โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
“ยามากุจิ เมืองในดวงใจ”
เป็นข้อความที่ปรากฏในหน้าปกโบชัวร์ท่องเที่ยว(ฉบับภาษาไทย)ของ“เมืองยามากุจิ” หรือ“อำเภอยามากุจิ” ซึ่งเมื่อมีโอกาสได้ไปสัมผัสมา ผมก็พบว่าข้อความดังกล่าวนั้นไม่ใช่คำกล่าวอวดอ้างสรรพคุณที่เกินเลยแต่อย่างใด
ชิโมโนเซคิ, นากาโตะ
อำเภอยามากุจิ หรือเมืองยามากุจิ แห่งจังหวัดยามากุจิ(Yamaguchi) ประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเมืองหลักที่ผมกับเพื่อนๆชาวคณะนักปั่นจักรยานจากเมืองไทย มีโปรแกรมที่จะปั่นไปพักค้างกันในคืนที่ 3 ของทริป“ปั่นจักรยานเที่ยวจังหวัดยามากุจิ” ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่งทริปในดวงใจที่ยากจะลืมเลือน
สำหรับการปั่นจักรยานเที่ยวจังหวัดยามากุจิของผมในครั้งนี้ ถือเป็นทริปพิเศษที่ทางบริษัท “Octo Cycling” ร่วมกับ“Inter Bike” และ“การท่องเที่ยวจังหวัดยามากุจิ”(Yamaguchi Tourism) ได้นำผู้รักการปั่นจักรยานจากเมืองไทยไปปั่นเที่ยวเมืองยามากุจิในแบบสโลว์ไลฟ์ สัมผัสธรรมชาติ ขุนเขา ท้องทะเล วิถีชีวิตวัฒนธรรม กินอร่อย-นอนสบาย เปิดมุมมองใหม่ในญี่ปุ่น โดยเน้นในเรื่องของความปลอดภัยเป็นยิ่งยวด
ในวันแรกหลังเดินทางมาถึงญี่ปุ่น ผมเริ่มทำความรู้จักกับจังหวัดยามากุจิด้วยการปั่นจักรยานเที่ยวเมือง“ชิโมโนเซคิ”(Shimonoseki) ในเส้นทางปั่นรอบ“เกาะทสึโนชิมะ”(Tsunoshima Island) ระยะทางประมาณ 15 กม. พร้อมไปชมวิวทิวทัศน์ยามเย็นที่“สะพานทสึโนชิมะ”(Tsunoshima Bridge) ที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในสะพานที่มีวิวทิวทัศน์งดงามเป็นอันดับต้นๆของญี่ปุ่น
ส่วนในวันที่ 2 พวกเราปั่นข้ามเขาข้ามเมือง จากชิโมโนเซคิสู่เมือง“นากาโตะ”(Nagato) มีระยะประมาณ 60 กม.(มีนั่งรถบางช่วง)
เส้นทางสายนี้นอกจากจะมีไฮไลท์อยู่ที่ “ศาลเจ้าโมโตโนะซึมิ อินาริ”(Motonosumi Inari Shrine) ศาลเจ้าริมทะเลที่ดูสวยเด่นไปด้วยเสาโทริอิ 123 เสาทอดตัวเรียงราย กับจุดชมวิว“เซนโจจิกิ” (Senjojiki) บนความสูงเลขสวย 333 เมตรจากระดับน้ำทะเลแล้ว ในระหว่างทางยังมีวิวอย่างว้าว! ให้ตื่นตาตื่นใจกันในหลายจุดด้วยกัน โดยเฉพาะวิวของซุ้มต้นซากุระริมแม่น้ำมิโดริกาวะ(Midorigawa) ที่กำลังออกดอกสะพรั่งขาวอมชมพูสวยงามนั้น ถือเป็นแม่เหล็กดึงดูดชั้นดีที่สร้างสีสันความประทับใจให้กับพวกเราชาวคณะนักปั่นได้เป็นอย่างดี
วัดไทเนจิ
สำหรับกิจกรรมในวันที่ 3 นี้ เป็นการปั่นจักรยานสลับการนั่งรถเซอร์วิซ มีระยะทางรวม 85 กม.(ปั่นราว 35 กม.) ในเส้นทาง“นากาโตะ-มิเนะ-ยามากุจิ”
โดยจากโรงแรม “Yamamura Bekkan” ที่พักบรรยากาศดีชานเมืองนากาโตะ(อำเภอนากาโตะ) พวกเรามุ่งหน้าสู่“วัดไทเนจิ”(Taineiji) วัดชื่อดังคู่บ้านคู่เมืองนากาโตะ ที่หากใครมาเยือนเมืองนี้ ไม่ควรพลาดการมาเยือนที่นี้ด้วยประการทั้งปวง
วัดไทเนจิ เป็นวัดพุทธผสมนิกายโซโต(ประเภทหนึ่งของนิกายเซน) มีอายุเก่าแก่กว่า 600 ปี ภายในวัดดูร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่มีการจัดภูมิทัศน์อย่างเป็นระเบียบ มีเส้นทางเดินสัมผัสพลังธรรมชาติของแมกไม้ พร้อมทั้งมีรูปปั้นของเทพผู้พิทักษ์จำนวนมากตั้งเด่นอยู่ริมสองข้างทางเดิน ส่วนบางจุดก็เป็น“สวน(แบบ)เซ็น”ดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ซึ่งปริศนาธรรม
ขณะที่บรรยากาศโดยรวมของวัดนั้นดูสงบงาม ขรึมขลัง เปี่ยมศรัทธา เมื่อเข้ามาแล้วทำให้ใจรู้สึกสงบเยือกเย็นไม่น้อย ซึ่งหากใครต้องการสัมผัสกับวัดนี้อย่างลึกซึ้งก็สามารถมาทดลองทำสมาธิแบบเซ็นที่วัดแห่งนี้กันได้
