วันที่สี่ถือว่าฤกษ์ดีมาก ฝนตกแต่เช้ามืดพวกเรารอจนฝนพร่ำจึงเดินออกไปห้องน้ำฝ่าความหนาวเหน็บกันไป และเริ่มออกเดินทางกันต่ออีก 350 กม. มุ่งหน้าสู่ Kharakhorum เมืองหลวงเก่ามองโกเลีย เส้นทางเรายังขับตามคันนำเหมือนเดิม เพราะสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเหมือนไม่ใช่ทางเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าปลายทางอยู่ที่ใด ส่วนถนนลาดยางก็มีให้ใช้บ้างช่วง แต่ส่วนใหญ่ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ขับบนทุ่งหญ้า อากาศก็ค่อนข้างหนาว เพราะฝนตกตลอดทาง ถนนกลายเป็นดินโคลน การขับวันนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก แต่ทุกอย่างก็ผ่านมาได้ด้วยดี มาสด้าบีที-50 โปร เอาอยู่
วันนี้เราได้แวะกระโจมของชาวมองโกเลียเร่ร่อน และได้มีโอกาสขี่ม้าของเขาด้วย แถมประธานมาสด้า ยังได้ขี่มอไซด์ของชาวมองโกลที่เขาใช้เป็นพาหนะเพิ่มเติมนอกเหนือจากม้า อีกต่างหาก และก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง วิวทิวทัศน์เปลี่ยนไปจากทุ่งหญ้ากลายเป็นภูเขาหินเต็มไปหมดสองข้างทาง รถคันนำอนุญาตให้เราจอดแวะถ่ายรูปกันสนุกสนาน
สุดท้ายก่อนเข้าโรงแรมทีมงานพาเราไปพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้พวกเราทราบถึงประวัติศาสตร์ของชาวมองโกเลียในอดีต กันเล็กน้อย และคืนนี้เรายังคงนอนในกระโจมกันเหมือนเดิมแต่จะเป็นคืนสุดท้ายที่จะได้นอน เพราะพรุ่งนี้เราจะเดินทางเข้าเมืองหลวง อูลานบาตอร์
เช้าวันรุ่งขึ้นวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการขับทดสอบรถบีที-50 โปร เราออกเดินทางแต่เช้ามุ่งหน้าสู่เมืองหลวง 400 กม. สภาพเส้นทางยังคงหลากหลายเดาไม่ถูก แต่อย่างไรก็ตามเส้นทางที่เราขับผ่านมาในแต่ละวัน นอกจากทุ่งหญ้า ภูเขา พวกเราจะได้เห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ โผล่ขึ้นมาบนเส้นทางที่คิดว่าไม่หน้าจะมีบ้านคนอยู่ได้ซึ่งเป็นสิ่งน่าทึ่งมาก
ตอนเช้าเราได้ไปชมวัด คาราโครัม กันก่อน วัดคาราโครัมวัดในเมืองหลวงเก่าคาราโครัมมีชื่อว่า Erdene Zuu Monastery ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอดีตเมืองหลวงของมองโกเลียในยุคที่เจงกิสข่านเป็นผู้ปกครอง ว่ากันว่าเจงกิสข่านสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา ประกอบด้วยวัด เจดีย์ 108 เจดีย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก เพื่อเป็นศูนย์รวมใจของชาวมองโกลในยุคนั้น เพราะมีปัญหาความขัดแย้งภายในกันเองอย่างหนัก คาราโครัมเคยเป็นเมืองหลวงของมองโกเลีย ระหว่าง ค.ศ.1220-1267
และตอนเที่ยงยังพักทานอาหารริมทะเลสาบโอกิ ที่มีทิวทัศน์สวยงาม ทำให้อาหารอร่อยขึ้นมาทันที หลังจากนั้นเดินทางเข้าเมืองหลวง ช่วงขาเข้าเมืองการจราจรแน่นมาก รถติด การขับขี่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก และต้องพยายามเกาะติดคันหน้าไว้ ไม่เช่นนั้นจะไม่ถึงโรงแรม หลงเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม การขับขี่ในช่วงเดินทางในมองโกเลีย 4-5 วัน จึงเป็นไปอย่างช้า ๆ ไม่สามารถทำความเร็วได้เหมือนวันแรก ระยะทางในแต่ละวันที่ขับ 200-300-400 กม. จึงใช้เวลานานกว่าจะไปถึงที่พัก แต่อย่างไรมาสด้า บีที-50 โปร ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ขับผ่านไปได้อย่างสบาย ไมว่าถนนจะเป็นแบบใด พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียนมั่นใจมากขึ้น ตอบสนองการขับขี่ได้ดี แม่นยำ เมื่อขับขี่ในเมืองอาจจะหนักไปหน่อยแต่ในช่วงความเร็วสูงกับรู้สึกมั่นใจขึ้น ขณะที่ช่วงล่างออกแบบให้นุ่มนวลคล้ายรถยนต์นั่งสาว ๆ เลยนั่งสบายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่สำคัญเราไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับใครได้ จึงใช้อุปกรณ์ภายในรถเพื่อเพิ่มความสุขในการเดินทางด้วยเพลงที่อัดใส่ USB มาเป็นร้อยเลยฟังกันเพลิน พร้อมชื่นชมธรรมชาติสองข้างทางแบบหลับไม่ลงกันเลยทีเดียว
อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า มองโกเลีย เป็นดินแดนในฝันของใครหลายคน การมาเยือนและได้ชื่นชมกับธรรมชาติด้วยตาตัวเองถือเป็นความโชคดี เพราะความสวยงามของธรรมชาติในประเทศนี้ไม่สามารถบันทึกผ่านเลนท์ได้เหมือนของจริง ทุกอย่างต้องมองด้วยสายตาและเก็บภาพเหล่านั้นไว้ในใจ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เราได้แวะก็แปลกตา-แปลกใจ ไม่ว่าจะเป็น Energy place จุดรับพลัง- ที่พักเป็น “เกอร์” หรือกระโจมของชาวมองโกเลีย -แวะชมความเป็นอยู่ของคนมองโกล บนทุ่งหญ้ากว้าง -กินข้าวกลางวันข้างทะเลสาบโอกิ -เที่ยวชมเมืองหลวงเก่า Kharakhorum สิ่งที่เห็นและได้สัมผัสเป็นความประทับใจจนบรรยายไม่ถูกจริง จริง
สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า การมาเยือนดินแดนสวรรค์บนดินแบบนี้ กับเส้นทางที่ผู้อ่านได้เห็นจากภาพที่นำลงประกอบข้อเขียน จะเห็นว่า บีที-50 โปร ใหม่ สามารถผ่านมาได้อย่างสบาย ๆ รถไม่มีปัญหาใดในระหว่างทางที่ขับกันมา5-6 วัน หากรวมรวมระยะทางการเดินทางของรถรุ่นนี้จาก ไทย-จีน-มองโกเลีย-จีน-ไทย ทั้งสิ้น 20,000 กม. 26 วัน “มาสด้า บีที-50 โปร” น่าจะเป็นคำตอบได้ดีในความแกร่ง ดั่งคำนิยามที่ว่าไว้