โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
เมืองดานัง, ฮอยอัน ประเทศเวียดนาม
นี่เป็นอีกครั้งที่ผมกลับมาเยือน 2 เมืองนี้
แต่เป็นการมาเยือนในบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากทุกๆครั้งที่ผ่านมา
เนื่องจากในทริปนี้ ผมเลือกมาสัมผัสมนต์เสน่ห์ของเวียดนาม(กลาง)ด้วยการปั่นจักรยานท่องเที่ยว ในเส้นทาง “ดานัง-ลังโก-ฮอยอัน-ดานัง” (4 วัน 3 คืน) ซึ่งทางบริษัท “Octo Cycling” ได้จัดกิจกรรมเชิญชวนผู้รักการปั่นจักรยาน ทั้งมืออาชีพ มือสมัครเล่น และมือใหม่ ให้ไปปั่นจักรยานท่องเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ เปิดมุมมองใหม่ ใกล้ชิดธรรมชาติ สัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรม ในบรรยากาศที่แตกต่าง กินอร่อย-นอนสบาย ที่สำคัญคือเน้นในเรื่องความปลอดภัยเป็นยิ่งยวด
หายเวิน-ดานัง
สำหรับในวันแรกเราออกสตาร์ทสบายๆด้วยการปั่นชิลล์ๆลงจากยอดเขาหายเวิน(Hai Van) มุ่งหน้าไปตามถนนสาย(เก่า)ดานัง-เว้ สู่เมืองลังโก(Langco) เมืองริมทะเลบรรยากาศดีที่ขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารทะเลสดใหม่ และมี“ทะเลสาบลังโก”อันสวยงามกว้างไกลเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อ
มาถึงในเช้าวันที่ 2 จากเมืองลังโก(จังหวัดเถื่อเทียนเว้) เราเดินทางด้วยรถยนต์ย้อนกลับไปในเส้นทางเดิมมุ่งหน้าสู่ยอดเขาหายเวิน เพื่อออกตั้งต้นปั่นลงเขากันอีกครั้ง ณ บริเวณจุดชมวิวบนยอดเขาหายเวิน ซึ่งเป็นจุดออกสตาร์ทเดียวกับเมื่อวันวาน เพียงแต่วันนี้เราจะปั่นลงเขาย้อนกลับไปในเส้นทางเว้-ดานัง และไปสิ้นสุดหยุดพักค้าง(2 คืน)กันที่เมือง“ฮอยอัน” เมืองมรดกโลกเลื่องชื่อ
เช้าวันนี้ทางฝั่งเว้(จังหวัดเถื่อเทียนเว้)มีฝนโปรยสายเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคต่อการปั่นของเรา เพราะหลังพวกเราปั่นลงเขาไปได้เพียง กม.กว่าๆ สายฝนก็หายไปแต่ก็ยังคงไว้ด้วยบรรยากาศฟ้ามัวหม่นชวนให้คนใจหงอยเศร้า แต่ว่าเหมาะต่อการปั่นจักรยานดีแท้ เพราะอากาศดี เย็นสบาย
สำหรับการปั่นลงเขาในวันนี้ เราใช้สูตรเดียวกับเมื่อวานคือ ค่อยๆปั่นลงเขาแบบไม่เร่งรีบ ตรงไหนวิวสวยก็แวะพักถ่ายรูป เนื่องจากถนนสายนี้เป็นหนึ่งในเส้นทางที่มีวิวทิวทัศน์สวยเป็นอันดับต้นๆของเวียดนาม ที่มีทั้งวิวทิวทัศน์ของขุนเขาป่าไม้อันเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำ และวิวของท้องทะเล เวิ้งอ่าวอันสวยงามกว้างไกลให้ยลกัน
ส่วนเมื่อผ่านโค้งแล้วโค้งเล่าลงจากยอดเขามาสู่พื้นราบ เราก็ได้สัมผัสกับภาพบรรยากาศวิถีชนบทชานเมืองใหญ่(ดานัง) ไม่ว่าจะเป็น ภาพบรรยากาศการทำไร่ทำนา การทำประมงพื้นบ้านในแม่น้ำบริเวณปากอ่าว หรือภาพน่ารักๆของเด็กๆที่หลายคนออกมาร่วมแจมปั่นจักรยานกับพวกเราในช่วงระยะสั้นๆ
หลังปั่นข้ามสะพานปากอ่าวมาอีกไม่นาน พวกเราก็เข้ามาถึงยังเขตเมืองดานัง การปั่นในช่วงนี้มีบรรยากาศและรสชาติที่ชวนตื่นเต้นไม่น้อย เนื่องจากในตัวดานังมีรถราวิ่งกันขวักไขว่พลุกพล่าน แต่นั่นไม่น่าระทึกใจเท่ากับ “เสียงแตร” ที่คนเวียดนามบีบกันดังสนั่นลั่นถนน ปู๊นๆ ป๊านๆ
ที่บ้านเราหากมีการบีบแตรกันบ้าระห่ำแบบนี้ คงมีเรื่องมีราวทะเลาะวิวาท ชกต่อย ฟาดปาก หรือหนักถึงขั้นงัดปืนมายิงกันเกิดเป็นโศกนาฏกรรมบนท้องถนน แต่สำหรับที่เวียดนามการบีบแตรให้กัน เป็นดังการส่งสัญญาณถึงกันว่ามีคนขับรถตามมาข้างหลัง หรือเป็นการเตือนว่าคนข้างหลังกำลังจะขับแซงหน้าเราไป ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องปกติและเป็นเอกลักษณ์ในการขับขี่บนท้องถนนของคนเวียดนาม จนมีบางคนกล่าวไว้ว่า
“ใครมาเวียดนามถ้าไม่ได้ยินเสียงแตร เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงเวียดนาม”
ดานัง-ฮอยอัน
เมืองดานัง(Danang) หรือด่าหนัง เป็นเมืองท่าศูนย์กลางของเวียดนามกลาง และเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ดานังยังเป็นฮับในการเชื่อมต่อไปยัง 2 เมืองมรดกโลก สำคัญคือเว้ และฮอยอันที่คณะเราจะปั่นกันต่อไปในช่วงบ่ายของวันนี้
สำหรับเจตนาที่พวกเราปั่นเข้าเมืองดานัง แม้จะรู้ว่าต้องเผชิญกับรถราอันแสนพลุกพล่าน โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่วิ่งกันขวักไขว่และเดาใจยาก(บางคันอยากจะเลี้ยวก็เลี้ยว บางคันอยากจะจอดก็จอด บางคันอยากจะออกซ้าย-ขวาก็ออก) นั่นก็เพราะพวกเราจะมาเที่ยวชม “โบสถ์คริสต์” อีกหนึ่งสิ่งก่อสร้างคู่เมืองดานัง
โบสถ์คริสต์ หรือ “โบสถ์คริสต์สีชมพู”สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2466 ในสมัยที่ฝรั่งเศสปกครองเวียดนาม โบสถ์หลังนี้โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปสไตล์โกธิคมีสีชมพูอ่อน รูปทรงสูงแต่งดูสมส่วน และมีลวดลายประดับตามจุดต่างๆอย่างละเอียดสวยงาม ถือเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองดานัง ที่แต่ละวันมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมความงามของโบสถ์คริสต์แห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก
จากโบสถ์คริสต์ ซันนี่(Sunny) หรือ “ตะวัน” ไกด์ชาวเวียดนามที่มาพาคณะเราเที่ยวในทริปนี้ พาพวกเราไปกินกวยจั๊บญวนเจ้าอร่อยของเมืองดานังที่ร้าน“บา เซน”(Ba SEN) ในบรรยากาศร้านตึกแถว นั่งกินบนม้านั่งยองๆและโต๊ะเตี้ยๆสไตล์เวียดนาม กับกวยจั๊บญวนชามพิเศษ ที่จัดกันมาเต็มด้วยเครื่องปรุงหลากหลาย เป็นความอร่อยมื้อเที่ยงตุนพลัง ก่อนที่จะต้องออกแรงปั่นต่ออีกประมาณ 30 กม.มุ่งสู่เมืองมรดกโลกในช่วงครึ่งวันบ่ายต่อจากนี้
เมื่ออิ่มหนำพักผ่อนกันสักเล็กน้อยพอให้อาหารย่อย คณะเราปั่นข้าม“สะพานมังกร”(Dragon Bridge)ที่สร้างทอดตัวข้ามแม่น้ำฮันในใจกลางเมืองดานัง
สะพานมังกรเป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่นำโครงสร้างวิศวกรรมของโครงโค้งเหล็กมาประยุกต์ทำเป็นมังกร มีทั้งส่วนตัว ส่วนหาง และส่วนหัว ถือเป็นจุดท่องเที่ยวและสัญลักษณ์แห่งใหม่ของเมืองดานัง (เพราะเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปี 2555)
หลังปั่นข้ามสะพานมังกร พวกเรามุ่งหน้าออกนอกเมืองดานังปั่นไปในเส้นทางสายเลาะเลียบทะเล มุ่งหน้าสู่เมืองฮอยอัน สถานที่ไฮไลท์สำคัญของเราในทริปนี้
ในเส้นทางสายนี้ผมได้เห็นถึงพัฒนาของเมืองดานังที่กำลังโตวันโตคืน มีการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน โรงแรม และที่พักจำนวนมาก เรียงรายไปตามแนวถนนเลียบทะเล นอกจากนี้ยังมีการจัดระเบียบปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณริมทะเลเสียใหม่ แลดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบสวยงาม ซึ่งไกด์ตะวันบอกว่า ผลจากการพัฒนาเมือง ส่งผลให้ดานังถูกยกให้เป็นเมืองน่าอยู่อันดับหนึ่งของเวียดนามในปัจจุบัน ถือเป็นการพัฒนาเมืองที่มาถูกทิศถูกทางและได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนคนเวียดนามกันเป็นจำนวนมาก
จากดานังเราปั่นเข้าสู่เขตจังหวัดกว่างนามอันเป็นที่ตั้งของเมืองมรดกโลกฮอยอัน โดยในช่วงท้ายก่อนเข้าสู่เขตเมืองฮอยอัน พวกเราแวะถ่ายรูปกันที่หาดเล็กๆสงบๆ แต่ว่ามีแนวชายหาดที่สวยงาม อีกทั้งยังมีพร็อพเป็น“เรือกระด้ง”ของชาวประมงพื้นบ้านเวียดนาม
เรือกระด้งเวียดนามเป็นเรือทรงกลมผ่าซีก(คล้ายฝาชีบ้านเรา) สานด้วยไม้ไผ่ เคลือบด้วยน้ำมันสน กันน้ำเข้า เดิมเป็นเรือที่ชาวประมงพื้นบ้านเวียดนามใช้ออกหาปลาบริเวณชายฝั่ง และเป็นเรือที่ใช้ขนถ่าน(ทอน)สิ่งของจากเรือใหญ่กลางทะเลเข้าสู่ริมฝั่ง
ส่วนปัจจุบันชาวเวียดนามก็ได้เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้สอยให้กับเรือกระด้ง คือนำมาใช้เป็นเรือบริการนำเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยว หรือให้นักท่องเที่ยวเช่าเพื่อลอยเล่นโต้คลื่นในทะเล ซึ่งเมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่ที่บ้านเราในปี 2544 เวียดนามก็ได้ส่งเรือกระด้งมาช่วยผู้ประสบภัยนับเป็นร้อยๆลำเลยทีเดียว
ฮอยอัน ฉันรักเธอ
จากริมหาดที่ไปแวะถ่ายรูป ทั้งรูปหาดและรูปเรือกระด้ง พวกเราปั่นต่อไปอีกไม่นานก็มาถึงยังเมืองเก่าฮอยอันหรือเมืองมรดกโลกฮอยอันในช่วงเย็นย่ำของวันที่ 2 นี้
เมืองฮอยอัน (Hoi An) หรือ “โฮย อาน” ตั้งอยู่ในเขตจังหวัด“กว่างนาม” (อยู่ห่างจากเมืองดานังประมาณ 30 กม.) ในอดีตฮอยอันเคยเป็นหนึ่งในเมืองท่าสำคัญแห่งอุษาคเนย์(เอเชียอาคเนย์) เนื่องจากเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำ“ทูโบน” ที่เป็นเส้นทางหลักในการเดินเรือเข้า-ออก จากเมืองฮอยอันสู่ท้องทะเล
สมัยนั้นฮอยอันเป็นเมืองที่หัวกะไดมาแห้ง เพราะมีเรือบรรทุกสินค้ามากมายจาก ทั้งจากชาติตะวันตก คือ โปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ ฝรั่งเศส และจากชาติในเอเชียคือ จีน ญี่ปุ่น เดินทางเข้ามาค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้าข้าวของต่างๆที่ฮอยอันกันเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมตามมา มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันออกกับตะวันตกที่ยังคงตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
มาในวันนี้แม้ความสำคัญในฐานะเมืองท่าจะหมดไป(ถูกแทนที่ด้วยเมืองดานัง) แต่ฮอยอันกลับมีความสำคัญสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่ในฐานะ“เมืองมรดกโลก” ซึ่งองค์การยูเนสโก้ได้ประกาศให้เมืองเก่าฮอยอันเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ.2542(ค.ศ.1999) ด้วยความที่ฮอยอันยังคงไว้ด้วยวิถีวัฒนธรรมอันเข้มแข็ง โดยเฉพาะการอนุรักษ์อาคารบ้านเรือนเก่าแก่ในสไตล์ตะวันตกผสมตะวันออกไว้ได้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น ที่นักเดินทางจากทั่วโลกมากมายต่างถวิลหาอยากจะมาท่องเที่ยวในเมืองมรดกโลกสุดคลาสสิกแห่งนี้
ด้วยมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นและดึงดูดของฮอยอัน ทางบริษัท Octo Cycling ผู้จัดทริปปั่นจักรยานตะลุยเวียดนามกลาง จึงจัดโปรแกรมให้คณะนักปั่นชาวไทยนอนที่เมืองฮอยอันถึง 2 คืนด้วยกัน(จากทริป 4 วัน 3 คืน) เพื่อให้พวกเราได้สัมผัสกับเมืองฮอยอันกันอย่างจุใจทั้งในส่วนของเมืองเก่ามรดกโลก
รวมถึงให้เราได้สัมผัสมนต์เสน่ห์นอกเมืองมรดกโลกผ่านการปั่นจักรยาน ที่ถือเป็นดังอันซีนฮอยอัน ซึ่งคนไทยหลายๆคนเมือไปเยือนเมืองนี้แล้วเกิดความรู้สึกหลงรัก ประทับใจ ต่างก็มักจะพูดถึงฮอยอันตามชื่อละครชื่อดังว่า
"ฮอยอัน ฉันรักเธอ"...(อ่านต่อตอนหน้า)
**************************************************
Octo Cycling เป็นบริษัทที่มุ่งเชิญชวนผู้ชื่นชอบการปั่นจักรยานออกไปผจญโลกกว้างด้วยการปั่นจักรยานท่องเที่ยวสัมผัสกับสถานที่ต่างๆ ทั้งใน กทม. ในเมืองไทย อาเซียน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เอเชีย และยุโรป เป็นต้น ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2181-2088 หรือที่ www. Octocycling.com หรือ www.facebook.com/octocycling
******************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
เมืองดานัง, ฮอยอัน ประเทศเวียดนาม
นี่เป็นอีกครั้งที่ผมกลับมาเยือน 2 เมืองนี้
แต่เป็นการมาเยือนในบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากทุกๆครั้งที่ผ่านมา
เนื่องจากในทริปนี้ ผมเลือกมาสัมผัสมนต์เสน่ห์ของเวียดนาม(กลาง)ด้วยการปั่นจักรยานท่องเที่ยว ในเส้นทาง “ดานัง-ลังโก-ฮอยอัน-ดานัง” (4 วัน 3 คืน) ซึ่งทางบริษัท “Octo Cycling” ได้จัดกิจกรรมเชิญชวนผู้รักการปั่นจักรยาน ทั้งมืออาชีพ มือสมัครเล่น และมือใหม่ ให้ไปปั่นจักรยานท่องเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ เปิดมุมมองใหม่ ใกล้ชิดธรรมชาติ สัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรม ในบรรยากาศที่แตกต่าง กินอร่อย-นอนสบาย ที่สำคัญคือเน้นในเรื่องความปลอดภัยเป็นยิ่งยวด
หายเวิน-ดานัง
สำหรับในวันแรกเราออกสตาร์ทสบายๆด้วยการปั่นชิลล์ๆลงจากยอดเขาหายเวิน(Hai Van) มุ่งหน้าไปตามถนนสาย(เก่า)ดานัง-เว้ สู่เมืองลังโก(Langco) เมืองริมทะเลบรรยากาศดีที่ขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารทะเลสดใหม่ และมี“ทะเลสาบลังโก”อันสวยงามกว้างไกลเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อ
มาถึงในเช้าวันที่ 2 จากเมืองลังโก(จังหวัดเถื่อเทียนเว้) เราเดินทางด้วยรถยนต์ย้อนกลับไปในเส้นทางเดิมมุ่งหน้าสู่ยอดเขาหายเวิน เพื่อออกตั้งต้นปั่นลงเขากันอีกครั้ง ณ บริเวณจุดชมวิวบนยอดเขาหายเวิน ซึ่งเป็นจุดออกสตาร์ทเดียวกับเมื่อวันวาน เพียงแต่วันนี้เราจะปั่นลงเขาย้อนกลับไปในเส้นทางเว้-ดานัง และไปสิ้นสุดหยุดพักค้าง(2 คืน)กันที่เมือง“ฮอยอัน” เมืองมรดกโลกเลื่องชื่อ
เช้าวันนี้ทางฝั่งเว้(จังหวัดเถื่อเทียนเว้)มีฝนโปรยสายเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคต่อการปั่นของเรา เพราะหลังพวกเราปั่นลงเขาไปได้เพียง กม.กว่าๆ สายฝนก็หายไปแต่ก็ยังคงไว้ด้วยบรรยากาศฟ้ามัวหม่นชวนให้คนใจหงอยเศร้า แต่ว่าเหมาะต่อการปั่นจักรยานดีแท้ เพราะอากาศดี เย็นสบาย
สำหรับการปั่นลงเขาในวันนี้ เราใช้สูตรเดียวกับเมื่อวานคือ ค่อยๆปั่นลงเขาแบบไม่เร่งรีบ ตรงไหนวิวสวยก็แวะพักถ่ายรูป เนื่องจากถนนสายนี้เป็นหนึ่งในเส้นทางที่มีวิวทิวทัศน์สวยเป็นอันดับต้นๆของเวียดนาม ที่มีทั้งวิวทิวทัศน์ของขุนเขาป่าไม้อันเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำ และวิวของท้องทะเล เวิ้งอ่าวอันสวยงามกว้างไกลให้ยลกัน
ส่วนเมื่อผ่านโค้งแล้วโค้งเล่าลงจากยอดเขามาสู่พื้นราบ เราก็ได้สัมผัสกับภาพบรรยากาศวิถีชนบทชานเมืองใหญ่(ดานัง) ไม่ว่าจะเป็น ภาพบรรยากาศการทำไร่ทำนา การทำประมงพื้นบ้านในแม่น้ำบริเวณปากอ่าว หรือภาพน่ารักๆของเด็กๆที่หลายคนออกมาร่วมแจมปั่นจักรยานกับพวกเราในช่วงระยะสั้นๆ
หลังปั่นข้ามสะพานปากอ่าวมาอีกไม่นาน พวกเราก็เข้ามาถึงยังเขตเมืองดานัง การปั่นในช่วงนี้มีบรรยากาศและรสชาติที่ชวนตื่นเต้นไม่น้อย เนื่องจากในตัวดานังมีรถราวิ่งกันขวักไขว่พลุกพล่าน แต่นั่นไม่น่าระทึกใจเท่ากับ “เสียงแตร” ที่คนเวียดนามบีบกันดังสนั่นลั่นถนน ปู๊นๆ ป๊านๆ
ที่บ้านเราหากมีการบีบแตรกันบ้าระห่ำแบบนี้ คงมีเรื่องมีราวทะเลาะวิวาท ชกต่อย ฟาดปาก หรือหนักถึงขั้นงัดปืนมายิงกันเกิดเป็นโศกนาฏกรรมบนท้องถนน แต่สำหรับที่เวียดนามการบีบแตรให้กัน เป็นดังการส่งสัญญาณถึงกันว่ามีคนขับรถตามมาข้างหลัง หรือเป็นการเตือนว่าคนข้างหลังกำลังจะขับแซงหน้าเราไป ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องปกติและเป็นเอกลักษณ์ในการขับขี่บนท้องถนนของคนเวียดนาม จนมีบางคนกล่าวไว้ว่า
“ใครมาเวียดนามถ้าไม่ได้ยินเสียงแตร เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงเวียดนาม”
ดานัง-ฮอยอัน
เมืองดานัง(Danang) หรือด่าหนัง เป็นเมืองท่าศูนย์กลางของเวียดนามกลาง และเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ดานังยังเป็นฮับในการเชื่อมต่อไปยัง 2 เมืองมรดกโลก สำคัญคือเว้ และฮอยอันที่คณะเราจะปั่นกันต่อไปในช่วงบ่ายของวันนี้
สำหรับเจตนาที่พวกเราปั่นเข้าเมืองดานัง แม้จะรู้ว่าต้องเผชิญกับรถราอันแสนพลุกพล่าน โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่วิ่งกันขวักไขว่และเดาใจยาก(บางคันอยากจะเลี้ยวก็เลี้ยว บางคันอยากจะจอดก็จอด บางคันอยากจะออกซ้าย-ขวาก็ออก) นั่นก็เพราะพวกเราจะมาเที่ยวชม “โบสถ์คริสต์” อีกหนึ่งสิ่งก่อสร้างคู่เมืองดานัง
โบสถ์คริสต์ หรือ “โบสถ์คริสต์สีชมพู”สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2466 ในสมัยที่ฝรั่งเศสปกครองเวียดนาม โบสถ์หลังนี้โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปสไตล์โกธิคมีสีชมพูอ่อน รูปทรงสูงแต่งดูสมส่วน และมีลวดลายประดับตามจุดต่างๆอย่างละเอียดสวยงาม ถือเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองดานัง ที่แต่ละวันมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมความงามของโบสถ์คริสต์แห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก
จากโบสถ์คริสต์ ซันนี่(Sunny) หรือ “ตะวัน” ไกด์ชาวเวียดนามที่มาพาคณะเราเที่ยวในทริปนี้ พาพวกเราไปกินกวยจั๊บญวนเจ้าอร่อยของเมืองดานังที่ร้าน“บา เซน”(Ba SEN) ในบรรยากาศร้านตึกแถว นั่งกินบนม้านั่งยองๆและโต๊ะเตี้ยๆสไตล์เวียดนาม กับกวยจั๊บญวนชามพิเศษ ที่จัดกันมาเต็มด้วยเครื่องปรุงหลากหลาย เป็นความอร่อยมื้อเที่ยงตุนพลัง ก่อนที่จะต้องออกแรงปั่นต่ออีกประมาณ 30 กม.มุ่งสู่เมืองมรดกโลกในช่วงครึ่งวันบ่ายต่อจากนี้
เมื่ออิ่มหนำพักผ่อนกันสักเล็กน้อยพอให้อาหารย่อย คณะเราปั่นข้าม“สะพานมังกร”(Dragon Bridge)ที่สร้างทอดตัวข้ามแม่น้ำฮันในใจกลางเมืองดานัง
สะพานมังกรเป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่นำโครงสร้างวิศวกรรมของโครงโค้งเหล็กมาประยุกต์ทำเป็นมังกร มีทั้งส่วนตัว ส่วนหาง และส่วนหัว ถือเป็นจุดท่องเที่ยวและสัญลักษณ์แห่งใหม่ของเมืองดานัง (เพราะเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปี 2555)
หลังปั่นข้ามสะพานมังกร พวกเรามุ่งหน้าออกนอกเมืองดานังปั่นไปในเส้นทางสายเลาะเลียบทะเล มุ่งหน้าสู่เมืองฮอยอัน สถานที่ไฮไลท์สำคัญของเราในทริปนี้
ในเส้นทางสายนี้ผมได้เห็นถึงพัฒนาของเมืองดานังที่กำลังโตวันโตคืน มีการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน โรงแรม และที่พักจำนวนมาก เรียงรายไปตามแนวถนนเลียบทะเล นอกจากนี้ยังมีการจัดระเบียบปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณริมทะเลเสียใหม่ แลดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบสวยงาม ซึ่งไกด์ตะวันบอกว่า ผลจากการพัฒนาเมือง ส่งผลให้ดานังถูกยกให้เป็นเมืองน่าอยู่อันดับหนึ่งของเวียดนามในปัจจุบัน ถือเป็นการพัฒนาเมืองที่มาถูกทิศถูกทางและได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนคนเวียดนามกันเป็นจำนวนมาก
จากดานังเราปั่นเข้าสู่เขตจังหวัดกว่างนามอันเป็นที่ตั้งของเมืองมรดกโลกฮอยอัน โดยในช่วงท้ายก่อนเข้าสู่เขตเมืองฮอยอัน พวกเราแวะถ่ายรูปกันที่หาดเล็กๆสงบๆ แต่ว่ามีแนวชายหาดที่สวยงาม อีกทั้งยังมีพร็อพเป็น“เรือกระด้ง”ของชาวประมงพื้นบ้านเวียดนาม
เรือกระด้งเวียดนามเป็นเรือทรงกลมผ่าซีก(คล้ายฝาชีบ้านเรา) สานด้วยไม้ไผ่ เคลือบด้วยน้ำมันสน กันน้ำเข้า เดิมเป็นเรือที่ชาวประมงพื้นบ้านเวียดนามใช้ออกหาปลาบริเวณชายฝั่ง และเป็นเรือที่ใช้ขนถ่าน(ทอน)สิ่งของจากเรือใหญ่กลางทะเลเข้าสู่ริมฝั่ง
ส่วนปัจจุบันชาวเวียดนามก็ได้เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้สอยให้กับเรือกระด้ง คือนำมาใช้เป็นเรือบริการนำเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยว หรือให้นักท่องเที่ยวเช่าเพื่อลอยเล่นโต้คลื่นในทะเล ซึ่งเมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่ที่บ้านเราในปี 2544 เวียดนามก็ได้ส่งเรือกระด้งมาช่วยผู้ประสบภัยนับเป็นร้อยๆลำเลยทีเดียว
ฮอยอัน ฉันรักเธอ
จากริมหาดที่ไปแวะถ่ายรูป ทั้งรูปหาดและรูปเรือกระด้ง พวกเราปั่นต่อไปอีกไม่นานก็มาถึงยังเมืองเก่าฮอยอันหรือเมืองมรดกโลกฮอยอันในช่วงเย็นย่ำของวันที่ 2 นี้
เมืองฮอยอัน (Hoi An) หรือ “โฮย อาน” ตั้งอยู่ในเขตจังหวัด“กว่างนาม” (อยู่ห่างจากเมืองดานังประมาณ 30 กม.) ในอดีตฮอยอันเคยเป็นหนึ่งในเมืองท่าสำคัญแห่งอุษาคเนย์(เอเชียอาคเนย์) เนื่องจากเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำ“ทูโบน” ที่เป็นเส้นทางหลักในการเดินเรือเข้า-ออก จากเมืองฮอยอันสู่ท้องทะเล
สมัยนั้นฮอยอันเป็นเมืองที่หัวกะไดมาแห้ง เพราะมีเรือบรรทุกสินค้ามากมายจาก ทั้งจากชาติตะวันตก คือ โปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ ฝรั่งเศส และจากชาติในเอเชียคือ จีน ญี่ปุ่น เดินทางเข้ามาค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้าข้าวของต่างๆที่ฮอยอันกันเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมตามมา มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันออกกับตะวันตกที่ยังคงตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
มาในวันนี้แม้ความสำคัญในฐานะเมืองท่าจะหมดไป(ถูกแทนที่ด้วยเมืองดานัง) แต่ฮอยอันกลับมีความสำคัญสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่ในฐานะ“เมืองมรดกโลก” ซึ่งองค์การยูเนสโก้ได้ประกาศให้เมืองเก่าฮอยอันเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ.2542(ค.ศ.1999) ด้วยความที่ฮอยอันยังคงไว้ด้วยวิถีวัฒนธรรมอันเข้มแข็ง โดยเฉพาะการอนุรักษ์อาคารบ้านเรือนเก่าแก่ในสไตล์ตะวันตกผสมตะวันออกไว้ได้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น ที่นักเดินทางจากทั่วโลกมากมายต่างถวิลหาอยากจะมาท่องเที่ยวในเมืองมรดกโลกสุดคลาสสิกแห่งนี้
ด้วยมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นและดึงดูดของฮอยอัน ทางบริษัท Octo Cycling ผู้จัดทริปปั่นจักรยานตะลุยเวียดนามกลาง จึงจัดโปรแกรมให้คณะนักปั่นชาวไทยนอนที่เมืองฮอยอันถึง 2 คืนด้วยกัน(จากทริป 4 วัน 3 คืน) เพื่อให้พวกเราได้สัมผัสกับเมืองฮอยอันกันอย่างจุใจทั้งในส่วนของเมืองเก่ามรดกโลก
รวมถึงให้เราได้สัมผัสมนต์เสน่ห์นอกเมืองมรดกโลกผ่านการปั่นจักรยาน ที่ถือเป็นดังอันซีนฮอยอัน ซึ่งคนไทยหลายๆคนเมือไปเยือนเมืองนี้แล้วเกิดความรู้สึกหลงรัก ประทับใจ ต่างก็มักจะพูดถึงฮอยอันตามชื่อละครชื่อดังว่า
"ฮอยอัน ฉันรักเธอ"...(อ่านต่อตอนหน้า)
**************************************************
Octo Cycling เป็นบริษัทที่มุ่งเชิญชวนผู้ชื่นชอบการปั่นจักรยานออกไปผจญโลกกว้างด้วยการปั่นจักรยานท่องเที่ยวสัมผัสกับสถานที่ต่างๆ ทั้งใน กทม. ในเมืองไทย อาเซียน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เอเชีย และยุโรป เป็นต้น ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2181-2088 หรือที่ www. Octocycling.com หรือ www.facebook.com/octocycling
******************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager