ในครั้งที่แล้ว “ตะลอนเที่ยว” ได้เล่าถึงการเดินทางสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง “ภาคเหนือ - AEC - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ในรูปแบบการท่องเที่ยวคาราวานรถยนต์ ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภูมิภาคภาคเหนือ ได้จัดขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวของภาคเหนือ ไปยังประเทศเพื่อนบ้านคือ สปป.ลาว และโยงมาถึงภาคอีสาน ให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกันได้ทั้งในประเทศ และในภูมิภาคอาเซียน คลิกอ่าน คาราวาน AEC สุขใจไทย-ลาว(1) : “เมืองลับแล-ด่านภูดู่-สู่หลวงพระบาง” ได้ที่นี่
ตอนที่แล้ว “ตะลอนเที่ยว” ได้ท่องเที่ยวไปในเมืองลับแล จ.อุตรดิตถ์ เมืองเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจ ที่มีตำนาน “เขาเล่าว่า...” สืบต่อมาว่า “เมืองนี้ห้ามพูดโกหก” จากนั้นก็พาข้ามด่านชายแดนไปยัง สปป.ลาว โดยผ่าน “จุดผ่านแดนถาวรภูดู่” ใน อ.บ้านโคก จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นด่านที่หลายๆ คนอาจยังไม่รู้จัก แต่เส้นทางจากด่านแห่งนี้นับว่าน่าสนใจ เพราะจากจุดนี้สามารถขับรถผ่านไปยังเมืองไชยบุรี ไปจนถึงเมืองหลวงพระบางของ สปป.ลาวได้อย่างสะดวก ด้วยระยะทางราว 460 ก.ม. และมีสภาพถนนที่ค่อนข้างดีตลอดเส้นทาง ไม่มีเส้นทางคดโค้งขึ้นลงเขาน่าหวาดเสียวมากนัก
“ตะลอนเที่ยว” ได้แวะนอนค้างที่เมืองลับแลหนึ่งคืน ข้ามด่านภูดู่เข้าสู่เมืองลาวมานอนที่เมืองไชยบุรีอีกหนึ่งคืน และเดินทางต่อมาถึงเมืองหลวงพระบางในที่สุด
“หลวงพระบาง” หัวใจแห่งแผ่นดินล้านช้าง
นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก รวมถึง “ตะลอนเที่ยว” หวังว่าจะได้มาชมความงามของเมืองหลวงพระบางสักครั้งหนึ่ง เพราะที่นี่เป็นอดีตเมืองหลวงเก่าของอาณาจักรล้านช้าง ที่ได้ชื่อว่าเป็น “หัวใจแผ่นดินล้านช้าง” เพราะมีความสำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิต และการท่องเที่ยว อีกทั้งหลวงพระบางยังได้รับยกย่องจากยูเนสโกให้เป็น “เมืองมรดกโลก” ในปี 2541 อีกด้วย
แน่นอนว่ามาถึงหลวงพระบาง นักท่องเที่ยวต่างก็อยากมาสัมผัสกับวิถีประเพณีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวหลวงพระบาง โดยเฉพาะกับประเพณี “ตักบาตรข้าวเหนียว” อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งแน่นอนว่า “ตะลอนเที่ยว” ก็ไม่ขอพลาดกิจกรรมนี้
หลังจากตักบาตรข้าวเหนียวเสร็จในตอนเช้าตรู่ เราขอแนะนำให้ไปเที่ยวชมตลาดเช้าของเมืองหลวงพระบางที่เต็มไปด้วยสีสันและบรรยากาศการค้าขายที่คึกคัก แล้วค่อยมาเดินเล่นเที่ยวชมบรรยากาศของตัวเมืองหลวงพระบาง ที่แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็สวยงามและมีสิ่งน่าสนใจหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ตึกเก่าสไตล์โคโลเนียล โดยเฉพาะในบริเวณที่เรียกว่า “บ้านเจ๊ก” ซึ่งเดิมเป็นถิ่นค้าขายของชาวจีน จะมีอาคารเก่าแก่สวยงามเรียงรายอยู่บริเวณนี้
นอกจากนั้น จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเมืองหลวงพระบางก็คือวัดวาอารามอันงดงามน่าชม ไม่ว่าจะเป็น “วัดเชียงทอง” วัดงามที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งสถาปัตยกรรมล้านช้างที่ ภายในวัดมี “สิม” หรือ “โบสถ์” ซึ่งเป็นสิมแบบล้านช้างสมบูรณ์ที่สุด ประตูสิมด้านหน้าเป็นงานแกะสลักไม้อันอ่อนช้อย ผนังตกแต่งด้วย “พอกคำ” หรืองานลงรักปิดทอง ส่วนผนังสิมด้านหลัง (ด้านนอก) ประดับลาย “ดอกดวง” หรือลายกระจกสี ทำเป็นรูป “ต้นทอง” ท่ามกลางสัตว์หลายชนิดกับตำนานนิทานพื้นบ้านและที่มาของชื่อเมือง “เชียงทอง” ซึ่งเป็นชื่อเดิมของหลวงพระบาง
ในบริเวณวัดยังมีวิหารหลังน้อยทาด้วยสีแดงอมชมพูดูน่ารัก นั่นคือ “หอพระพุทธไสยาสน์” และ “หอพระม่าน” ซึ่งบนผนังก็มีการประดับลายดอกดวงเล่าเรื่องราวคติสอนใจจากนิทานพื้นบ้าน และภาพวิถีชีวิตชาวหลวงพระบางในอดีต และที่พลาดชมไม่ได้คือ “โรงเมี้ยนโกศ” หรือ “โรงราชรถ” ภายในเก็บราชรถที่เคยใช้ในการอัญเชิญพระโกศของพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ขณะที่ตรงบานหน้าต่างและบานประตูงดงามไปด้วยงานแกะสลักไม้ฝีมือของ “เพียตัน” (พระยาตัน) หนึ่งในสุดยอดช่างของลาว ที่ใครๆ ได้เห็นงานแกะสลักนี้ล้วนต้องยกย่องในฝีมือของท่านอย่างไม่ต้องสงสัย
วัดงามและสำคัญของเมืองหลวงพระบางยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “วัดแสนสุขาราม” “วัดใหม่สุวันนะพูมาราม” “วัดวิชุนราช” ที่มีพระธาตุหมากโมตั้งเด่นอยู่ด้านหน้าวัด หรือหากอยากไหว้พระและชมเมืองหลวงพระบางมุมสูงไปพร้อมๆ กัน ต้องขึ้นมาบน “พูสี” ภูเขาขนาดย่อมๆ กลางเมืองเพื่อมากราบ “พระธาตุพูสี” ที่เปรียบดังหลักเมืองหลวงพระบาง
และต้องไม่พลาดที่จะมากราบ “พระบาง” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวลาวที่ “หอพระบาง” ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณหอพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง ซึ่งเดิมเป็นพระราชวังหลวงเดิมของเจ้ามหาชีวิต พอเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ ภายในเก็บโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุล้ำค่าต่างๆ
ไม่เพียงในเมืองเท่านั้น แต่นอกเมืองหลวงพระบางก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอันน่ายลอีกหลากหลาย ทั้งหมู่บ้านหัตถกรรมที่ขึ้นชื่อในเรื่องของผ้าทอและการทำกระดาษสา เช่นที่ “บ้านช่างฆ้อง” ที่มีการทำกระดาษสาจากต้นปอสา และการทอผ้า รวมถึงผลิตภัณฑ์จากผ้าทั้งหลาย เช่น เสื้อในสไตล์ชนเผ่า กระเป๋า ย่าม ผ้าพันคอ ในราคาที่ไม่บวกมานัก แถมยังเดินชมได้เรื่อยๆ ไปในหมู่บ้าน ซึ่งแต่ละบ้านแต่ละร้านก็จะมีข้าวของวางขายแตกต่างกันไป หรือจะเป็นที่ “บ้านผานม” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวว่าเป็นแหล่งหาซื้อของฝากจำพวกผ้าทอผืนงามๆ ได้ไม่ยากเลย
ส่วนแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาตินอกเมืองหลวงพระบางก็มีให้ชมเช่นกัน เช่น “น้ำตกตาดกวางซี” อันยิ่งใหญ่และงดงาม และ“น้ำตกตาดแส้” ที่มีกิจกรรมหลากหลายให้นักท่องเที่ยวเที่ยวชม ไม่ว่าจะเป็นการขี่ช้างเดินเที่ยว ขี่ช้างเล่นน้ำตก หรือจะแค่แหวกว่ายในแอ่งน้ำตกขนาดใหญ่ราวกับสระว่ายน้ำธรรมชาติ สายน้ำเย็นฉ่ำสีเขียวสดใสเนื่องจากเป็นน้ำตกหินปูน สร้างความสดชื่นให้นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
แต่หลวงพระบางก็ยังไม่ใช่จุดหมายปลายทางสุดท้าย โดย “ตะลอนเที่ยว” ท่องเที่ยวและพักค้างคืนที่หลวงพระบางหนึ่งคืน จากนั้นในช่วงบ่ายเราก็เดินทางไปยัง “เมืองวังเวียง” กันต่อ และจากหลวงพระบางมาวังเวียงปัจจุบันนี้มีเส้นทางสายใหม่ที่ช่วยย่นระยะทางจากเส้นทางเดิม (ถนนหมายเลข 13 ใต้) ไปได้มาก อีกทั้งยังมีสภาพถนนที่ดี เส้นทางคดโค้งขึ้นเขาไม่มากมายเท่าเส้นเดิม ทำให้ลดระยะเวลาจากหลวงพระบางมายังวังเวียงจาก 6-7 ชม. เหลือเพียงราว 4 ชม. เท่านั้น
โดยจากเมืองหลวงพระบางเรามุ่งหน้าลงทางใต้มายังเมืองเชียงเงิน ที่สามแยกเมืองเชียงเงินเราแยกมาทางขวามาตามถนนหมายเลข 4 ทางที่จะกลับไปเมืองไชยบุรี พอวิ่งมุ่งหน้าตรงมาถึงสามแยกที่บ้านพงดงก็เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสายใหม่ที่ตัดมายังเมืองกาสี ซึ่งเป็นจุดบรรจบของถนนเส้นใหม่นี้กับถนนหมายเลข 13 ซึ่งเป็นทางสายเดิม สำหรับทางสายใหม่นี้เส้นทางจะอยู่บนไหล่เขา ไม่โค้งชันมากนัก อีกทั้งยังมีจุดแวะพักให้ชมวิวสวยๆ ของภูเขาน้อยใหญ่กันได้อีกด้วย
เนื่องจากออกจากหลวงพระบางมาก็บ่ายมากแล้ว เราจึงเดินทางมาถึงเมืองวังเวียงเอาตอนย่ำค่ำพอดี กิจกรรมในค่ำคืนนี้หลายคนจึงเลือกที่จะพักผ่อนเอาแรงก่อนจะที่ลุยเที่ยวเมืองวังเวียงกันในวันพรุ่งนี้
สนุกสนานกับหลากหลายกิจกรรมผจญภัยที่ “วังเวียง”
เช้าวันนี้ที่วังเวียงบรรยากาศแจ่มใส อากาศเย็นสบาย เหมาะกับการทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเมืองวังเวียงซึ่งอยู่ในแขวงเวียงจันทน์แห่งนี้นอกจากจะมีทัศนียภาพอันงดงามจนได้ฉายาว่า “กุ้ยหลินเมืองลาว” อันเนื่องมาจากเป็นเมืองที่มีภูเขาหินปูนน้อยใหญ่โอบล้อม และมีแม่น้ำซองไหลคดเคี้ยวผ่านเมืองแล้ว ที่เมืองนี้ยังเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชื่นชอบกิจกรรมผจญภัยอีกด้วย
เนื่องจากกิจกรรมท่องเที่ยวที่เมืองวังเวียงนี้ค่อนข้างจะโลดโผนเล็กน้อย อีกทั้งในเมืองก็มีแหล่งบันเทิงผับบาร์อยู่มาก เมืองวังเวียงจึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยววัยรุ่นวัยมันส์มาสนุกสนานกับเพื่อนฝูงเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยกิจกรรมท่องเที่ยวที่นี่ก็มีทั้งการล่องเรือชมความงามของแม่น้ำซองและภูเขาหินปูนที่โอบล้อม จะเลือกนั่งเรือติดเครื่องหรือจะออกแรงพายเรือคายัคชมวิวเองก็ได้
แต่ถ้าจะให้สนุก ต้องล่องห่วงยางเล่นในแม่น้ำซอง โดยจะมีร้านให้เช่าห่วงยางอยู่ในเมือง จากนั้นทางร้านจะพานักท่องเที่ยวขึ้นรถสองแถวเพื่อไปส่งที่จุดเริ่มต้น แล้วก็ล่องห่วงยางตามน้ำมาเรื่อยๆ ซึ่งการล่องห่วงยางนี้ทำให้สามารถสัมผัสและชมแม่น้ำซองได้อย่างใกล้ชิด และได้บรรยากาศอีกด้วย และริมน้ำซองบางช่วงก็ยังมีร้านค้าร้านอาหารให้เราได้แวะพักได้ตามใจ สามารถแวะซื้อเครื่องดื่มพร้อมกับมานั่งแช่ขาลงแม่น้ำ พร้อมชมวิวทิวทัศน์โดยรอบที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่ได้อย่างเพลิดเพลิน
นอกจากนั้นกิจกรรมยอดฮิตที่วังเวียงก็คือการไปเล่นน้ำที่ “บลูลากูน” ซึ่งเป็นลำธารธรรมชาติที่ไหลออกมาจากภูเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำพูคำ สายน้ำที่ไหลออกมาจากถ้ำในวันนี้เป็นสีเขียวอมฟ้าสดใสเย็นเฉียบ ราวกับเป็นสระว่ายน้ำธรรมชาติอันงดงาม แถมยังมีความเหมาะเจาะตรงที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ริมน้ำ กิ่งไม้ยื่นยาวออกไปกลางลำธาร นักท่องเที่ยวจึงนิยมท้าความกล้าด้วยการปีนต้นไม้ขึ้นไปแล้วกระโดดเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน
สำหรับใครที่ชอบเที่ยวถ้ำ ที่นี่มี “ถ้ำจัง” เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต แต่ทุกคนจะต้องเดินขึ้นบันไดแสนชัน 147 ขั้น เพื่อไปสู่ปากทางเข้าถ้ำ ถ้ำแห่งนี้แม้ไม่ใหญ่โตแต่ก็มีหินงอกหินย้อยสวยงามให้ได้ชม อีกทั้งทางเดินภายในถ้ำยังสะดวกสามารถเดินชมถ้ำได้อยากสะดวกสบาย เมื่อเดินเข้าไปภายในยังมีจุดชมวิวทิวทัศน์ของเมืองวังเวียงได้จากด้านบนอีกด้วย
โดยกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆ เหล่านี้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อเป็นแพ็คเกจแบบวันเดย์ทริป หรือจะเลือกเล่นเฉพาะอย่างเอาตามความชอบก็ได้เช่นกัน แต่ที่แน่ๆ วันนี้ “ตะลอนเที่ยว” หมดแรงกับกิจกรรมผจญภัยเหล่านี้จนต้องขอพักผ่อนที่วังเวียงอีกหนึ่งคืน ก่อนจะเตรียมตัวเดินทางกลับประเทศไทยในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันถัดมาก็ถึงเวลาที่ต้องบอกลาวังเวียงกลับสู่บ้านเกิดกันแล้ว คราวนี้คาราวานของเราใช้เส้นทางหมายเลข 13 มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองเวียงจันทน์ ถนนหนทางช่วงนี้ไม่โค้งชันมากแล้ว แต่สภาพถนนไม่ค่อยดีนัก เหล่าคณะคาราวานเลยเกิดอาการมึนๆ กันบ้างเล็กน้อย แต่ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงสะพานมิตรภาพไทยลาวที่เชื่อมระหว่างเมืองเวียงจันทน์และเมืองหนองคาย ขับรถข้ามแม่น้ำโขงกลับสู่ดินแดนบ้านเกิดของเราในที่สุด มาถึงที่นี่ถ้าใครมีเวลาอยากแวะเที่ยวหนองคาย หรืออุดรธานีต่อก็ยังได้
แต่ถ้าไม่แวะเที่ยวเป็นอันจบเส้นทางคาราวานสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง “ภาคเหนือ - AEC - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ที่เรียกได้ว่าครบรสชาติทั้งเที่ยวเมืองไทย เที่ยวเมืองเพื่อนบ้าน การเดินทางก็สะดวกสบาย แหล่งท่องเที่ยวน่าประทับใจ ถ้าใครอยากลองมาเที่ยวในเส้นทางอุตรดิตถ์ - ไชยบุรี - หลวงพระบาง - วังเวียง - เวียงจันทน์ - หนองคาย แบบนี้บ้าง เตรียมวางแผนและเก็บกระเป๋ากันมาได้เลยอย่ารอช้า
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางเชื่อมโยงระหว่างจุดผ่านแดนถาวรภูดู่ อ.บ้านโคก จ.อุตรดิตถ์ ไปยัง สปป.ลาว หรือการท่องเที่ยวในจังหวัดอุตรดิตถ์ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานแพร่ (ดูแลพื้นที่ แพร่ น่าน อุตรดิตถ์) สอบถามโทร.0 5452 1118
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
คลิกอ่าน คาราวาน AEC สุขใจไทย-ลาว(1) : “เมืองลับแล-ด่านภูดู่-สู่หลวงพระบาง” ได้ที่นี่
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com