นอกจากนี้วัดไทเนจิยังขึ้นชื่อในเรื่องการชมใบไมเปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง และการชมดอกซากุระบานในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งช่วงที่เราไปนั่นโชคดีมากๆ ซากุระที่วัดไทเนจิกำลังออกดอกบานสะพรั่งสวยงามดูน่าประทับใจ ชนิดที่ผมอยากขออาศัยเป็นลูกศิษย์วัดไทเนจิในช่วงดอกซากุระบานเป็นยิ่งนัก
อาคิโยชิได
หลังสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสริมสิริมงคล และเพลิดเพลินกับการชมดอกซากุระบานที่วัดไทเนจิกันจนจุใจ พวกเราก็ได้เวลาล่ำลาเมืองนากาโตะ ออกเดินทางต่อสู่เมือง“มิเนะ”(Mine : อำเภอมิเนะ)ทางผ่านสู่เมืองยามากุจิ ซึ่งในระหว่างทางมีความท้าทายของธรรมชาติอันน่าพิศวงให้ได้ตื่นตาตื่นใจกัน
ที่เมืองมิเนะ เราต้องปั่นจักรยานข้ามผ่านที่ราบสูง “อาคิโยชิได”(Akiyoshidai) ที่มีลักษณะภูมิประเทศแบบ“คาสต์” อันกว้างใหญ่ จนอาคิโยชิไดได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่ราบสูงแบบคาสต์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
คาสต์(Karst) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เป็นหินปูน มีน้ำฝนเป็นตัวกระทำ หินปูนเมื่อถูกน้ำฝน(ที่มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ) กระทำสะสมเป็นเวลาช้านาน จะเปลี่ยนสภาพเกิดเป็นลักษณะทางธรณีอันหลากหลาย อาทิ ภูเขาหินปูน หุบเขาลึก ถ้ำ หลุมยุบ และน้ำตก เป็นต้น ซึ่งธรรมชาติได้สร้างสรรค์ให้คาสต์ในแต่ละพื้นที่มีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป
ในบ้านเราหนึ่งในพื้นที่ที่มีลักษณะแบบคาสต์ที่โดดเด่นมากนั่นก็คือที่จังหวัดสตูล ซึ่งถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้สตูลได้รับการคัดเลือกจากยูเนสโก ให้เป็น “อุทยานธรณีโลก”(Satun UNESCO Global Geopark) แห่งแรกในเมืองไทย
ขณะที่ ที่ราบสูงอาคิโยชิไดแห่งเมืองมิเนะนั้น เป็นคาสต์ที่มีลักษณะเป็นแนวเทือกเขากว้างใหญ่ มีวิวทิวทัศน์สวยงามอลังการ ซึ่งผมเรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่า“เทือกเขาประหลาด” เพราะเป็นแนวภูเขาหญ้าโล่งโล้น(ตามธรรมชาติ) ที่มีหญ้าและต้นไม้แคระเป็นพืชพันธุ์หลัก
ตามแนวขุนเขาจะมีแนวหินปูนรูปร่างตะปุ่มตะป่ำที่เกิดจากการกระทำของน้ำฝน ขึ้นแทรกเป็นจุดชวนชมอยู่ทั่วไป ซึ่งทางการญี่ปุ่นก็ได้มีการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติอาคิโยชิไดขึ้นเพื่อดูแลพื้นที่แบบคาสต์แห่งนี้
รวมถึงมีการพัฒนาที่ราบสูงอาคิโยชิไดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เนื่องจากสถานที่แห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ประติมากรรมหินที่มีกระจายตัวอยู่ทั่วไป, วิวทิวทัศน์ของขุนเขาทุ่งหญ้าอันสวยงามตระการตา, เส้นทางศึกษาธรรมชาติอาคิโยชิได,“อาคิโยชิได ซาฟารี แลนด์” สวนสัตว์ในสภาพแวดล้อมท่ามกลางธรรมชาติ, “ถ้ำอาคิโยชิได” ถ้ำขนาดใหญ่ภายในงดงามไปด้วยหินงอกหินย้อยหลากหลายรูปแบบ
นอกจากนี้ที่ราบสูงอาคิโยชิได ยังเป็นหนึ่งในพื้นที่ปั่นจักรยานเที่ยวชมธรรมชาติที่น่าสนใจมากแห่งหนึ่งของจังหวัดยามากุจิ
ปั่นข้ามเขาประหลาด
หลังพวกเราออกตั้งต้นปั่นจักรยานกันมาตั้งแต่เมืองนากาโตะ ผ่านวิวทิวทัศน์ของท้องทุ่ง วิถีชนบท เข้าสู่เขตเมืองมิเนะ และแวะพักกินข้าวเที่ยงกันที่จุดพักรถก่อนถึงเส้นทางขึ้นที่ราบสูงอาคิโยชิได (โดยมีคุณคุณ“โนบุ” หรือ“โนบุซัง” ปั่นนำหน้า และคุณ“ซาดะ”หรือ “ซาดะซัง” ปั่นปิดท้ายเหมือนเดิม ทั้งสองคนเป็นทีมงานเจ้าหน้าที่จากการท่องเที่ยวจังหวัดยามากุจิ ที่มาทำหน้าที่เป็นไกด์กิตติมศักดิ์ พาคณะนักปั่นจากเมืองไทยออกตะลุยปั่นเที่ยวยามากุจิกันตลอดทั้งทริป)
ต่อจากนั้นเมื่อตุนพลังกันเต็มที่และพักผ่อนกันให้ข้าวพอเรียงเม็ดแล้ว ลำดับต่อไปก็เป็นการปั่นจักรยานข้ามที่ราบสูงอาคิโยชิได ในระยะทางประมาณ 10 กว่า กม. ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางปั่นจักรยานที่เจ๋งมากๆ เพราะเป็นเส้นทางปั่นจักรยานขึ้นเขาขึ้นเนินที่ไม่ชันเกินไป จึงทำให้พวกที่ไม่ใช่นักปั่นมืออาชีพ(อย่างผม)สามารถปั่นขึ้นได้ไม่ยาก
สำหรับในช่วงปั่นขึ้นเราอาจต้องออกแรงปั่นกันเหนื่อยหน่อย แต่ช่วงขาลงนี่สิ มันวิเศษมาก รถไหลลงเขาฉลุย บนนี้แม้จะโล่งโล้น แต่อากาศนั้นดีมากๆ สดชื่อเย็นสบาย แถมยังหนาวเย็นในบางช่วงจากสายลมแรงที่พัดปะทะร่าง
ในเส้นทางปั่นข้ามที่ราบสูงอาคิโยชิไดหรือที่ผมเรียกมันว่าเทือกเขาประหลาด(ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น) ทางการท่องเที่ยวจังหวัดยามากุจิ ได้พาเราไปแวะเหนื่อยกันที่“จุดชมวิว” ซึ่งบนนั้นสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ภูมิประเทศแบบคาสต์ที่เป็นแนวเทือกเขา(ที่ราบสูง)กว้างใหญ่อลังการ ตามพื้นดินมีแนวกลุ่มหินปูนเตี้ยๆรูปร่างประหลาดที่เกิดจากการกระทำของน้ำฝน ขึ้นประดับเป็นจุดชวนชมอยู่ทั่วไป
ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางอันซีนญี่ปุ่นที่ปัจจุบันยังไม่ค่อยเป็นที่รู้กันของคนไทยสักเท่าไหร่
เบปปุเบ็นเท็นอิเคะ
พูดถึงอันซีนแล้ว ในเมืองมิเนะยังมี“เบปปุเบ็นเท็นอิเคะ”(Beppubenten Ike)เป็นอันซีนญี่ปุ่นอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดแวะพักเที่ยวของชาวคณะเราในลำดับต่อไป
โดยจากที่ราบสูงอาคิโยชิไดเมื่อพวกเราปั่นไหลลงเขาอย่างสุดฟินลงมาถึงยังพื้นราบ คุณโนบุ คุณซาดะกับทีมงาน พาพวกเราออกจากเส้นทางถนนปกติมาใช้เส้นทางปั่นจักรยาน(โดยเฉพาะ) ซึ่งทางจังหวัดยามากุจิเขาได้ทำเส้นทางปั่นจักรยานแบบนี้ไว้ในหลายพื้นที่ด้วยกัน สำหรับปั่นเชื่อมระหว่างตัวเมืองต่างๆ(อำเภอต่าง) อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นเมืองจักรยานของยามากุจิได้เป็นอย่างดี
ในเส้นทางจักรยานสายนี้เราปั่นกันไปแบบสบายๆผ่านเส้นทางชนบท ชมวิวทิวทัศน์อันน่ายลสองข้างทางไปอย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่คุณซาดะจะพาชาวคณะเรามาถึงยังเบปปุเบ็นเท็นอิเคะอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เบปปุเบ็นเท็นอิเคะ เป็นบ่อน้ำผุด(บ่อน้ำซับ)ขนาดย่อมตามธรรมชาติที่เกิดจากน้ำพุใต้ดินของที่ราบสูงอาคิโยชิได บริเวณรอบข้างแวดล้อมไปด้วยแมกไม้อันร่มรื่น มีสนต้นใหญ่ยืนต้นตระหง่านเสริมแต่งองค์ประกอบให้น่าดูมากยิ่งขึ้น
บ่อน้ำแห่งนี้แม้จะมีน้ำใสแจ๋ว มองเห็นก้นบ่อ ผุดขึ้นมาทุกวัน แต่สีสันของบ่อน้ำจะเปลี่ยนไปตามแสงแดดที่สาดส่อง วันไหนที่แสงแดดดีๆจะมองเห็นเป็นสีเขียวมรกตหรือไม่ก็ฟ้าอมเขียวที่น่าดูยิ่งนัก(บ่อที่นี่ห้ามลงเล่นน้ำ)
นอกจากนี้ที่บริเวณข้างๆบ่อ ยังมีศาลเจ้า“เบปปุอิสึคุชิมะจินจะ” ซึ่งมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ในอดีตผู้ที่มาบุกเบิกอยู่อาศัยที่นี่ประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำ จึงทำการเซ่นไหว้ต่อเทพเจ้าเบ็นไซเต็ง(เทพเจ้าแห่งโชคลาภ)ขอให้พื้นที่แห่งนี้มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ต่อจากนั้นไม่นานก็เกิดมีบ่อน้ำผุดจากตาน้ำตามธรรมชาติเกิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ และบ่อก็มีน้ำไหลผุดขึ้นมาตลอดไม่เคยแห้งเหือดมาจนถึงทุกวันนี้
นั่นจึงทำให้คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเบปปุเบ็นเท็นอิเคะ เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จึงมีการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ส่วนใครที่มาเยือนที่นี่ก็มักจะรินน้ำใส่ภาชนะกลับไปดื่มกิน(จากท่อที่ต่อออกมาจากบ่อ)
ด้วยสวยใสสะอาดและมนต์เสน่ห์ความงามทำให้เบปปุเบ็นเท็นอิเคะ ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 100 ของแหล่งน้ำที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น อีกทั้งยังถูกยกให้เป็นอันซีนญี่ปุ่นที่ทางการท่องเที่ยวจังหวัดยามากุจิภูมิใจนำเสนอ เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนไทยรู้จักกันน้อยมาก ตัวผมเองก็เพิ่งรู้จักบ่อน้ำผุดสวยใสแห่งนี้เป็นครั้งแรก ขณะที่ชาวญี่ปุ่นเองนั้นก็ยังไม่ค่อยรู้จักเบปปุเบ็นเท็นอิเคะกันเท่าไหร่
หลังจากลาจากเบปปุเบ็นเท็นอิเคะ เรายังไม่ไปไหนไกล หากแต่เดินตามคุณซาดะเข้าไปในหมู่บ้านชนบทในละแวกนั้น เพื่อแวะพักจิบชา(ทีเบรก)ที่บ้าน“มาลุโตเอ็น”(Maltoen)โฮมสเตย์บรรยากาศดี ที่มีขนมโมจิฝีมือชาวบ้านญี่ปุ่น(และรสชาติพื้นบ้านญี่ปุ่น)ให้เราได้ลิ้มลอง รวมถึงมีชาญี่ปุ่นร้อนๆให้จิบแกล้มกับ“หัวไชเท้าดอง” ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า ชากับหัวไชเท้าดองมันจะเข้ากันได้อย่างกลมกล่อม ละมุนดีแท้
ยามากุจิ เมืองในดวงใจ
ช่วงบ่ายแก่ๆของวันนี้(วันที่ 3 ของการปั่นจักรยานเที่ยวยามากุจิ)
สำหรับผมหลังจากที่มีโอกาสได้ไปสัมผัสกับเมืองนี้มา แม้จะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ (เพียง 1 คืน กับ เกือบ 1 วัน)ผมก็สัมผัสได้ว่า สโลแกน“ยามากุจิ เมืองในดวงใจ” ที่ฟังดูไพเราะเสนาะหูนั้น ไม่ใช่คำกล่าวอวดอ้างสรรพคุณที่เกินเลยแต่อย่างใด....(อ่านต่อตอนหน้า)
....................................................................................................
จังหวัดยามากุจิ(Yamaguchi) ตั้งอยู่ในภูมิภาคจูโกขุุุ หรือ ชูโกกุ(Chugoku) บริเวณช่วงปลายสุดทางฝั่งตะวันตกของเกาะฮอนชู(ฮนชู : Honshu) มีทะเลโอบล้อมทั้ง 3 ด้าน มีทัศนียภาพงดงามของท้องทะเล ขุนเขา และบ้านเมือง มีอากาศเย็นสบายกำลังดี อีกทั้งยังเป็นแหล่งอาหารอร่อยชวนให้ลิ้มลอง
สำหรับทริปนี้เป็นการปั่นจักรยานเที่ยวจังหวัดยามากุจิของคณะนักปั่นจากเมืองไทยกลุ่มแรกที่ไปปั่นเที่ยวเมืองนี้(อย่างเป็นทางการ) ในระหว่างวันที่ 25-31 มี.ค. ที่ผ่านมา (6 วัน 5 คืน เดินทางคืน 25 เริ่มปั่นวันที่ 26) ซึ่งในตลอดเส้นทางมีดอกซากุระที่ปีนี้บานเร็วกว่าทุกๆปีให้ชมกันเป็นระยะๆ
Octo Cycling เป็นบริษัทที่มุ่งเชิญชวนผู้ชื่นชอบการปั่นจักรยานออกไปผจญโลกกว้างด้วยการปั่นจักรยานท่องเที่ยวสัมผัสกับสถานที่ต่างๆ ทั้งใน กทม. ในเมืองไทย อาเซียน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เอเชีย และยุโรป เป็นต้น ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2181-2088 หรือที่ www. Octocycling.com หรือ www.facebook.com/octocycling
อ่านซีรีส์ชุด "ปั่นจักรยานเที่ยวยามากุจิ เมือจักรยานในดวงใจ เปิดมุมมองใหม่ในญี่ปุ่น"
ตอน 1 ปั่นเที่ยว“ยามากุจิ”เปิดมุมมองใหม่ในญี่ปุ่น...กินโซบะย่างกระเบื้องหลังคา ตื่นตาสะพานวิวสวยต้องชมก่อนตาย
ตอน 2 วิวอย่างว้าว! ปั่นเที่ยว“ยามากุจิ”เมืองงาม...หลงรักศาลเจ้าริมทะเล หลงเสน่ห์ซากุระริมแม่น้ำ
ตอน 3 อันซีนญี่ปุ่น พิชิตหุบเขาประหลาด-บ่อน้ำผุดสุดใส สู่“ยามากุจิ”เมืองในดวงใจ
ตอน 4 “ยามากุจิ” เกียวโตฝั่งตะวันตกสวยคลาสสิก จุดดักฝันของนักปั่นจักรยาน
ตอนจบ เปิบ“ปลาปักเป้า”อร่อยเสี่ยงตาย...บ๊ายบาย“ยามากุจิ”เมืองจักรยานในดวงใจ
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
“ยามากุจิ เมืองในดวงใจ”
เป็นข้อความที่ปรากฏในหน้าปกโบชัวร์ท่องเที่ยว(ฉบับภาษาไทย)ของ“เมืองยามากุจิ” หรือ“อำเภอยามากุจิ” ซึ่งเมื่อมีโอกาสได้ไปสัมผัสมา ผมก็พบว่าข้อความดังกล่าวนั้นไม่ใช่คำกล่าวอวดอ้างสรรพคุณที่เกินเลยแต่อย่างใด
ชิโมโนเซคิ, นากาโตะ
อำเภอยามากุจิ หรือเมืองยามากุจิ แห่งจังหวัดยามากุจิ(Yamaguchi) ประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเมืองหลักที่ผมกับเพื่อนๆชาวคณะนักปั่นจักรยานจากเมืองไทย มีโปรแกรมที่จะปั่นไปพักค้างกันในคืนที่ 3 ของทริป“ปั่นจักรยานเที่ยวจังหวัดยามากุจิ” ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่งทริปในดวงใจที่ยากจะลืมเลือน
สำหรับการปั่นจักรยานเที่ยวจังหวัดยามากุจิของผมในครั้งนี้ ถือเป็นทริปพิเศษที่ทางบริษัท “Octo Cycling” ร่วมกับ“Inter Bike” และ“การท่องเที่ยวจังหวัดยามากุจิ”(Yamaguchi Tourism) ได้นำผู้รักการปั่นจักรยานจากเมืองไทยไปปั่นเที่ยวเมืองยามากุจิในแบบสโลว์ไลฟ์ สัมผัสธรรมชาติ ขุนเขา ท้องทะเล วิถีชีวิตวัฒนธรรม กินอร่อย-นอนสบาย เปิดมุมมองใหม่ในญี่ปุ่น โดยเน้นในเรื่องของความปลอดภัยเป็นยิ่งยวด
ในวันแรกหลังเดินทางมาถึงญี่ปุ่น ผมเริ่มทำความรู้จักกับจังหวัดยามากุจิด้วยการปั่นจักรยานเที่ยวเมือง“ชิโมโนเซคิ”(Shimonoseki) ในเส้นทางปั่นรอบ“เกาะทสึโนชิมะ”(Tsunoshima Island) ระยะทางประมาณ 15 กม. พร้อมไปชมวิวทิวทัศน์ยามเย็นที่“สะพานทสึโนชิมะ”(Tsunoshima Bridge) ที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในสะพานที่มีวิวทิวทัศน์งดงามเป็นอันดับต้นๆของญี่ปุ่น
ส่วนในวันที่ 2 พวกเราปั่นข้ามเขาข้ามเมือง จากชิโมโนเซคิสู่เมือง“นากาโตะ”(Nagato) มีระยะประมาณ 60 กม.(มีนั่งรถบางช่วง)
เส้นทางสายนี้นอกจากจะมีไฮไลท์อยู่ที่ “ศาลเจ้าโมโตโนะซึมิ อินาริ”(Motonosumi Inari Shrine) ศาลเจ้าริมทะเลที่ดูสวยเด่นไปด้วยเสาโทริอิ 123 เสาทอดตัวเรียงราย กับจุดชมวิว“เซนโจจิกิ” (Senjojiki) บนความสูงเลขสวย 333 เมตรจากระดับน้ำทะเลแล้ว ในระหว่างทางยังมีวิวอย่างว้าว! ให้ตื่นตาตื่นใจกันในหลายจุดด้วยกัน โดยเฉพาะวิวของซุ้มต้นซากุระริมแม่น้ำมิโดริกาวะ(Midorigawa) ที่กำลังออกดอกสะพรั่งขาวอมชมพูสวยงามนั้น ถือเป็นแม่เหล็กดึงดูดชั้นดีที่สร้างสีสันความประทับใจให้กับพวกเราชาวคณะนักปั่นได้เป็นอย่างดี
วัดไทเนจิ
สำหรับกิจกรรมในวันที่ 3 นี้ เป็นการปั่นจักรยานสลับการนั่งรถเซอร์วิซ มีระยะทางรวม 85 กม.(ปั่นราว 35 กม.) ในเส้นทาง“นากาโตะ-มิเนะ-ยามากุจิ”
โดยจากโรงแรม “Yamamura Bekkan” ที่พักบรรยากาศดีชานเมืองนากาโตะ(อำเภอนากาโตะ) พวกเรามุ่งหน้าสู่“วัดไทเนจิ”(Taineiji) วัดชื่อดังคู่บ้านคู่เมืองนากาโตะ ที่หากใครมาเยือนเมืองนี้ ไม่ควรพลาดการมาเยือนที่นี้ด้วยประการทั้งปวง
วัดไทเนจิ เป็นวัดพุทธผสมนิกายโซโต(ประเภทหนึ่งของนิกายเซน) มีอายุเก่าแก่กว่า 600 ปี ภายในวัดดูร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่มีการจัดภูมิทัศน์อย่างเป็นระเบียบ มีเส้นทางเดินสัมผัสพลังธรรมชาติของแมกไม้ พร้อมทั้งมีรูปปั้นของเทพผู้พิทักษ์จำนวนมากตั้งเด่นอยู่ริมสองข้างทางเดิน ส่วนบางจุดก็เป็น“สวน(แบบ)เซ็น”ดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ซึ่งปริศนาธรรม
ขณะที่บรรยากาศโดยรวมของวัดนั้นดูสงบงาม ขรึมขลัง เปี่ยมศรัทธา เมื่อเข้ามาแล้วทำให้ใจรู้สึกสงบเยือกเย็นไม่น้อย ซึ่งหากใครต้องการสัมผัสกับวัดนี้อย่างลึกซึ้งก็สามารถมาทดลองทำสมาธิแบบเซ็นที่วัดแห่งนี้กันได้
นอกจากนี้วัดไทเนจิยังขึ้นชื่อในเรื่องการชมใบไมเปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง และการชมดอกซากุระบานในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งช่วงที่เราไปนั่นโชคดีมากๆ ซากุระที่วัดไทเนจิกำลังออกดอกบานสะพรั่งสวยงามดูน่าประทับใจ ชนิดที่ผมอยากขออาศัยเป็นลูกศิษย์วัดไทเนจิในช่วงดอกซากุระบานเป็นยิ่งนัก
อาคิโยชิได
หลังสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสริมสิริมงคล และเพลิดเพลินกับการชมดอกซากุระบานที่วัดไทเนจิกันจนจุใจ พวกเราก็ได้เวลาล่ำลาเมืองนากาโตะ ออกเดินทางต่อสู่เมือง“มิเนะ”(Mine : อำเภอมิเนะ)ทางผ่านสู่เมืองยามากุจิ ซึ่งในระหว่างทางมีความท้าทายของธรรมชาติอันน่าพิศวงให้ได้ตื่นตาตื่นใจกัน
ที่เมืองมิเนะ เราต้องปั่นจักรยานข้ามผ่านที่ราบสูง “อาคิโยชิได”(Akiyoshidai) ที่มีลักษณะภูมิประเทศแบบ“คาสต์” อันกว้างใหญ่ จนอาคิโยชิไดได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่ราบสูงแบบคาสต์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
คาสต์(Karst) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เป็นหินปูน มีน้ำฝนเป็นตัวกระทำ หินปูนเมื่อถูกน้ำฝน(ที่มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ) กระทำสะสมเป็นเวลาช้านาน จะเปลี่ยนสภาพเกิดเป็นลักษณะทางธรณีอันหลากหลาย อาทิ ภูเขาหินปูน หุบเขาลึก ถ้ำ หลุมยุบ และน้ำตก เป็นต้น ซึ่งธรรมชาติได้สร้างสรรค์ให้คาสต์ในแต่ละพื้นที่มีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป
ในบ้านเราหนึ่งในพื้นที่ที่มีลักษณะแบบคาสต์ที่โดดเด่นมากนั่นก็คือที่จังหวัดสตูล ซึ่งถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้สตูลได้รับการคัดเลือกจากยูเนสโก ให้เป็น “อุทยานธรณีโลก”(Satun UNESCO Global Geopark) แห่งแรกในเมืองไทย
ขณะที่ ที่ราบสูงอาคิโยชิไดแห่งเมืองมิเนะนั้น เป็นคาสต์ที่มีลักษณะเป็นแนวเทือกเขากว้างใหญ่ มีวิวทิวทัศน์สวยงามอลังการ ซึ่งผมเรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่า“เทือกเขาประหลาด” เพราะเป็นแนวภูเขาหญ้าโล่งโล้น(ตามธรรมชาติ) ที่มีหญ้าและต้นไม้แคระเป็นพืชพันธุ์หลัก
ตามแนวขุนเขาจะมีแนวหินปูนรูปร่างตะปุ่มตะป่ำที่เกิดจากการกระทำของน้ำฝน ขึ้นแทรกเป็นจุดชวนชมอยู่ทั่วไป ซึ่งทางการญี่ปุ่นก็ได้มีการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติอาคิโยชิไดขึ้นเพื่อดูแลพื้นที่แบบคาสต์แห่งนี้
รวมถึงมีการพัฒนาที่ราบสูงอาคิโยชิไดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เนื่องจากสถานที่แห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ประติมากรรมหินที่มีกระจายตัวอยู่ทั่วไป, วิวทิวทัศน์ของขุนเขาทุ่งหญ้าอันสวยงามตระการตา, เส้นทางศึกษาธรรมชาติอาคิโยชิได,“อาคิโยชิได ซาฟารี แลนด์” สวนสัตว์ในสภาพแวดล้อมท่ามกลางธรรมชาติ, “ถ้ำอาคิโยชิได” ถ้ำขนาดใหญ่ภายในงดงามไปด้วยหินงอกหินย้อยหลากหลายรูปแบบ
นอกจากนี้ที่ราบสูงอาคิโยชิได ยังเป็นหนึ่งในพื้นที่ปั่นจักรยานเที่ยวชมธรรมชาติที่น่าสนใจมากแห่งหนึ่งของจังหวัดยามากุจิ
ปั่นข้ามเขาประหลาด
หลังพวกเราออกตั้งต้นปั่นจักรยานกันมาตั้งแต่เมืองนากาโตะ ผ่านวิวทิวทัศน์ของท้องทุ่ง วิถีชนบท เข้าสู่เขตเมืองมิเนะ และแวะพักกินข้าวเที่ยงกันที่จุดพักรถก่อนถึงเส้นทางขึ้นที่ราบสูงอาคิโยชิได (โดยมีคุณคุณ“โนบุ” หรือ“โนบุซัง” ปั่นนำหน้า และคุณ“ซาดะ”หรือ “ซาดะซัง” ปั่นปิดท้ายเหมือนเดิม ทั้งสองคนเป็นทีมงานเจ้าหน้าที่จากการท่องเที่ยวจังหวัดยามากุจิ ที่มาทำหน้าที่เป็นไกด์กิตติมศักดิ์ พาคณะนักปั่นจากเมืองไทยออกตะลุยปั่นเที่ยวยามากุจิกันตลอดทั้งทริป)
ต่อจากนั้นเมื่อตุนพลังกันเต็มที่และพักผ่อนกันให้ข้าวพอเรียงเม็ดแล้ว ลำดับต่อไปก็เป็นการปั่นจักรยานข้ามที่ราบสูงอาคิโยชิได ในระยะทางประมาณ 10 กว่า กม. ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางปั่นจักรยานที่เจ๋งมากๆ เพราะเป็นเส้นทางปั่นจักรยานขึ้นเขาขึ้นเนินที่ไม่ชันเกินไป จึงทำให้พวกที่ไม่ใช่นักปั่นมืออาชีพ(อย่างผม)สามารถปั่นขึ้นได้ไม่ยาก
สำหรับในช่วงปั่นขึ้นเราอาจต้องออกแรงปั่นกันเหนื่อยหน่อย แต่ช่วงขาลงนี่สิ มันวิเศษมาก รถไหลลงเขาฉลุย บนนี้แม้จะโล่งโล้น แต่อากาศนั้นดีมากๆ สดชื่อเย็นสบาย แถมยังหนาวเย็นในบางช่วงจากสายลมแรงที่พัดปะทะร่าง
ในเส้นทางปั่นข้ามที่ราบสูงอาคิโยชิไดหรือที่ผมเรียกมันว่าเทือกเขาประหลาด(ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น) ทางการท่องเที่ยวจังหวัดยามากุจิ ได้พาเราไปแวะเหนื่อยกันที่“จุดชมวิว” ซึ่งบนนั้นสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ภูมิประเทศแบบคาสต์ที่เป็นแนวเทือกเขา(ที่ราบสูง)กว้างใหญ่อลังการ ตามพื้นดินมีแนวกลุ่มหินปูนเตี้ยๆรูปร่างประหลาดที่เกิดจากการกระทำของน้ำฝน ขึ้นประดับเป็นจุดชวนชมอยู่ทั่วไป
ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางอันซีนญี่ปุ่นที่ปัจจุบันยังไม่ค่อยเป็นที่รู้กันของคนไทยสักเท่าไหร่
เบปปุเบ็นเท็นอิเคะ
พูดถึงอันซีนแล้ว ในเมืองมิเนะยังมี“เบปปุเบ็นเท็นอิเคะ”(Beppubenten Ike)เป็นอันซีนญี่ปุ่นอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดแวะพักเที่ยวของชาวคณะเราในลำดับต่อไป
โดยจากที่ราบสูงอาคิโยชิไดเมื่อพวกเราปั่นไหลลงเขาอย่างสุดฟินลงมาถึงยังพื้นราบ คุณโนบุ คุณซาดะกับทีมงาน พาพวกเราออกจากเส้นทางถนนปกติมาใช้เส้นทางปั่นจักรยาน(โดยเฉพาะ) ซึ่งทางจังหวัดยามากุจิเขาได้ทำเส้นทางปั่นจักรยานแบบนี้ไว้ในหลายพื้นที่ด้วยกัน สำหรับปั่นเชื่อมระหว่างตัวเมืองต่างๆ(อำเภอต่าง) อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นเมืองจักรยานของยามากุจิได้เป็นอย่างดี
ในเส้นทางจักรยานสายนี้เราปั่นกันไปแบบสบายๆผ่านเส้นทางชนบท ชมวิวทิวทัศน์อันน่ายลสองข้างทางไปอย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่คุณซาดะจะพาชาวคณะเรามาถึงยังเบปปุเบ็นเท็นอิเคะอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เบปปุเบ็นเท็นอิเคะ เป็นบ่อน้ำผุด(บ่อน้ำซับ)ขนาดย่อมตามธรรมชาติที่เกิดจากน้ำพุใต้ดินของที่ราบสูงอาคิโยชิได บริเวณรอบข้างแวดล้อมไปด้วยแมกไม้อันร่มรื่น มีสนต้นใหญ่ยืนต้นตระหง่านเสริมแต่งองค์ประกอบให้น่าดูมากยิ่งขึ้น
บ่อน้ำแห่งนี้แม้จะมีน้ำใสแจ๋ว มองเห็นก้นบ่อ ผุดขึ้นมาทุกวัน แต่สีสันของบ่อน้ำจะเปลี่ยนไปตามแสงแดดที่สาดส่อง วันไหนที่แสงแดดดีๆจะมองเห็นเป็นสีเขียวมรกตหรือไม่ก็ฟ้าอมเขียวที่น่าดูยิ่งนัก(บ่อที่นี่ห้ามลงเล่นน้ำ)
นอกจากนี้ที่บริเวณข้างๆบ่อ ยังมีศาลเจ้า“เบปปุอิสึคุชิมะจินจะ” ซึ่งมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ในอดีตผู้ที่มาบุกเบิกอยู่อาศัยที่นี่ประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำ จึงทำการเซ่นไหว้ต่อเทพเจ้าเบ็นไซเต็ง(เทพเจ้าแห่งโชคลาภ)ขอให้พื้นที่แห่งนี้มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ต่อจากนั้นไม่นานก็เกิดมีบ่อน้ำผุดจากตาน้ำตามธรรมชาติเกิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ และบ่อก็มีน้ำไหลผุดขึ้นมาตลอดไม่เคยแห้งเหือดมาจนถึงทุกวันนี้
นั่นจึงทำให้คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเบปปุเบ็นเท็นอิเคะ เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จึงมีการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ส่วนใครที่มาเยือนที่นี่ก็มักจะรินน้ำใส่ภาชนะกลับไปดื่มกิน(จากท่อที่ต่อออกมาจากบ่อ)
ด้วยสวยใสสะอาดและมนต์เสน่ห์ความงามทำให้เบปปุเบ็นเท็นอิเคะ ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 100 ของแหล่งน้ำที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น อีกทั้งยังถูกยกให้เป็นอันซีนญี่ปุ่นที่ทางการท่องเที่ยวจังหวัดยามากุจิภูมิใจนำเสนอ เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนไทยรู้จักกันน้อยมาก ตัวผมเองก็เพิ่งรู้จักบ่อน้ำผุดสวยใสแห่งนี้เป็นครั้งแรก ขณะที่ชาวญี่ปุ่นเองนั้นก็ยังไม่ค่อยรู้จักเบปปุเบ็นเท็นอิเคะกันเท่าไหร่
หลังจากลาจากเบปปุเบ็นเท็นอิเคะ เรายังไม่ไปไหนไกล หากแต่เดินตามคุณซาดะเข้าไปในหมู่บ้านชนบทในละแวกนั้น เพื่อแวะพักจิบชา(ทีเบรก)ที่บ้าน“มาลุโตเอ็น”(Maltoen)โฮมสเตย์บรรยากาศดี ที่มีขนมโมจิฝีมือชาวบ้านญี่ปุ่น(และรสชาติพื้นบ้านญี่ปุ่น)ให้เราได้ลิ้มลอง รวมถึงมีชาญี่ปุ่นร้อนๆให้จิบแกล้มกับ“หัวไชเท้าดอง” ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า ชากับหัวไชเท้าดองมันจะเข้ากันได้อย่างกลมกล่อม ละมุนดีแท้
ยามากุจิ เมืองในดวงใจ
ช่วงบ่ายแก่ๆของวันนี้(วันที่ 3 ของการปั่นจักรยานเที่ยวยามากุจิ)
สำหรับผมหลังจากที่มีโอกาสได้ไปสัมผัสกับเมืองนี้มา แม้จะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ (เพียง 1 คืน กับ เกือบ 1 วัน)ผมก็สัมผัสได้ว่า สโลแกน“ยามากุจิ เมืองในดวงใจ” ที่ฟังดูไพเราะเสนาะหูนั้น ไม่ใช่คำกล่าวอวดอ้างสรรพคุณที่เกินเลยแต่อย่างใด....(อ่านต่อตอนหน้า)
....................................................................................................
จังหวัดยามากุจิ(Yamaguchi) ตั้งอยู่ในภูมิภาคจูโกขุุุ หรือ ชูโกกุ(Chugoku) บริเวณช่วงปลายสุดทางฝั่งตะวันตกของเกาะฮอนชู(ฮนชู : Honshu) มีทะเลโอบล้อมทั้ง 3 ด้าน มีทัศนียภาพงดงามของท้องทะเล ขุนเขา และบ้านเมือง มีอากาศเย็นสบายกำลังดี อีกทั้งยังเป็นแหล่งอาหารอร่อยชวนให้ลิ้มลอง
สำหรับทริปนี้เป็นการปั่นจักรยานเที่ยวจังหวัดยามากุจิของคณะนักปั่นจากเมืองไทยกลุ่มแรกที่ไปปั่นเที่ยวเมืองนี้(อย่างเป็นทางการ) ในระหว่างวันที่ 25-31 มี.ค. ที่ผ่านมา (6 วัน 5 คืน เดินทางคืน 25 เริ่มปั่นวันที่ 26) ซึ่งในตลอดเส้นทางมีดอกซากุระที่ปีนี้บานเร็วกว่าทุกๆปีให้ชมกันเป็นระยะๆ
Octo Cycling เป็นบริษัทที่มุ่งเชิญชวนผู้ชื่นชอบการปั่นจักรยานออกไปผจญโลกกว้างด้วยการปั่นจักรยานท่องเที่ยวสัมผัสกับสถานที่ต่างๆ ทั้งใน กทม. ในเมืองไทย อาเซียน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เอเชีย และยุโรป เป็นต้น ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2181-2088 หรือที่ www. Octocycling.com หรือ www.facebook.com/octocycling
อ่านซีรีส์ชุด "ปั่นจักรยานเที่ยวยามากุจิ เมือจักรยานในดวงใจ เปิดมุมมองใหม่ในญี่ปุ่น"
ตอน 1 ปั่นเที่ยว“ยามากุจิ”เปิดมุมมองใหม่ในญี่ปุ่น...กินโซบะย่างกระเบื้องหลังคา ตื่นตาสะพานวิวสวยต้องชมก่อนตาย
ตอน 2 วิวอย่างว้าว! ปั่นเที่ยว“ยามากุจิ”เมืองงาม...หลงรักศาลเจ้าริมทะเล หลงเสน่ห์ซากุระริมแม่น้ำ
ตอน 3 อันซีนญี่ปุ่น พิชิตหุบเขาประหลาด-บ่อน้ำผุดสุดใส สู่“ยามากุจิ”เมืองในดวงใจ
ตอน 4 “ยามากุจิ” เกียวโตฝั่งตะวันตกสวยคลาสสิก จุดดักฝันของนักปั่นจักรยาน
ตอนจบ เปิบ“ปลาปักเป้า”อร่อยเสี่ยงตาย...บ๊ายบาย“ยามากุจิ”เมืองจักรยานในดวงใจ
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager