“ถนนนางงาม” หรือในอดีตเรียกกันว่า “ถนนเก้าห้อง” เป็นถนนในย่านเมืองเก่า อ.เมือง จ.สงขลา ที่เรียกเช่นนี้ก็เพื่อเป็นเกียรติแก่นางงามสงขลาคนแรกที่มีบ้านอยู่บนถนนเส้นนี้ นอกจากจะมีชื่อเสียงในเรื่องสาวสวยในอดีตแล้ว ปัจจุบันถนนนางงามยังได้รับสมญานามว่า “ถนนสายอาหารแห่งเมืองสงขลา” อีกด้วย จึงอยากแนะนำ 9 ร้านเด็ดที่หากมาเยือนที่ถนนนางงามต้องห้ามพลาดให้ได้รู้จักกัน
เริ่มกันที่ร้านแรกขอนำเสนอเมนู “เถ้าคั่ว” หรือ “เต้าคั่ว” ที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดให้เป็นอาหารถิ่นของ จ.สงขลา ที่ต้องห้ามพลาดมาชิมทีเดียว ร้านที่ขอแนะนำนี้คือ “ร้านป้าจวบเถ้าคั่ว” แถมที่ร้านยังมีก๋วยเตี๋ยวต้มยำกระดูกหมูอ่อนเป็นอีกเมนูชวนชิมด้วยนะ
ทีเด็ดของเถ้าคั่วร้านป้าจวบจะอยู่ที่กุ้งชุบแป้งทอดที่โรยหน้ามาบนเส้นหมี่ลวก ที่คลุกเคล้าด้วยน้ำจิ้มรสเผ็ด-หวาน กับเครื่องอื่นๆ อีก ทั้งหมูสามชั้นต้ม เต้าหู้ทอด ไข้ต้มยางมะตูม ผักบุ้งลวก และแตงกวา มองๆ ดูแล้วจะคล้ายสลัดแขก แต่รสชาติต้องขอยืมคำของป้าจวบมาพูดเลยว่า “รสชาติอร่อยยังไม่พอ ต้องลองมาชิม”
มาต่อกันที่ร้านที่สองที่เหมาะจะเป็นมื้อเช้าคือ “ร้านโจ๊กเกาะไทย” เนื้อโจ๊กข้นๆ ขาวเนียนตักใส่ชามขนาดพอเหมาะ ยกมาเสิร์ฟร้อนๆ พร้อมกลิ่นหอมๆ และต้องกินคู่กับปาท่องโก๋ที่ทางร้านจะหั่นมาให้แบบพอดีคำด้วยนะ ถึงจะครบสูตรของโจ๊กเกาะไทยแท้ๆ ส่วนเครื่องในชามก็มีให้เลือกทั้งหมู เครื่องใน และไข่ ชอบไข่แบบสุก ดิบ หรือยางมะตูมก็สามารถสั่งได้ตามใจเลย
ส่วนผักโรยและขิงที่ร้านจะวางไว้บนโต๊ะให้ตักใส่กันเต็มที่ ในเรื่องของรสชาติความอร่อยเด็ดคงไม่ต้องบรรยายให้เสียเวลา เอาเป็นว่าเมื่อตักโจ๊กเนื้อข้นอุ่นๆ เข้าปากในเช้าที่อากาศเย็นสบาย ก็ทำให้ฟินจนหยุดตักเข้าปากไม่ได้ จนกว่าจะหมดชามนั่นแหละ ที่ร้านเขายังมีเครื่องดื่มร้อน-เย็น ให้ตบท้ายหลังมื้ออร่อยกันอีกด้วย
“ร้านเกียดฟั่ง (โกยาว) ข้าว-สตู” ร้านเด็ดร้านที่สามที่ปัจจุบันตกทอดมาถึงรุ่นที่ 3 แล้ว เป็นข้าวสตูที่ผสมผสานถึง 4 วัฒนธรรมการกินเลยทีเดียว โดยสูตรนี้มาจากโกลักที่เคยเป็นกุ๊กจีนบนเรือชาวอังกฤษ เมื่อมาอยู่ไทยจึงมีการปรับสูตรสตูอังกฤษให้เหมาะกับคนท้องถิ่น เพราะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นเครื่องปรุงหายาก จากที่เคยใช้เนยมาเป็นกะทิ เครื่องเทศก็ต้องเปลี่ยนมาใช้ของเกาะอินโดนีเซีย
ความอร่อยที่ตกทอดมาเกือบจะ 100 ปียังคงไม่เสื่อมคลาย ยังคงคอนเซ็ปต์ “เกียดฟั่ง” ที่แปลว่า “กลิ่นหอม,สะอาด” ความหอมที่ลอยทั่วบริเวณร้านของน้ำสตู บวกกับเนื้อหมูและเครื่องในที่ล้างสะอาดและต้มเปื่อยนุ่ม ตัดความเลี่ยนเนยด้วยน้ำจิ้มรสเด็ดสูตรเฉพาะของที่ร้าน โดยเฉพาะเมนูพระเอกของร้าน “ข้าวสตูหมูกรอบ” ที่ขึ้นชื่อความอร่อยมากๆ ซึ่งหากใครมาหลังเที่ยงวันไปอาจจะพลาดเอาได้นะ
ร้านที่สี่ขอเอาใจคนไม่ชอบเมนูข้าวกันบ้าง กับร้าน “ก๋วยเตี๋ยวโบราณ (เสี่ยงโชค)” ที่เปิดขายมานานกว่า 100 ปี ปัจจุบันตกทอดมาถึงรุ่นที่ 3 แล้ว หน้าตาของก๋วยเตี๋ยวเสี่ยงโชคถ้าคนกรุงเทพฯ เห็นก็อาจเข้าใจว่าเป็นผัดซีอิ๊วได้ จะมีเส้นให้เลือกแค่เส้นใหญ่กับเส้นหมี่ขาวเท่านั้น คนจะนิยมกินเส้นหมี่ขาวมากกว่า และมักสั่งเป็นแบบแห้งด้วย โดยจะผัดเส้นกับซีอิ๊วให้เข้ากัน และใส่ลูกชิ้นปลา หมูสามชั้นหวาน ผักโรย ผัดตามเข้าไป สุดท้ายวางหมูแดงกับไข่เจียวหั่นฝอยด้านบนเป็นอันเรียบร้อย
ความน่าสนใจของร้านนี้เขาจะผัดเส้นบนเตาถ่านจนแห้งก่อนตักแบบกะๆ ใส่จาน ซึ่งทำให้บางจานมีเครื่องหรือบางจานอาจมีแต่เส้น จึงเป็นที่มาของคำว่า “เสี่ยงโชค” นั่นเอง เมื่อตักเข้าปากจะได้รับทั้งรสและความหอมเป็นเอกลักษณ์จากการใช้เตาถ่าน แต่รสชาติจะไม่จัดจ้านมากเพราะเป็นสูตรของคนจีน ยิ่งซดกับน้ำต้มกระดูกไก่ร้อนๆ ยิ่งเข้ากันดีจริงๆ
หากใครชื่นชอบก๋วยเตี๋ยวน้ำก็ต้องไม่พลาดกับร้านที่ห้า นั่นก็คือ “ร้านก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟโบราณ” หรือที่คนท้องถิ่นจะเรียกกันว่า “อ้วน” ซึ่งหมายถึง “ลูกชิ้น” นั่นเอง ที่ร้านจะมีทั้งอ้วนหมูและอ้วนปลา ยิ่งเป็นอ้วนหมูจะขึ้นชื่อว่าอร่อยเด็ดมากๆ โดยที่ร้านจะทำเอง รวมถึงปลาหมึกกรอบ ที่จะมีสูตรลับของความกรอบอร่อยแบบปลอดสารเคมีเฉพาะของทางร้านอีกด้วย
ความพิเศษของเย็นตาโฟโบราณอีกอย่างก็คือ “ผักบุ้ง” เขาจะลวกผักบุ้งทั้งต้นและใช้กรรไกรตัดเป็นขนาดพอดีคำไล่ไปเรื่อยๆ วิธีจะช่วยให้ผักบุ้งไม่เหี่ยว กรอบพอดี และไม่เหม็นเขียว นอกจากนั้นหม้อต้มน้ำซุปจะใช้เตาถ่าน ที่ให้ความร้อนสูง น้ำซุปจะกลมกล่อม ใสแจ๋วไม่ขุ่นข้นเหมือนใช้เตาไฟฟ้า
ถ้าใครยังไม่อิ่มก็มาลุยต่อกับร้านที่หกกันเลยดีกว่า แต่ร้านนี้อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหากับหลังและหัวเข่าเท่าไหร่ เพราะจะต้องมุดไปนั่งที่โต๊ะไม้เล็กๆ แล้วลิ้มรสความอร่อยกันที่ใต้ถุนโรงงิ้วในศาลหลักเมือง ซึ่งร้านนี้ก็คือ “ร้านก๋วยเตี๋ยวป้าเล็ก (ใต้ถุนโรงงิ้ว)” หรือ “ก๋วยเตี๋ยวโรงงิ้ว” นั่นเอง ถึงร้านจะอยู่ใต้ใต้ถุนเตี้ยๆ แต่อากาศก็ถ่ายเทสะดวก ได้อรรถรสการกินอีกแบบหนึ่ง
จุดเด่นของร้านนี้คือ เนื้อของกระดูกหมูและตีนไก่ที่ต้มจนเปื่อย และยังมีลูกชิ้นหมูที่หมักด้วยเครื่องปรุงอย่างเข้มข้น ที่สำคัญไม่มีส่วนผสมของแป้งอีกด้วย ส่วนน้ำซุปก็หวานกลมกล่อม อร่อยติดใจจนต้องกลับมากินซ้ำอีกครั้งแน่นอน
หากมาเที่ยวที่ถนนนางงามกันแบบเป็นครอบครัวหรือหมู่คณะ ก็ต้องไม่พลาดมาชิมที่ “ร้านแต้เฮี้ยงอิ้ว (ร้านแต้)” เป็นร้านแนะนำร้านที่เจ็ด ขายอาหารไทย-จีน รสเลิศ ที่มีทั้งอาหารทะเลสดๆ ปลากะพง ปลาจาระเม็ด ที่ไม่ว่าจะเลือกทำเมนูต้มยำ แกงส้ม ทอดกระเทียม นึ่งบ๊วย นึ่งมะนาว ก็เด็ดท้าลองทุกจาน ส่วนเมนูเป็ด ทั้งตีนเป็ดตุ๋นจนเปื่อยหรือเนื้อเป็ดพะโล้ที่ไม่เหนียวและไม่มีกลิ่นสาป ที่สำคัญราคายังไม่แพงอีกด้วย
เมนูที่อยากแนะนำเมื่อมาที่ “ร้านแต้” ก็คือ เป็ดพะโล้, ตีนเป็ดตุ๋น, ยำมะม่วงทรงเครื่อง, ต้มยำแห้งกุ้ง, เต้าหู้ราดหน้าปู, ผัดผักบุ้งไฟแดง และของหวานล้างปากที่อยากจะแนะนำก็คือ “มะม่วงเบาแช่อิ่ม” ซึ่งเป็นมะม่วงขนาดเล็กพื้นเมืองของทางภาคใต้ รสชาติไม่เปรี้ยวไม่หวานจนเกินไป กรอบอร่อย กินแล้วหยุดไม่ได้ เหมาะที่จะซื้อเป็นของฝากให้คนพิเศษ
มาลองชิมอาหารว่างกินเล่นกันบ้าง สำหรับร้านที่แปดนี้คือ “ร้านตั้งฮั่วกิม” ที่ในอดีตเคยเป็นโรงแรมแห่งแรกในย่านนี้ ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนให้เป็นร้านสะสมของเก่า ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมและเก็บภาพแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย
เมื่อมาที่ร้านนี้ก็ต้องไม่พลาดชิม “ซาลาเปาสูตรแต้จิ๋ว” ที่มีจุดเด่นคือ ซาลาเปาลูกใหญ่เบิ้มขนาดเท่าฝ่ามือ แต่เห็นลูกใหญ่ๆ แบบนี้ ไม่ได้ใหญ่เพราะแป้งหนา แต่เป็นเพราะไส้ข้างในที่อัดแน่นชนิดที่ว่ากินหมดหนึ่งลูกอาจจะอิ่มท้อง จนลืมไปเลยว่านี่เป็นแค่อาหารว่างกินเล่นเท่านั้น มีให้เลือกทั้งไว้หมูสับและหมูแดง
ปิดท้ายร้านสุดท้ายด้วยเมนูของหวานจาก “ร้านจิ้นกั่วหยวน (ไอศกรีมยิว)” หรือ “ไอศกรีมไข่แข็ง” ที่เรียกความหวานและรอยยิ้มได้ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าร้าน เพราะเจ้าของร้านจะตะโกนถามว่า “ไข่แข็งหรือไม่แข็ง” (หมายถึงใส่ไข่หรือไม่ใส่ไข่) จากนั้นจะถามต่อว่า “ไข่ใหญ่หรือไข่เล็ก” (หมายถึงถ้วยเล็กหรือถ้วยใหญ่) เป็นวิธีรับลูกค้าที่น่ารักจริงๆ
ที่ร้านจะมีแค่ไอศกรีมวนิลาที่ทำเอง และใช้ไข่แดง (ไข่ไก่) ตอกใส่ถ้วยและตีให้ไข่แดงเข้ากัน ก่อนราดลงบนไอศกรีมวนิลา เมื่อไข่แดงโดนความเย็นจนแข็งตัวจะไม่มีกลิ่นคาว ดูคล้ายวุ้นเคลือบไอศกรีมไว้ สุดท้ายจะโรยผงโอวัลตินสีน้ำตาล ช่วยเพิ่มรสชาติและช่วยทำให้ดูมีสีสันตัดกับเนื้อไอศกรีมวนิลาสีเหลืองอ่อนๆ หรือจะเพิ่มกล้วยหอมไปอีกก็ยิ่งน่ากินสุดๆ ไปเลย
มา จ.สงขลา ย่านเมืองเก่า อย่าลืมแวะมาที่ “ถนนนางงาม” ที่มีทั้งร้านอร่อยให้ได้เดินตะลุยกินจนอิ่มท้องไปตลอดทั้งเส้นแล้ว ยังมีความสวยงามของอาคารบ้านเรือน และ Street art ให้ได้ถ่ายรูปแล้วเช็คอินเก๋ๆ อวดโซเชียลให้ได้รู้ว่า “มาสงขลาเมืองเก่า แต่ไม่เอ้าท์แน่นอน”
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com