต้นสองข้างทางยังคงมีต้นไม้ใหญ่โดยเฉพาะต้นสนขึ้นหนาแน่น

เส้นทางเดินทำไว้อย่างดี มีรั้วแข็งแรงกั้นในจุดที่เป็นหน้าผา บางช่วงที่เสี่ยงกับหินถล่มก็สร้างเป็นอาคารครอบทางเดินอย่างปลอดภัย ช่วงที่เป็นทางกว้างๆ ก็มีโซ่เหล็กกั้นให้รู้แนวเส้นทางรับรองไม่เดินหลงไปทางอื่นแน่นอน อีกทั้งระหว่างทางก็มีป้ายบอกทาง บอกข้อมูลระยะทางและเวลาโดยประมาณที่จะเดินไปยังจุดต่อๆ ไป เรียกว่าเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามสไตล์ญี่ปุ่นเขานั่นแหละ
เสาโทริอิสีแดงเด่น
บางช่วงต้องปีนป่ายก้อนหิน
ใช้เวลาเดินจากชั้น 5 มาถึงชั้น 6 เกือบ 1 ชั่วโมง เหงื่อออกกำลังดีแรงหอบกำลังได้ แต่ท้องฟ้าก็ยังไม่เปิด รอบข้างยังไม่มีวิวให้ดูมากนักจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินไปตามเส้นทางที่ลาดชันซิกแซกซ้ายขวาไปเรื่อยๆ ทางเดินใต้เท้าเปลี่ยนสภาพจากดินเป็นดินปนหินร่วนๆ บางเวลาเมื่อลมพัดมาหมอกก็จะจางลงนิดๆ มีแสงแดดส่องลงมาบ้างบางครั้ง

หลังจากเดินบ้างพักบ้างเป็นระยะๆ อีกราว 1 ชั่วโมงต่อมาเราก็เดินมาถึงชั้น 7 และมานั่งพักอยู่หน้าที่พักแห่งแรกที่เจอ และพบว่าในที่สุดเราก็เดินทะลุเมฆหมอกขึ้นมาอยู่ในระดับ “เหนือเมฆ” บนความสูงประมาณ 3,000 เมตร ได้เห็นท้องฟ้าสีฟ้าและแดดใสๆ พร้อมกับยอดภูเขาไฟฟูจิทะมึนอยู่ลิบๆ ส่วนด้านล่างเมื่อมองลงไปก็เห็นทะเลเมฆสีขาวโพลนปกคลุมจนทั่ว นึกไปถึงคนบนพื้นราบว่าหากมองมาคงจะคิดว่าวันนี้ภูเขาไฟฟูจิขี้อายเข้าไปหลบหลังเมฆอีกแล้วสินะ
สภาพเส้นทางเป็นก้อนหินน้อยใหญ่
หน้าที่พัก Taishikan มีนักเดินเขาหลายคนแวะพัก
จากชั้น 7 ไปยังชั้น 8 สภาพเส้นทางเริ่มเปลี่ยนเป็นก้อนหินก้อนน้อยใหญ่ให้ต้องปีนป่าย ใช้ทั้งมือทั้งเท้าช่วยเกาะพยุงตัวเองขึ้นไป และชั้นนี้ยังมีระยะทางค่อนข้างไกล แบ่งเป็นชั้นย่อยๆ อีกหลายจุด ใช้เวลาเดินอีกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง “ตะลอนเที่ยว” ก็มาถึงชั้น 8 ถึงที่พักที่ชื่อ Taishikan ที่เราจองเอาไว้ล่วงหน้าจากอินเทอร์เน็ต (มีภาษาอังกฤษ) เราจะพักค้างคืนและกินอาหารเย็นกันที่นี่ นอนหลับเอาแรงก่อนจะเดินกันต่อในตอนเช้ามืด

สภาพของที่พักทั้งหลายบนภูเขาก็จะมีสภาพคล้ายๆ กัน คือ ไม่ได้เป็นห้องหับส่วนตัว แต่เรียกว่าเป็นที่ซุกหัวนอนจะเหมาะกว่า เพราะทุกคนจะต้องมานอนเรียงกันโดยมีหมอนใบเล็กๆ และถุงนอนไว้ห่ม คนนอนยากอาจจะลำบากสักหน่อยเพราะเสียงดังกันแทบตลอดเวลา ทั้งเสียงพลิกตัว เสียงเก็บของ เสียงคนที่เพิ่งเข้ามาถึง เสียงคนกรน ฯลฯ แต่ด้วยความเหนื่อยอ่อนของเราจึงพอจะงีบได้บ้างเล็กน้อย
สภาพที่นอนของที่พักบนเขา
ตื่นแต่เช้าเดินต่อไปในความมืด
ไม่นานก็ถึงเวลาที่เราเตรียมออกเดินทางต่อ คือ ราวๆ ตี 2 หากอยากไปชมพระอาทิตย์บนยอดเขาจริงๆ อาจจะต้องไปตั้งแต่เที่ยงคืน แต่เราขอชมพระอาทิตย์ระหว่างทางก็ได้ ในช่วงนี้เองที่ไฟฉายคาดหัวเป็นพระเอกคนสำคัญที่มาช่วยให้เราเดินทางได้ง่ายขึ้น

สภาพเส้นทางในช่วงนี้บรรยายไม่ได้มากนักเนื่องจากเดินอยู่ในความมืด แต่ที่บอกได้ก็คือจากที่พักเราซึ่งอยู่ชั้น 8 เมื่อเดินมาเรื่อยๆ กลับเจอชั้น 8 Original แล้วก็เจอชั้น 8.1 8.2 8.3 … ไปจนถึง 8.5 เล่นเอาท้อเหมือนกัน
พระอาทิตย์ฉายแสงท่ามกลางหมอกฟุ้ง
ก้มหน้าก้มตาเดินพร้อมกับหอบด้วยความเหนื่อย ดูนาฬิกาอีกทีเป็นเวลาเกือบจะตีสี่ครึ่งซึ่งเป็นเวลาที่พระอาทิตย์ควรจะอวดโฉมได้แล้ว ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นแต่ยังมีหมอกหนาลอยฟุ้งเต็มไปหมด “ตะลอนเที่ยว” เลยเดินต่อพร้อมภาวนาในใจให้เมฆหมอกแหวกทางให้พระอาทิตย์ฉายแสงออกมาเสียที

เดินมาจนถึงชั้น 9 อยู่ๆ ก็มีลมหอบใหญ่พัดมา ทุกอย่างดูสว่างขึ้นในฉับพลันพร้อมกับความอบอุ่นวูบหนึ่ง หันไปมองอีกทีก็เหมือนตกอยู่ในมนต์สะกดเมื่อพระอาทิตย์ฉายแสงสีทองส่องตรงหน้า ด้วยละอองหมอกที่ยังปกคลุมไปทั่วทำให้ทั้งบริเวณกลายเป็นละอองสีทองอันแสนอบอุ่น ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมทางรอบข้างอุทานว่า “สุโก้ยเน้” อยากจะหันไปพยักหน้าแล้วบอกเขาว่า “สุดยอดจริงๆ เลยล่ะ”
ชมพระอาทิตย์ยามเช้าบนภูเขาไฟฟูจิ
ทะเลหมอกอลังการด้านล่าง
เริ่มมองเห็นนักปีนเขาเดินขึ้นมาไม่ขาดสาย
สิงโตหินและเสาโทริอิที่เป็นหมุดหมายว่าใกล้ถึงยอดเขาแล้ว
ณ ปากปล่องภูเขาไฟ

ได้ชมพระอาทิตย์สวยๆ ที่มาช่วยละลายความเหน็บหนาว ก็เลยมีแรงใจเดินต่อจนในที่สุด “ตะลอนเที่ยว” ก็ได้มาพบสิงโตหินและเสาโทริอิอันเป็นหมุดหมายที่บอกว่าเมื่อผ่านประตูนี้ไปก็จะเข้าสู่เขตของยอดเขาแล้ว และเมื่อขึ้นมาถึงจริงๆ สิ่งแรกที่ได้เจอ ก็คือ “ศาลเจ้าคุสุชิ” เราเข้าไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอบคุณที่ทำให้เราได้มาถึงที่นี่และได้พบกับประสบการณ์ดีๆ
ศาลเจ้าคุสุชิ
มีแสตมป์ไม้พลองในศาลเจ้าด้วยเช่นกัน
เลือกซื้อเครื่องรางแบบญี่ปุ่นกันในศาลเจ้า
ร้านค้าขายของที่ระลึกบนยอดเขา
จากนั้นจึงออกสำรวจบริเวณยอดเขาที่แน่นอนว่าก็ยังคงมีร้านค้าขายอาหารและของที่ระลึกกันแบบคึกคัก มีตู้กดน้ำวางหราอยู่บนยอดเขาสมเป็นญี่ปุ่นจริงจริ๊ง และสิ่งสำคัญที่เราต้องไปดูก็คือ “ปากปล่องภูเขาไฟ” ที่มีขนาดใหญ่มากและมีเส้นทางเดินวนได้รอบระยะทางประมาณ 4 ก.ม. ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมงต่อรอบ เส้นทางบางช่วงก็ชันและลื่น แต่มีโซ่กั้นไม่ให้คนเดินเข้าไปใกล้ปากปล่องมากนัก

และในเส้นทางนี้ยังสามารถเดินไปยังจุดที่สูงที่สุดของภูเขาไฟฟูจิหรือที่เรียกว่า "ยอดเคนกามิเนะ" (Kengamine Peak) ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,776 เมตร ซึ่งบอกตรงๆ ว่า “ตะลอนเที่ยว” ไปไม่ถึง เนื่องด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ จึงขอนั่งมองและเดินสำรวจปากปล่องในระยะเดินใกล้ๆ แทน นั่งพักจนหายเหนื่อย จากนั้นก็เตรียมตัวเดินลง
เดินเข้าไปดูปากปล่องภูเขาไฟ
ในที่สุดก็มาถึงปากปล่องภูเขาไฟฟูจิ
ข้างหน้านั้นคือยอดสูงสุดหรือยอดเคนกามิเนะ
เส้นทางเดินลงที่เป็นทางกรวดลื่นๆ
แน่นอนว่า มีขึ้นก็ต้องมีลง ซึ่งเส้นทางเดินลงของเส้นทางโยชิดะนั้นเป็นคนละเส้นกับทางเดินขึ้น (ต้องคอยสังเกตป้ายบอกทางสีเหลืองไว้ให้ดีถ้าไม่อยากหลงทางไปลงเมืองอื่น) เตรียมตัวมาบ้างว่าขาลงนั้นแม้จะเร็วแต่ก็ทรมานเข่าที่ต้องรับน้ำหนักขาลงในทุกๆ ก้าว ซึ่งเมื่อถึงเวลาลงจริงๆ แล้วพบว่าความเหนื่อยและความเจ็บนั้นมากกว่าที่คิด

ขาลงนี้ไม่ต้องสนใจกับความสวยงามของเส้นทางแล้วเพราะต้องคอยระวังไม่ให้ลื่นไปกับเส้นทางที่มีแต่กรวดภูเขาไฟ ตรงทางลงนี้ไม้เท้าหรือไม้พลองจะมีประโยชน์มากๆ ในการช่วยพยุงตัว ทางเดินทำเป็นทางซิกแซกซ้ายขวาที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด เดินลงมาได้ระยะหนึ่งเมฆหมอกก็เข้ามาปกคลุมทั้งชื้นแฉะ ทั้งเหนื่อย ทั้งหนาว ทั้งอ่อนเพลียจากการที่ต้องตื่นเช้ามากกก และอีกสารพัดความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือการก้มหน้าก้มตาเดินให้ถึงไวที่สุด และพยายามปัดความคิดที่ว่า ...ฉันมาทำอะไรที่นี่? ออกไปจากหัว
ทางลงอันแสนเวิ้งว้างกว้างไกล
และในที่สุดพุ่มไม้สีเขียวก็เริ่มกลับมา ต้นไม้ใหญ่ริมทางก็เริ่มกลับมา เป็นสัญญาณว่าใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางที่ชั้น 5 ของเราเสียที หน้าตาแต่ละคนเริ่มชื่นมื่น เริ่มพูดคุยเล่นหัวกัน จนแทบกระโดดกอดกันเมื่อลงมาถึงจุดหมายปลายทางจริงๆ

+ + + + + +

หลังจากได้ขึ้นไปสัมผัสกับฟูจิอย่างใกล้ชิดจนถึงยอดเขาแล้วก็พบว่า ดูยังไง้...ยังไงก็สวยไม่เท่ากับเวลาที่ชมภูเขาไฟฟูจิจากที่ไกลๆ ที่มีดอกซากุระหรือใบไม้สีแดงเป็นฉากหน้า แถมยังต้องเหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจกับการเดินขึ้นในที่ลาดชันทีละก้าวๆ เผชิญกับความหนาวเหน็บ หมดแรง ท้อแท้ เดินขึ้นก็ว่าเหนื่อยแล้วแต่การเดินลงทั้งเหนื่อยทั้งทรมาน จนทำให้หลายๆ คนบอกว่า “ภูเขาไฟฟูจิมีไว้ชม ไม่ได้มีไว้ปีน”


แต่สำหรับ “ตะลอนเที่ยว” เมื่อได้คิดทบทวนแล้ว การได้ลองปีนภูเขาไฟฟูจิสักครั้งหนึ่ง ทำให้การชมฟูจิไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ความงดงามนั้นจะยิ่งเพิ่มขึ้นและมีความลึกซึ้งมากขึ้น เพราะมันเต็มไปด้วยเรื่องราวและความประทับใจระหว่างทาง ที่หากไม่ได้ลองปีนขึ้นไปให้ถึงแล้วคงจะไม่รู้สึกแบบนี้แน่นอน


สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager


กำลังโหลดความคิดเห็น