“ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” วลีอมตะที่ถูกเขียนไว้บนแผ่นป้าย ณ หลังแป อันเป็นจุดไฮไลต์ที่เหล่าผู้พิชิตจะต้องมาถ่ายรูปคู่ไว้เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ และตอกย้ำว่าได้ขึ้นมาสู่บน “ภูกระดึง” แล้ว แต่สำหรับใครหลายคน รวมถึง “ตะลอนเที่ยว” การขึ้นมาท่องเที่ยวบนภูกระดึงเพียงแค่ครั้งเดียวนั้น ยังไม่พอ เพราะภูเขาแห่งนี้มีมนต์เสน่ห์มากมายให้ได้กลับมาสัมผัส
“ภูกระดึง” นั้นตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่สองถัดจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่ถูกตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2502 และในครั้งนี้ “ตะลอนเที่ยว” มีโอกาสกลับมาพิชิตภูกระดึงอีกครั้ง เพื่อระลึกความทรงจำเมื่อครั้งเก่าก่อนที่ได้ขึ้นมายลธรรมชาติบนภูเขาแห่งนี้ โดยมีจุดเริ่มต้นคือที่ “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูกระดึง” ในจุดนี้ก็จะเป็นขั้นตอนการจองที่พัก จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ และนำสัมภาระไปชั่งน้ำหนัก เพื่อจ้างลูกหาบให้หาบของขึ้นไปที่ด้านบน
เมื่อจบภารกิจแรกเริ่มแล้ว ก็ได้เวลาเดินขึ้นสู่ภูกระดึงในระยะทางประมาณ 5.5 กิโลเมตร ซึ่งตลอดเส้นทางนั้นจะมีจุดพักต่างๆ อาทิ ซำแฮก, ซำบอน, ซำกกไผ่, ซำแคร่ ให้เราได้พักแข้งพักขาเป็นช่วงๆ เพื่อเติมเรี่ยวแรงเดินไปยังจุดหมายต่อไป และธรรมชาติตลอดเส้นทางนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามระดับความสูง ซึ่งการกลับมาเที่ยวในครั้งนี้ ตะลอนเที่ยวได้มีโอกาสเห็นป่าไผ่สีทองที่กำลังผลัดใบร่วงโรยลงมาสู่พื้นจนเกิดเป็นถนนเหลืองสีทองในช่วงทางเดินขึ้นสู่ซำแฮก มองแล้วคลาสสิกงดงามจนต้องหยุดมอง
นอกจากธรรมชาติที่สวยงามที่มีให้ชมตลอดเส้นทางแล้ว ระหว่างทางก็ยังจะได้เจอะเจอนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เดินผ่านกันไปมา ซึ่งในบางครั้งก็จะมีการทักทายกันเกิดขึ้น ถามไถ่กันและกันว่ามากี่ครั้งแล้ว หรือให้กำลังใจกันและกันเพื่อขึ้นไปพิชิตภูเขางามแห่งนี้ และตะลอนเที่ยวก็มีโอกาสพบกับกลุ่มของคุณอาคุณน้า ที่นัดกันมาเที่ยวภูกระดึง และได้รู้มาว่า
“คุณอาคุณน้าเป็นเพื่อนๆ กัน นัดกันมาเที่ยว บางท่านมาครั้งแรก บางท่านมาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกคนกลับเลือกภูกระดึงเป็นจุดนัดพบ และแม้การเดินขึ้นอาจจะดูลำบาก แต่เส้นทางที่ทอดยาวไปนั้น ก็ทำให้ความสัมพันธ์เหนียวแน่นยิ่งขึ้นไปอีก เพราะมีเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันตลอดเส้นทางอันงดงามนี้”
หลังจากเพียรพยายามเดินผ่านจุดพักเรื่อยมา ก็มาถึง “หลังแป” อันเป็นที่ตั้งของป้ายจาลึกวลีอมตะ “ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” ที่ใครๆ ก็ต้องมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไว้ แต่สำหรับตะลอนเที่ยวแล้ว ก็คงจะต้องพูดว่า “ครั้งที่สองในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” และที่บริเวณนี้ ก็ยังเป็นจุดที่สามารถเห็นทัศนียภาพได้อย่างกว้างไกล แต่ก็คงจะยืนชมได้ไม่นาน เพราะจะเดินทางไปยัง “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “วังกวาง” จุดหมายปลายทาง อันเป็นจุดกางเต็นท์ที่ใช้หลับนอน ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดาวบนภูกระดึง
สำหรับการเดินทางไปสู่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางนั้น ตะลอนเที่ยวได้เลือกใช้บริการจักรยานปั่นลัดเลาะไปตามถนนริมหน้าผาไปสู่ “ผาหมากดูก” และเลี้ยวขวาเข้าสู่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ในเส้นทางนี้ก็จะได้พบกับวิวทิวทัศน์ของต้นสนเรียงราย และหน้าผาที่ทอดยาวขนาบข้างตามเส้นทางปั่นจักรยาน ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร หรือใครจะใช้วิธีดั้งเดิม คือเดินตามถนนสายหลักที่ทอดยาวไปสู่จุดหมายในระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรก็ได้ เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ก็ได้เวลารับสัมภาระจากลูกหาบ ซึ่งครั้งนี้ตะลอนเที่ยวได้เลือกใช้บริการเต็นท์เป็นที่นอนสำหรับเก็บเรี่ยวแรง ในการเดินชมความสวยงามบนภูเขายอดตัดรูปหัวใจแห่งนี้
วันและเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ และในช่วงเช้ามืดนั้นตะลอนเที่ยวได้เดินทางผ่านความมืดใต้แสงดาวมากมาย โดยมีเจ้าหน้าที่อุทยานเป็นผู้นำทาง เพื่อไปยัง “ผานกแอ่น” จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นบนภูกระดึง เมื่อทุกคนถึงจุดหมายแล้วก็ต่างแยกย้ายหามุมสำหรับรอรุ่งแสงอรุณวันใหม่ ในจุดนี้จะสามารถเห็นทิวทัศน์ของอำเภอภูกระดึงมุมสูงได้อย่างกว้างไกล โดยจะเป็นแสงไฟจากถนนทอดยาวเป็นเส้นสาย ตัดกับฟากฟ้าที่มีดาวระยิบระยับ และค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อพระอาทิตย์เริ่มโผล่จากขอบฟ้า ทอแสงสีส้มแดงสดใสให้ทุกคนได้ยลและตราตรึงใจไปอีกนานแสนนาน
เมื่อได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ตะลอนเที่ยวก็ได้เดินต่อมา “ลานวัดพระแก้ว” ลานหินกว้างขวางแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2463 ที่ใครหลายคนมาแวะสักการะขอพร จากนั้นก็เดินต่อไปยังวังกวางเพื่อกินข้าวเช้าเติมพลังสำหรับการตะลอนเที่ยวบนภูกระดึง
หลังเสร็จกิจธุระช่วงเช้าแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางออกท่องเที่ยวบนภูกระดึง โดยมีสองเส้นทางหลักคือ “เส้นทางริมผา” และ “เส้นทางน้ำตก” แต่ก็ใช่ว่าจะต้องเดินตามเส้นทาง มนต์เสน่ห์ของภูกระดึงคือการวางแผนเส้นทางเที่ยวเองได้อย่างตามใจ แต่ไม่ควรเข้าไปในเขตพื้นที่หวงห้ามเพราะอาจเกิดอันตรายได้
จุดแรกที่ได้ไปเยือนนั้นคือ “น้ำตกถ้ำใหญ่” โดยเป็นน้ำตกที่อยู่ห่างจากที่พักไปไม่ไกลนัก แต่ก่อนจะไปถึงน้ำตกถ้ำใหญ่ ระหว่างทางก็จะได้พบกับ “ลานศรีณคริน” อันเป็นที่ ประดิษฐาน "พระพุทธเมตตา" ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2463 โดยหลวงวิจิตรคุณสาร นายอำเภอวังสะพุงในขณะนั้น ร่วมกับชาวบ้าน และต่อมาในปี พ.ศ. 2526 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้บูรณะองค์พระและบริเวณลานหินโดยรอบ และพระราชทานนามพระพุทธรูปนี้ว่า "พระพุทธเมตตา" จนกลายมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนที่มาเยือนภูกระดึงจนมาถึงปัจจุบัน
เมื่อมาถึงน้ำตกถ้ำใหญ่ที่มีลักษณะเป็นโขดหินเล็กใหญ่วางทับซ้อนไม่เป็นระเบียบ ในครั้งนี้ตะลอนเที่ยวมาสัมผัสน้ำตกแห่งนี้ในช่วงฤดูหนาว ที่มีน้ำตกมีน้ำเหลือน้อย แต่กลับมี “ใบเมเปิลสีแดง” ที่ร่วงหล่นลงมาจากต้น สีแดงของใบเมเปิลตัดกับสีเขียวชอุ่มของพืชพรรณบริเวณน้ำตกมองแล้วสวยงามอย่างมาก
และใครที่ต้องการจะชมใบเมเปิลแดง ก็ต้องคำนวณช่วงเวลาให้ดี ส่วนใหญ่ใบเมเปิลจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงในช่วงปลายเดือนธันวาคม - ต้นเดือนมกราคม หรือขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ความงดงามนี้ จึงกลายมาเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ใครๆ ก็อยากจะยลกับตาสักครั้ง และยังเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ใครบางคนต้องกลับมาเยือนภูกระดึงอีกครั้ง
เต็มอิ่มกับการชมใบเมเปิลแดงแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป ใครครั้งนี้ตะลอนเที่ยวได้ใช้เส้นทางเดินตัดผ่านมายัง “ผานาน้อย” ที่มีบรรยากาศเป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างสลับป่าสนที่ยืนต้นตายเนื่องจากเกิดไฟป่า ตามลำต้นสนที่ยืนต้นตายก็ยังมีกล้วยไม้ขึ้นมา มองดูแล้วสวยงามแปลกตาไปอีกแบบ และยังเป็นสิ่งย้ำเตือนคำที่กล่าวไว้ว่า “ไฟมา ป่าหมด” ได้อย่างดี
เดินชมบรรยากาศมาได้สักพัก ก็จะมาถึงจุดหมายปลายทางที่ “ผานาน้อย” หน้าผาแห่งนี้ เป็นผาเล็กๆ ที่มองดูแล้วสวยงามไม่แพ้ผาอื่นๆ สามารถเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างกว้างไกล เดินเรื่อยไปก็จะไปพบกับเส้นทางท่องเที่ยวริมผา โดยเส้นทางจะผ่านผาเหยียบเมฆ ผาแดง จนไปสิ้นสุดที่ “ผาหล่มสัก” ผาอันเป็นสัญลักษณ์ของภูกระดึง ที่ใครๆ ก็ต้องมาสิ้นสุดการเดินทางของวัน ณ ที่แห่งนี้ เพื่อดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
และในช่วงระหว่างทางเดินริมผานั้น หากใครช่างสังเกตก็จะมีโอกาสเห็น “ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง” อีกหนึ่งต้นไม้งามแปลกตา และ “กระดุมเงิน” ดอกไม้สีขาวที่สวยงามจับใจอีกด้วย
ในครั้งนี้ ตะลอนเที่ยวได้เปลี่ยนบรรยากาศมารอชมพระอาทิตย์ตก ที่ “ผาเหยียบเมฆ” หน้าผาแห่งนี้มีลักษณะเป็นลานหินกว้างและมีหินงอกขึ้นมา เมื่อขึ้นไปยืนแล้วก็เหมือนได้เหยียบบนเมฆจริงๆ แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังกันหน่อย หลังจากนั่งกินลมชมวิวสักพัก ในที่สุดพระอาทิตย์ก็เริ่มลดทอนแสงเจิดจ้าลง กลายเป็นแสงสีแดงส้มและค่อยๆ ลาลับขอบฟ้า เป็นสัญญาณว่าเราต้องเดินกลับที่พัก ในความมืดที่ประดับประดาด้วยแสงดาวและอากาศหนาวเย็นสบาย
เส้นทางท่องเที่ยวบนภูกระดึงนั้น แม้จะดูเป็นเส้นทางที่ยาวไกลหลายสิบกิโลเมตร แต่หากได้มากับเพื่อนรู้ใจแล้ว บทสนทนาที่เพลิดเพลิน แต่งแต้มด้วยวิวทิวทัศน์งามตา ก็จะทำให้หนทางไกลนั้นสั้นลง และเปลี่ยนความเหนื่อยล้า มาเป็นมิตรภาพที่เหนียวแน่นยิ่งขึ้น ความผสมผสานนี้จึงเป็นมนต์เสน่ห์ที่ทำให้ใครหลายคนกลับมาเยือนมากกว่าครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้มาพิชิตภูกระดึง
*****
สำหรับผู้ที่ต้องการนำสัมภาระขึ้นบนยอดภู โดยไม่ต้องแบกเอง สามารถใช้บริการลูกหาบได้ โดยคิดค่าบริการแบกสัมภาระ กิโลกรัมละ 30 บาท สามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเที่ยวภูกระดึงเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย โทร. 0-4287-1333, 0-4287-1458
* * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com