โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
“ฮอยอันฉันรักเธอ”
ละครแนวโรแมนติก-ดราม่า ของบ้านเรา(ฉายปี พ.ศ. 2548) ที่ทรงอิทธิพลต่อนักท่องเที่ยวชาวไทยไม่น้อย เพราะมันได้กลายเป็นคำพูดยอดฮิตของนักท่องเที่ยวบ้านเราไปโดยปริยาย
เวลาที่นักท่องเที่ยวไทยหลายๆคนไปเที่ยวฮอยอันต่างก็มักจะพูดกันว่า
“ฮอยอันฉันรักเธอ”
ฮอยอัน เมืองมรดกโลก
เมืองฮอยอัน (Hoi An) หรือ “โฮย อาน”(ในภาษาเวียดนาม) ตั้งอยู่ในจังหวัด“กว่างนาม”(Quang Nam) ประเทศเวียดนาม (อยู่ห่างจากเมืองดานังประมาณ 30 กม.)
ในอดีตช่วงศตวรรษที่ 15-16 สมัยอาณาจักรจามปา ฮอยอันมีความเจริญรุ่งเรืองมากในฐานะเมืองท่าสำคัญแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเป็นเมืองริมทะเล(อยู่ห่างเข้ามาจากชายฝั่งทะเลเพียงไม่กี่กิโลเมตร) ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำ“ทูโบน” ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการเดินเรือเข้า-ออก จากเมืองฮอยอันสู่ท้องทะเล
ต่อมาภายหลังแม้ความสำคัญในฐานะเมืองท่าของฮอยอันจะหมดไป เนื่องจากแม่น้ำทูโบนตื้นเขิน เรือเดินทะเลไม่สามารถเดินทางเข้าถึง(จึงถูกแทนที่ด้วยเมืองท่าแห่งใหม่คือดานังมาจนถึงปัจจุบัน) แต่ด้วยมรดกทางวัฒนธรรมอันเข้มแข็งของชาวฮอยอันที่ยังดำรงคงอยู่นับจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะการอนุรักษ์ รักษาสภาพอาคารบ้านเรือนสถาปัตยกรรมเก่าแก่อันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองฮอยอันไว้เป็นอย่างดี องค์การยูเนสโก้ จึงประกาศให้เมืองเก่าฮอยอันเป็น“มรดกโลกทางวัฒนธรรม”ในปี พ.ศ.2542(ค.ศ.1999) ส่งผลให้ฮอยอันกลายเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวสำคัญของเวียดนามนับตั้งแต่นั้นมา
ฮอยอัน ฉันรักเธอ
สำหรับมนต์เสน่ห์ของเมืองมรดกโลกฮอยอันที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลกให้มาเยือนแล้วหลงรัก ประทับใจอยู่มิรู้เบื่อ ก็คือ บริเวณ“เมืองเก่าฮอยอัน” ที่ได้ชื่อว่าเป็น“มรดกโลกมีชีวิต” ซึ่งที่นี่เราจะได้พบกับอาคารบ้านเรือนสีเหลืองมัสตาร์ดอันสวยงามอร่ามตา ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างตะวันตก(ในสไตล์โคโลเนียล)กับตะวันออก(จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม)เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว
ในเขตเมืองเก่า(และบริเวณนอกเมือง) วันนี้ชาวบ้านเวียดนามเกือบทั้งหมด ต่างหันมาทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น เปิดร้านค้า ร้านขายอาหาร ร้านกาแฟ-เครื่องดื่ม อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ แกลเลอรี่ ร้านขายของที่ระลึก ที่มีสินค้าสารพัดสารพัน ให้เลือกซื้อเลือกหา
ด้านใครที่ชื่นชอบด้านถ่ายรูปทั้งถ่ายรูปสถานที่ท่องเที่ยว สถาปัตยกรรม ภาพวิถีชีวิต ภาพแคนดิต หรือผู้ที่นิยมเซลฟี่ วีฟี่ ถ่ายตัวเองและถ่ายกลุ่มเพื่อนพ้อง ในเขตเมืองเก่าฮอยอันมีมุมฮิปๆเท่ๆ มากมายหลากหลายให้เลือกถ่ายภาพกันมือเป็นระวิง ทั้งมุมสไตล์คลาสสิก สไตล์วินเทจ และสไตล์ร่วมสมัยสุดชิคของร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านเก๋ๆที่มีอยู่ทั่วไป
สำหรับจุดท่องเที่ยวไฮไลท์เด่นๆในเขตเมืองเก่ามรดกโลกท่ามกลางบรรยากาศของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่อันสวยงามนั้น ได้แก่ “สะพานญี่ปุ่น” หนึ่งในสัญลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองฮอยอัน, “สมาคมชาวจีนฟุกเกี๋ยน” งานสถาปัตยกรรมจีนอันงดงาม ภายในมีบรรดาเทพเจ้าต่างๆให้สักการบูชา,“อนุสาวรีย์ Kazik” ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่อาจารย์ Kazik (ชื่อเต็ม Kazimierz Kwiatkowsky : ค.ศ. 2487-2540) บุคคลสำคัญที่ผลักดันให้ฮอยอัน(และเมืองเว้)เป็นมรดกโลกอันเลื่องชื่อ
นอกจากนี้ก็ยังมี“บ้านโบราณ” ที่มีให้ชมกันหลายหลัง อาทิ บ้านเลขที่ 77 บนถนนตรันฝู(Tran Phu)ที่เป็นบ้านเก่าของชาวจีน ภายในใช้เครื่องไม้ประดับตกแต่งอย่างงดงาม, บ้านเลขที่ 09 บนถนนเหวียน ไท ฮอค (Nguyen Thai Hoc) ที่เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ด้านหน้ามีเวทีการแสดง(เป็นรอบๆ) มีพื้นที่เปิดโล่งตรงกลางบ้านเปิดเป็นร้านกาแฟ, บ้านเลขที่ 101 บนถนนเหวียน ไท ฮอค บ้านโบราณที่ภายบ้านในยังคงรักษาสภาพดั้งเดิมไว้อย่างดี มีความเก่าแก่คลาสสิกสวยงาม โดดเด่นไปด้วยเครื่องเรือนไม้ประดับมุกเก่าแก่ และสิ่งน่าสนใจอีกหลากหลาย
ฮอยอัน ราตรีแห่งแสงสี
ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล
เป็นคำที่ใช้ได้ดีกับเมืองฮอยอันยามค่ำคืน เพราะเมื่อความมืดคืบคลานมาเยือน ฮอยอันจะกลายเป็นเมืองแห่งแสงสีจากบรรดาร้านรวงต่างๆที่มีการเปิดประดับไฟตกแต่ง โดยเฉพาะไฮไลท์คือการประดับตกแต่งด้วยโคมไฟหลากสีสันหลายรูปแบบที่แขวนอยู่เต็มไปทั่วทั้งเมือง เพื่อแสดงให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสมนต์เสน่ห์ความงดงามของ “ฮอยอัน เมืองแห่งโคมไฟ” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองๆนี้
ส่วนที่บริเวณท้ายเขตเมืองเก่าริมฝั่งแม่น้ำทูโบน ฟากหนึ่งจะมีแผงนั่ง(ยอง)กินอาหารริมน้ำไสไตล์เวียดนามให้เลือกอิ่มอร่อย และมีกระทงกระดาษให้นักท่องเที่ยวได้นำไปอธิษฐานลอยล่องไปในแม่น้ำส่องแสงระยิบระยับ รวมถึงมีกิจกรรมล่องเรือลอยกระทงชมวิวทิวทัศน์แสงสีของเมืองฮอยอันในยามราตรี
ขณะที่บรรยากาศบริเวณริมฝั่งแม่น้ำทูโบนใน 2 ฟากฝั่งนั้นจะเต็มไปด้วยสีสันบรรยากาศของร้านอาหาร ร้านเหล้า บาร์เบียร์ ที่ดูจะถูกอกถูกใจพระเดชพระคุณสายดื่มไม่น้อย
ส่วนเมื่อเดินข้ามสะพานไปนอกเขตอนุรักษ์ตามเส้นทางสายหลัก จะเป็นถนนคนเดินที่ดูคึกคักครึกครื้น มีสินค้าข้าวของมากมายให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อเลือกหา(สินค้าคล้ายๆกับตามร้านในเขตเมืองเก่า) ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า กระเป๋า ไม้แกะสลัก หน้ากาก ภาพเขียน ของเก่า โปสการ์ด งานศิลปะ งานฝีมือ งานแฮนด์เมด งานตัด-ฉลุกระดาษ อันเป็นงานฝีมือเอกลักษณ์ของที่นี่
นอกจากนี้ก็ยังมีร้านโคมไฟส่องแสงระยิบระยับ ที่แม้นักท่องเที่ยวจะไม่สนใจเลือกซื้อเลือกหา แต่ว่าก็สามารถไปยืนถ่ายรูปที่หน้าร้าน กับบรรดาโคมไฟหลากสีสันเหล่านี้ได้ แต่ก็ขอให้ถ่ายรูปในที่ทางที่เขาจัดไว้ให้ เพราะถ้าล้ำเข้าไปในพื้นที่ขายโคมไฟมากเกินไป อาจจะโดนเจ้าของร้านว้ากได้
ฮอยอัน บนเส้นทางปั่นมากเสน่ห์
ด้วยเสน่ห์มนต์ขลังของเมืองมรดกโลกฮอยอัน วันนี้จึงมีนักท่องเที่ยวมากมายจากหลายชาติทั่วโลก เดินทางมาเยือนเมืองทรงเสน่ห์แห่งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าพี่ไทยเราก็นิยมไปเที่ยวฮอยอันกันเป็นจำนวนมาก จนแม่ค้าพ่อค้าหลายคนที่นี่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้(นิดหน่อย)
ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาแรงและเยอะที่สุดในฮอยอัน ณ ปัจจุบันก็คือ เกาหลี(ใต้) สาวๆเกาหลีหลายคนเมื่อมาที่นี่จะนิยมแต่งชุดอ๋าวหญ่าย(ชุดประจำชาติผู้หญิงเวียดนาม)เดินเฉิดโฉมไปมา ดูมีเสน่ห์สีสันไปอีกแบบ
สำหรับผม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเยือนฮอยอัน
แต่เป็นครั้งแรกของการมาเยือนเมืองนี้ที่ได้สัมผัสกับบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากทุกๆครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นการมาปั่นจักรยานท่องเที่ยวตะลุยประเทศเวียดนามกลาง ในเส้นทาง “ดานัง-ลังโก-ฮอยอัน-ดานัง” (4 วัน 3 คืน) ที่ทางบริษัท “Octo Cycling” ได้เชิญชวนผู้รักการปั่นจักรยาน ทั้งมืออาชีพ มือสมัครเล่น และมือใหม่ ให้ไปปั่นจักรยานท่องเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ เปิดมุมมองใหม่ ใกล้ชิดธรรมชาติ สัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรม ในบรรยากาศที่แตกต่าง กินอร่อย-นอนสบาย ที่สำคัญคือเน้นในเรื่องความปลอดภัยเป็นยิ่งยวด
และด้วยมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นของฮอยอัน ทางบริษัท Octo Cycling ผู้จัดทริปจึงชูเวียดนามเป็นเมืองไฮไลท์ จัดโปรแกรมให้คณะนักปั่นชาวไทยนอนพักค้างที่เมืองฮอยอันถึง 2 คืนด้วยกัน(จากทริป 4 วัน 3 คืน) โดยพวกเราปั่นจากเมืองดานังมาถึงยังฮอยอัน(ระยะทางประมาณ 60 กม.)ในช่วงบ่ายแก่ๆของวันที่สองของทริป
หลังจากได้สัมผัสกับมนต์เสน่ห์สีสันบางส่วนของเมืองฮอยอันทั้งกลางวันและกลางคืนแล้ว ในเช้าวันรุ่งขึ้น(วันที่ 3 )วันนี้คณะเรามีโปรแกรมปั่นเที่ยวเมืองฮอยอันกันแบบเต็มวัน(Hoi An Explorer) ทั้งในเขตเมืองเก่ามรดกโลกและในพื้นที่ชนบทนอกเมืองฮอยอัน รวมระยะทางประมาณเกือบ 30 กม.
สำหรับจุดแรกจากที่พักใกล้ๆกับถนนคนเดิน พวกเราปั่นผ่านสะพานข้ามแม่น้ำทูโบนไปสัมผัสกับบรรยากาศมรดกโลกเมืองเก่าฮอยอันยามเช้า(ประมาณ 8.30 น.) ซึ่งช่วงนี้นักท่องเที่ยวยังบางตา สามารถปั่นกินลมชมเมืองเก่า ถ่ายรูปกับมุมเก๋ๆน่าสนใจได้อย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นานมีนักท่องเที่ยวทยอยมาเที่ยวที่เมืองเก่ากันหนาตาขึ้น พวกเราจึงออกปั่นมุ่งหน้าสู่เป้าหมายต่อไป ที่ผมก็เพิ่งรู้ว่าฮอยอันมีอันซีนแบบนี้ด้วย
ฮอยอัน ปั่นสู่ทรา เว้
ในช่วงสายของวันที่สาม จากตัวเมืองเก่าฮอยอัน เราปั่นออกนอกเมืองผ่านวิถีชนบทไปทางอันบังบีชมุงหน้าสู่หมู่บ้าน “ทรา เว้” ชุมชนเกษตรกรรมบนเกาะน้ำจืดขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองฮอยอันประมาณ 3 กม.
ทรา เว้(Tra Que) เป็นแหล่งปลูกพืชผักปลอดสารพิษคุณภาพดีแหล่งใหญ่ ซึ่งได้ผลิตพืชผักปลอดสารพิษที่การันตีในคุณภาพให้กับเมืองฮอยอัน และพื้นที่ใกล้เคียง
ด้วยลักษณะเด่นของความเป็นชุมชนเกษตรกรรมที่มีเอกลักษณ์ดำรงวิถีเรียบง่าย ปลูกพืชผักปลอดสารพิษแอบอิงอยู่กับธรรมชาติ ปัจจุบันหมู่บ้านทราเว้จึงกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวทางเลือกเชื่อมโยงกับเมืองมรดกโลกฮอยอัน โดยเฉพาะกลุ่มนักปั่นจักรยานดูเหมือนจะนิยมปั่นมาเที่ยวที่หมู่บ้านแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวหลักของหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ ฟาร์ม “ทรา เว้ วอเตอร์ วีล”(Tra Que Water Wheel) ซึ่งชาวบ้านเวียดนามหัวก้าวหน้าที่มองเห็นในศักยภาพชุมชนของตัวเองได้ทำการเปิดฟาร์มให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้วิถีการเกษตรกร ผ่านการทำกิจกรรม D.I.Y. (Do it yourself) อันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การทดลองทำฟาร์มเพาะปลูกพืชผัก(Tra Que Farming) ด้วยการให้นักท่องเที่ยวจับจอมจับเสียม ลงมือขุดดิน พรวนดิน ปลูกผักกันด้วยตัวเอง
กิจกรรมทดลองทำอาหารจากแผ่นแป้ง(Rice Paper Making) หนึ่งในเอกลักษณ์อันโดดเด่นเลื่องชื่อของอาหารเวียดนาม ซึ่งได้ให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้กระบวนการทำแผ่นแป้งตั้งแต่หมักข้าว ตำข้าว และตีออกมาเป็นแผ่นแป้ง ก่อนที่จะนำมาประกอบอาหารอันหลากหลายของเวียดนาม
หรือกิจกรรม D.I.Y. ทำอาหารเวียดนาม(Cooking Class) ซึ่งค่อนข้างถูกจริตกับนักท่องเที่ยวชาวไทยและเป็นที่ชื่นชอบของนักปั่นสุภาพสตรีในคณะเราไม่น้อย
งานนี้อาหารที่ออกมาจะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของเชฟนักปั่นแต่ละคน อย่างไรก็ดีไม่ว่าอาหารที่ตัวเองทำจะมีรสชาติเช่นไร แต่สิ่งที่ได้จากการทำอาหารนั้นคือความประทับใจ และความทรงจำดีๆที่มีต่อสถานที่แห่งนี้
ฮอยอัน บนเส้นทางปั่นหลากรส
หลังมื้อเที่ยงที่ ฟาร์มทรา เว้ วอเตอร์ วีล กับอาหารเวียดนามแบบจัดเต็ม ซึ่งมีทั้งจากฝีมือของนักปั่นสุภาพสตรีในคณะเรา และอาหารเมนูยอดนิยมจากทางฟาร์ม
ในช่วงบ่ายเราออกปั่นจักรยานชิลล์ๆ กันต่ออีกประมาณ 20 กว่า กม. ในเส้นทางวงรอบ ระหว่างท่างมีวิวๆสวยๆงามๆ ภาพวิถีชีวิต และบรรยากาศอันหลากหลาย ให้ได้สัมผัสกันอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็น
การปั่นแบบลุยๆในดงมะพร้าวริมคลองกับสภาพถนนดิน ที่ระหว่างทางมีเจ้าถิ่นคือ“เจ้าวัว-ควาย” กำลังออกและเล็มหญ้าหากินกันอย่างเพลิดเพลินจำเริญใจ ปั่นผ่านแนวป่าชายเลนที่ได้เห็นชาวบ้านล่องเรือลำน้อยออกหาปลา พร้อมตะโกนโบกมือทักทายคณะเราด้วยรอยยิ้มมิตรไมตรีต่อที่ปั่นผ่านพวกเขาไป
การปั่นบนถนนใหญ่ที่รถราไม่มากขึ้นสะพานทอดข้ามปากอ่าว ปากแม่น้ำทูโบน เพื่อไปชมวิวทิวทัศน์ของปากแม่น้ำอันสวยงามกว้างไกล ผ่านหมู่บ้านชนบทที่มีเด็กๆมาร่วมปั่นแจม ปั่นข้ามสะพานข้ามคลอง ผ่านท้องทุ่งนา คอกวัวสไตล์เวียดนาม ปั่นผ่านถนนดินเลียบแม่น้ำกว้าง วิวสวยงาม มีสะพานไม้กำลังก่อสร้าง ผ่านป้อมปราการโบราณ มีวัวควายเดินเล็มหญ้า เด็กๆเวียดนามมาขอถ่ายรูปกันเป็นที่เพลิดเพลิน
ช่วงท้ายคณะเราปั่นไปยังท่าเรือชาวบ้านสัมผัสบรรยากาศตลาดปลาเล็กๆริมแม่น้ำ ก่อนจะปั่นข้ามสะพานเหล็ก กลับคืนสู่ที่พักๆใกล้ตัวเมืองเก่าฮอยอันอีกครั้ง
สำหรับการปั่นจักรยานเที่ยวฮอยอันในทริปนี้ มันทำให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศและมุมใหม่ๆที่ถือเป็นดังอันซีนฮอยอัน ซึ่งผมถือเป็นดัง“การพบรักใหม่ในฮอยอัน” ที่เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์มนต์ขลังของเมืองๆนี้
ฮอยอัน วันล่ำลา
ช่วงเย็นหลังปั่นกลับมาถึงยังเมืองฮอยอันอีกครั้ง สำหรับค่ำคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของทริป และคืนสุดท้ายในฮอยอัน ก่อนที่เราจะต้องจากรากันไป ดังนั้นคืนนี้ที่ฮอยอันผมจึงขอพูดสั้นๆว่า
“ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล”
จากนั้นในเช้าวันสุดท้าย วันกลับ(วันที่ 4 ) วันนี้พวกเราเก็บแพคจักรยานขึ้นรถบริการ ก่อนออกเดินทางจากฮอยอันมุ่งหน้าสู่สนามบินดานังเพื่อเดินทางกลับเมืองไทย โดยระหว่างทางเราไปแวะสักการะ “เจ้าแม่กวนอิม” วัดลินอึ้ง เมืองดานังกัน
เจ้าแม่กวนอิม วัดลินอึ้ง เป็นเจ้าแม่กวนอิมองค์สูงใหญ่ที่สุดในเมืองดานัง(สูง 67 เมตร) อีกทั้งยังเป็นหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของประเทศเวียดนาม ซึ่งมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาสักการะขอพร รวมถึงชาวไทยเราที่นิยมเดินทางมาขอพรองค์เจ้าแม่กวนอิมองค์นี้กับเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ทางผู้จัดจึงนำคณะนักปั่นจากชาวไทยมาสักการะขอพร เจ้าแม่กวนอิม วัดลินอึ้ง เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเดินกลับเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ ปิดทริปปั่นจักรยานเที่ยวเวียดนามกลางอย่างสวยงามน่าประทับใจ
ซึ่งนี่นับเป็นอีกหนึ่งครั้งของการเดินทางท่องเที่ยว ที่ผมพาใจดวงเก่ากลับมาเยือนยังสถานที่เก่าๆ แต่ความรู้สึกที่ได้กลับผิดแผกแตกต่างออกไป
เพราะเป็นการกลับมาเยือนด้วยรูปแบบใหม่ สัมผัสแปลกใหม่ ผ่านการปั่นจักรยานท่องเที่ยว มันจึงเป็นเหมือนการ“เปิดโลกใหม่”ของสถานที่เก่า ให้เราได้ตื่นตาตื่นใจ ให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศใหม่ๆกันอย่างถึงในอรรถรส
และนี่ไยมิใช่เสน่ห์ของการเดินทางท่องเที่ยวที่ใครและใครหลายๆ คนถวิลหา และพร้อมที่จะออกเดินทางไปสัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่อยู่เสมอ
**************************************************
Octo Cycling เป็นบริษัทที่มุ่งเชิญชวนผู้ชื่นชอบการปั่นจักรยานออกไปผจญโลกกว้างด้วยการปั่นจักรยานท่องเที่ยวสัมผัสกับสถานที่ต่างๆ ทั้งใน กทม. ในเมืองไทย อาเซียน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เอเชีย และยุโรป เป็นต้น ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2181-2088 หรือที่ www. Octocycling.com หรือ www.facebook.com/octocycling
******************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
“ฮอยอันฉันรักเธอ”
ละครแนวโรแมนติก-ดราม่า ของบ้านเรา(ฉายปี พ.ศ. 2548) ที่ทรงอิทธิพลต่อนักท่องเที่ยวชาวไทยไม่น้อย เพราะมันได้กลายเป็นคำพูดยอดฮิตของนักท่องเที่ยวบ้านเราไปโดยปริยาย
เวลาที่นักท่องเที่ยวไทยหลายๆคนไปเที่ยวฮอยอันต่างก็มักจะพูดกันว่า
“ฮอยอันฉันรักเธอ”
ฮอยอัน เมืองมรดกโลก
เมืองฮอยอัน (Hoi An) หรือ “โฮย อาน”(ในภาษาเวียดนาม) ตั้งอยู่ในจังหวัด“กว่างนาม”(Quang Nam) ประเทศเวียดนาม (อยู่ห่างจากเมืองดานังประมาณ 30 กม.)
ในอดีตช่วงศตวรรษที่ 15-16 สมัยอาณาจักรจามปา ฮอยอันมีความเจริญรุ่งเรืองมากในฐานะเมืองท่าสำคัญแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเป็นเมืองริมทะเล(อยู่ห่างเข้ามาจากชายฝั่งทะเลเพียงไม่กี่กิโลเมตร) ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำ“ทูโบน” ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการเดินเรือเข้า-ออก จากเมืองฮอยอันสู่ท้องทะเล
ต่อมาภายหลังแม้ความสำคัญในฐานะเมืองท่าของฮอยอันจะหมดไป เนื่องจากแม่น้ำทูโบนตื้นเขิน เรือเดินทะเลไม่สามารถเดินทางเข้าถึง(จึงถูกแทนที่ด้วยเมืองท่าแห่งใหม่คือดานังมาจนถึงปัจจุบัน) แต่ด้วยมรดกทางวัฒนธรรมอันเข้มแข็งของชาวฮอยอันที่ยังดำรงคงอยู่นับจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะการอนุรักษ์ รักษาสภาพอาคารบ้านเรือนสถาปัตยกรรมเก่าแก่อันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองฮอยอันไว้เป็นอย่างดี องค์การยูเนสโก้ จึงประกาศให้เมืองเก่าฮอยอันเป็น“มรดกโลกทางวัฒนธรรม”ในปี พ.ศ.2542(ค.ศ.1999) ส่งผลให้ฮอยอันกลายเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวสำคัญของเวียดนามนับตั้งแต่นั้นมา
ฮอยอัน ฉันรักเธอ
สำหรับมนต์เสน่ห์ของเมืองมรดกโลกฮอยอันที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลกให้มาเยือนแล้วหลงรัก ประทับใจอยู่มิรู้เบื่อ ก็คือ บริเวณ“เมืองเก่าฮอยอัน” ที่ได้ชื่อว่าเป็น“มรดกโลกมีชีวิต” ซึ่งที่นี่เราจะได้พบกับอาคารบ้านเรือนสีเหลืองมัสตาร์ดอันสวยงามอร่ามตา ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างตะวันตก(ในสไตล์โคโลเนียล)กับตะวันออก(จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม)เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว
ในเขตเมืองเก่า(และบริเวณนอกเมือง) วันนี้ชาวบ้านเวียดนามเกือบทั้งหมด ต่างหันมาทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น เปิดร้านค้า ร้านขายอาหาร ร้านกาแฟ-เครื่องดื่ม อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ แกลเลอรี่ ร้านขายของที่ระลึก ที่มีสินค้าสารพัดสารพัน ให้เลือกซื้อเลือกหา
ด้านใครที่ชื่นชอบด้านถ่ายรูปทั้งถ่ายรูปสถานที่ท่องเที่ยว สถาปัตยกรรม ภาพวิถีชีวิต ภาพแคนดิต หรือผู้ที่นิยมเซลฟี่ วีฟี่ ถ่ายตัวเองและถ่ายกลุ่มเพื่อนพ้อง ในเขตเมืองเก่าฮอยอันมีมุมฮิปๆเท่ๆ มากมายหลากหลายให้เลือกถ่ายภาพกันมือเป็นระวิง ทั้งมุมสไตล์คลาสสิก สไตล์วินเทจ และสไตล์ร่วมสมัยสุดชิคของร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านเก๋ๆที่มีอยู่ทั่วไป
สำหรับจุดท่องเที่ยวไฮไลท์เด่นๆในเขตเมืองเก่ามรดกโลกท่ามกลางบรรยากาศของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่อันสวยงามนั้น ได้แก่ “สะพานญี่ปุ่น” หนึ่งในสัญลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองฮอยอัน, “สมาคมชาวจีนฟุกเกี๋ยน” งานสถาปัตยกรรมจีนอันงดงาม ภายในมีบรรดาเทพเจ้าต่างๆให้สักการบูชา,“อนุสาวรีย์ Kazik” ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่อาจารย์ Kazik (ชื่อเต็ม Kazimierz Kwiatkowsky : ค.ศ. 2487-2540) บุคคลสำคัญที่ผลักดันให้ฮอยอัน(และเมืองเว้)เป็นมรดกโลกอันเลื่องชื่อ
นอกจากนี้ก็ยังมี“บ้านโบราณ” ที่มีให้ชมกันหลายหลัง อาทิ บ้านเลขที่ 77 บนถนนตรันฝู(Tran Phu)ที่เป็นบ้านเก่าของชาวจีน ภายในใช้เครื่องไม้ประดับตกแต่งอย่างงดงาม, บ้านเลขที่ 09 บนถนนเหวียน ไท ฮอค (Nguyen Thai Hoc) ที่เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ด้านหน้ามีเวทีการแสดง(เป็นรอบๆ) มีพื้นที่เปิดโล่งตรงกลางบ้านเปิดเป็นร้านกาแฟ, บ้านเลขที่ 101 บนถนนเหวียน ไท ฮอค บ้านโบราณที่ภายบ้านในยังคงรักษาสภาพดั้งเดิมไว้อย่างดี มีความเก่าแก่คลาสสิกสวยงาม โดดเด่นไปด้วยเครื่องเรือนไม้ประดับมุกเก่าแก่ และสิ่งน่าสนใจอีกหลากหลาย
ฮอยอัน ราตรีแห่งแสงสี
ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล
เป็นคำที่ใช้ได้ดีกับเมืองฮอยอันยามค่ำคืน เพราะเมื่อความมืดคืบคลานมาเยือน ฮอยอันจะกลายเป็นเมืองแห่งแสงสีจากบรรดาร้านรวงต่างๆที่มีการเปิดประดับไฟตกแต่ง โดยเฉพาะไฮไลท์คือการประดับตกแต่งด้วยโคมไฟหลากสีสันหลายรูปแบบที่แขวนอยู่เต็มไปทั่วทั้งเมือง เพื่อแสดงให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสมนต์เสน่ห์ความงดงามของ “ฮอยอัน เมืองแห่งโคมไฟ” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองๆนี้
ส่วนที่บริเวณท้ายเขตเมืองเก่าริมฝั่งแม่น้ำทูโบน ฟากหนึ่งจะมีแผงนั่ง(ยอง)กินอาหารริมน้ำไสไตล์เวียดนามให้เลือกอิ่มอร่อย และมีกระทงกระดาษให้นักท่องเที่ยวได้นำไปอธิษฐานลอยล่องไปในแม่น้ำส่องแสงระยิบระยับ รวมถึงมีกิจกรรมล่องเรือลอยกระทงชมวิวทิวทัศน์แสงสีของเมืองฮอยอันในยามราตรี
ขณะที่บรรยากาศบริเวณริมฝั่งแม่น้ำทูโบนใน 2 ฟากฝั่งนั้นจะเต็มไปด้วยสีสันบรรยากาศของร้านอาหาร ร้านเหล้า บาร์เบียร์ ที่ดูจะถูกอกถูกใจพระเดชพระคุณสายดื่มไม่น้อย
ส่วนเมื่อเดินข้ามสะพานไปนอกเขตอนุรักษ์ตามเส้นทางสายหลัก จะเป็นถนนคนเดินที่ดูคึกคักครึกครื้น มีสินค้าข้าวของมากมายให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อเลือกหา(สินค้าคล้ายๆกับตามร้านในเขตเมืองเก่า) ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า กระเป๋า ไม้แกะสลัก หน้ากาก ภาพเขียน ของเก่า โปสการ์ด งานศิลปะ งานฝีมือ งานแฮนด์เมด งานตัด-ฉลุกระดาษ อันเป็นงานฝีมือเอกลักษณ์ของที่นี่
นอกจากนี้ก็ยังมีร้านโคมไฟส่องแสงระยิบระยับ ที่แม้นักท่องเที่ยวจะไม่สนใจเลือกซื้อเลือกหา แต่ว่าก็สามารถไปยืนถ่ายรูปที่หน้าร้าน กับบรรดาโคมไฟหลากสีสันเหล่านี้ได้ แต่ก็ขอให้ถ่ายรูปในที่ทางที่เขาจัดไว้ให้ เพราะถ้าล้ำเข้าไปในพื้นที่ขายโคมไฟมากเกินไป อาจจะโดนเจ้าของร้านว้ากได้
ฮอยอัน บนเส้นทางปั่นมากเสน่ห์
ด้วยเสน่ห์มนต์ขลังของเมืองมรดกโลกฮอยอัน วันนี้จึงมีนักท่องเที่ยวมากมายจากหลายชาติทั่วโลก เดินทางมาเยือนเมืองทรงเสน่ห์แห่งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าพี่ไทยเราก็นิยมไปเที่ยวฮอยอันกันเป็นจำนวนมาก จนแม่ค้าพ่อค้าหลายคนที่นี่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้(นิดหน่อย)
ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาแรงและเยอะที่สุดในฮอยอัน ณ ปัจจุบันก็คือ เกาหลี(ใต้) สาวๆเกาหลีหลายคนเมื่อมาที่นี่จะนิยมแต่งชุดอ๋าวหญ่าย(ชุดประจำชาติผู้หญิงเวียดนาม)เดินเฉิดโฉมไปมา ดูมีเสน่ห์สีสันไปอีกแบบ
สำหรับผม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเยือนฮอยอัน
แต่เป็นครั้งแรกของการมาเยือนเมืองนี้ที่ได้สัมผัสกับบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากทุกๆครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นการมาปั่นจักรยานท่องเที่ยวตะลุยประเทศเวียดนามกลาง ในเส้นทาง “ดานัง-ลังโก-ฮอยอัน-ดานัง” (4 วัน 3 คืน) ที่ทางบริษัท “Octo Cycling” ได้เชิญชวนผู้รักการปั่นจักรยาน ทั้งมืออาชีพ มือสมัครเล่น และมือใหม่ ให้ไปปั่นจักรยานท่องเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ เปิดมุมมองใหม่ ใกล้ชิดธรรมชาติ สัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรม ในบรรยากาศที่แตกต่าง กินอร่อย-นอนสบาย ที่สำคัญคือเน้นในเรื่องความปลอดภัยเป็นยิ่งยวด
และด้วยมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นของฮอยอัน ทางบริษัท Octo Cycling ผู้จัดทริปจึงชูเวียดนามเป็นเมืองไฮไลท์ จัดโปรแกรมให้คณะนักปั่นชาวไทยนอนพักค้างที่เมืองฮอยอันถึง 2 คืนด้วยกัน(จากทริป 4 วัน 3 คืน) โดยพวกเราปั่นจากเมืองดานังมาถึงยังฮอยอัน(ระยะทางประมาณ 60 กม.)ในช่วงบ่ายแก่ๆของวันที่สองของทริป
หลังจากได้สัมผัสกับมนต์เสน่ห์สีสันบางส่วนของเมืองฮอยอันทั้งกลางวันและกลางคืนแล้ว ในเช้าวันรุ่งขึ้น(วันที่ 3 )วันนี้คณะเรามีโปรแกรมปั่นเที่ยวเมืองฮอยอันกันแบบเต็มวัน(Hoi An Explorer) ทั้งในเขตเมืองเก่ามรดกโลกและในพื้นที่ชนบทนอกเมืองฮอยอัน รวมระยะทางประมาณเกือบ 30 กม.
สำหรับจุดแรกจากที่พักใกล้ๆกับถนนคนเดิน พวกเราปั่นผ่านสะพานข้ามแม่น้ำทูโบนไปสัมผัสกับบรรยากาศมรดกโลกเมืองเก่าฮอยอันยามเช้า(ประมาณ 8.30 น.) ซึ่งช่วงนี้นักท่องเที่ยวยังบางตา สามารถปั่นกินลมชมเมืองเก่า ถ่ายรูปกับมุมเก๋ๆน่าสนใจได้อย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นานมีนักท่องเที่ยวทยอยมาเที่ยวที่เมืองเก่ากันหนาตาขึ้น พวกเราจึงออกปั่นมุ่งหน้าสู่เป้าหมายต่อไป ที่ผมก็เพิ่งรู้ว่าฮอยอันมีอันซีนแบบนี้ด้วย
ฮอยอัน ปั่นสู่ทรา เว้
ในช่วงสายของวันที่สาม จากตัวเมืองเก่าฮอยอัน เราปั่นออกนอกเมืองผ่านวิถีชนบทไปทางอันบังบีชมุงหน้าสู่หมู่บ้าน “ทรา เว้” ชุมชนเกษตรกรรมบนเกาะน้ำจืดขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองฮอยอันประมาณ 3 กม.
ทรา เว้(Tra Que) เป็นแหล่งปลูกพืชผักปลอดสารพิษคุณภาพดีแหล่งใหญ่ ซึ่งได้ผลิตพืชผักปลอดสารพิษที่การันตีในคุณภาพให้กับเมืองฮอยอัน และพื้นที่ใกล้เคียง
ด้วยลักษณะเด่นของความเป็นชุมชนเกษตรกรรมที่มีเอกลักษณ์ดำรงวิถีเรียบง่าย ปลูกพืชผักปลอดสารพิษแอบอิงอยู่กับธรรมชาติ ปัจจุบันหมู่บ้านทราเว้จึงกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวทางเลือกเชื่อมโยงกับเมืองมรดกโลกฮอยอัน โดยเฉพาะกลุ่มนักปั่นจักรยานดูเหมือนจะนิยมปั่นมาเที่ยวที่หมู่บ้านแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวหลักของหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ ฟาร์ม “ทรา เว้ วอเตอร์ วีล”(Tra Que Water Wheel) ซึ่งชาวบ้านเวียดนามหัวก้าวหน้าที่มองเห็นในศักยภาพชุมชนของตัวเองได้ทำการเปิดฟาร์มให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้วิถีการเกษตรกร ผ่านการทำกิจกรรม D.I.Y. (Do it yourself) อันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การทดลองทำฟาร์มเพาะปลูกพืชผัก(Tra Que Farming) ด้วยการให้นักท่องเที่ยวจับจอมจับเสียม ลงมือขุดดิน พรวนดิน ปลูกผักกันด้วยตัวเอง
กิจกรรมทดลองทำอาหารจากแผ่นแป้ง(Rice Paper Making) หนึ่งในเอกลักษณ์อันโดดเด่นเลื่องชื่อของอาหารเวียดนาม ซึ่งได้ให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้กระบวนการทำแผ่นแป้งตั้งแต่หมักข้าว ตำข้าว และตีออกมาเป็นแผ่นแป้ง ก่อนที่จะนำมาประกอบอาหารอันหลากหลายของเวียดนาม
หรือกิจกรรม D.I.Y. ทำอาหารเวียดนาม(Cooking Class) ซึ่งค่อนข้างถูกจริตกับนักท่องเที่ยวชาวไทยและเป็นที่ชื่นชอบของนักปั่นสุภาพสตรีในคณะเราไม่น้อย
งานนี้อาหารที่ออกมาจะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของเชฟนักปั่นแต่ละคน อย่างไรก็ดีไม่ว่าอาหารที่ตัวเองทำจะมีรสชาติเช่นไร แต่สิ่งที่ได้จากการทำอาหารนั้นคือความประทับใจ และความทรงจำดีๆที่มีต่อสถานที่แห่งนี้
ฮอยอัน บนเส้นทางปั่นหลากรส
หลังมื้อเที่ยงที่ ฟาร์มทรา เว้ วอเตอร์ วีล กับอาหารเวียดนามแบบจัดเต็ม ซึ่งมีทั้งจากฝีมือของนักปั่นสุภาพสตรีในคณะเรา และอาหารเมนูยอดนิยมจากทางฟาร์ม
ในช่วงบ่ายเราออกปั่นจักรยานชิลล์ๆ กันต่ออีกประมาณ 20 กว่า กม. ในเส้นทางวงรอบ ระหว่างท่างมีวิวๆสวยๆงามๆ ภาพวิถีชีวิต และบรรยากาศอันหลากหลาย ให้ได้สัมผัสกันอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็น
การปั่นแบบลุยๆในดงมะพร้าวริมคลองกับสภาพถนนดิน ที่ระหว่างทางมีเจ้าถิ่นคือ“เจ้าวัว-ควาย” กำลังออกและเล็มหญ้าหากินกันอย่างเพลิดเพลินจำเริญใจ ปั่นผ่านแนวป่าชายเลนที่ได้เห็นชาวบ้านล่องเรือลำน้อยออกหาปลา พร้อมตะโกนโบกมือทักทายคณะเราด้วยรอยยิ้มมิตรไมตรีต่อที่ปั่นผ่านพวกเขาไป
การปั่นบนถนนใหญ่ที่รถราไม่มากขึ้นสะพานทอดข้ามปากอ่าว ปากแม่น้ำทูโบน เพื่อไปชมวิวทิวทัศน์ของปากแม่น้ำอันสวยงามกว้างไกล ผ่านหมู่บ้านชนบทที่มีเด็กๆมาร่วมปั่นแจม ปั่นข้ามสะพานข้ามคลอง ผ่านท้องทุ่งนา คอกวัวสไตล์เวียดนาม ปั่นผ่านถนนดินเลียบแม่น้ำกว้าง วิวสวยงาม มีสะพานไม้กำลังก่อสร้าง ผ่านป้อมปราการโบราณ มีวัวควายเดินเล็มหญ้า เด็กๆเวียดนามมาขอถ่ายรูปกันเป็นที่เพลิดเพลิน
ช่วงท้ายคณะเราปั่นไปยังท่าเรือชาวบ้านสัมผัสบรรยากาศตลาดปลาเล็กๆริมแม่น้ำ ก่อนจะปั่นข้ามสะพานเหล็ก กลับคืนสู่ที่พักๆใกล้ตัวเมืองเก่าฮอยอันอีกครั้ง
สำหรับการปั่นจักรยานเที่ยวฮอยอันในทริปนี้ มันทำให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศและมุมใหม่ๆที่ถือเป็นดังอันซีนฮอยอัน ซึ่งผมถือเป็นดัง“การพบรักใหม่ในฮอยอัน” ที่เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์มนต์ขลังของเมืองๆนี้
ฮอยอัน วันล่ำลา
ช่วงเย็นหลังปั่นกลับมาถึงยังเมืองฮอยอันอีกครั้ง สำหรับค่ำคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของทริป และคืนสุดท้ายในฮอยอัน ก่อนที่เราจะต้องจากรากันไป ดังนั้นคืนนี้ที่ฮอยอันผมจึงขอพูดสั้นๆว่า
“ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล”
จากนั้นในเช้าวันสุดท้าย วันกลับ(วันที่ 4 ) วันนี้พวกเราเก็บแพคจักรยานขึ้นรถบริการ ก่อนออกเดินทางจากฮอยอันมุ่งหน้าสู่สนามบินดานังเพื่อเดินทางกลับเมืองไทย โดยระหว่างทางเราไปแวะสักการะ “เจ้าแม่กวนอิม” วัดลินอึ้ง เมืองดานังกัน
เจ้าแม่กวนอิม วัดลินอึ้ง เป็นเจ้าแม่กวนอิมองค์สูงใหญ่ที่สุดในเมืองดานัง(สูง 67 เมตร) อีกทั้งยังเป็นหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของประเทศเวียดนาม ซึ่งมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาสักการะขอพร รวมถึงชาวไทยเราที่นิยมเดินทางมาขอพรองค์เจ้าแม่กวนอิมองค์นี้กับเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ทางผู้จัดจึงนำคณะนักปั่นจากชาวไทยมาสักการะขอพร เจ้าแม่กวนอิม วัดลินอึ้ง เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเดินกลับเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ ปิดทริปปั่นจักรยานเที่ยวเวียดนามกลางอย่างสวยงามน่าประทับใจ
ซึ่งนี่นับเป็นอีกหนึ่งครั้งของการเดินทางท่องเที่ยว ที่ผมพาใจดวงเก่ากลับมาเยือนยังสถานที่เก่าๆ แต่ความรู้สึกที่ได้กลับผิดแผกแตกต่างออกไป
เพราะเป็นการกลับมาเยือนด้วยรูปแบบใหม่ สัมผัสแปลกใหม่ ผ่านการปั่นจักรยานท่องเที่ยว มันจึงเป็นเหมือนการ“เปิดโลกใหม่”ของสถานที่เก่า ให้เราได้ตื่นตาตื่นใจ ให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศใหม่ๆกันอย่างถึงในอรรถรส
และนี่ไยมิใช่เสน่ห์ของการเดินทางท่องเที่ยวที่ใครและใครหลายๆ คนถวิลหา และพร้อมที่จะออกเดินทางไปสัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่อยู่เสมอ
**************************************************
Octo Cycling เป็นบริษัทที่มุ่งเชิญชวนผู้ชื่นชอบการปั่นจักรยานออกไปผจญโลกกว้างด้วยการปั่นจักรยานท่องเที่ยวสัมผัสกับสถานที่ต่างๆ ทั้งใน กทม. ในเมืองไทย อาเซียน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เอเชีย และยุโรป เป็นต้น ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2181-2088 หรือที่ www. Octocycling.com หรือ www.facebook.com/octocycling
******************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager