xs
xsm
sm
md
lg

เที่ยว“มาเก๊า”ที่แตกต่าง เข้าวัด ไหว้เทพ...สัมผัสมนต์เสน่ห์ “ยุโรปแห่งเอเชีย”/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
กิจกรรมทัวร์ธรรมะ เข้าวัดไหว้เทพ ไหว้พระ นับเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่แตกต่างไปจากการทัวร์เสี่ยงโชคในมาเก๊า(สถานที่ : วัดอาม่า)
เอ่ยชื่อ“มาเก๊า”(Macau) หลายๆคนมักจะนึกถึงดินแดน“ลาสเวกัสแห่งเอเชีย” ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการพนันเสี่ยงโชค ยามราตรีค่ำคืนคึกคักไปด้วยแสงสีจากคาสิโน คอมเพล็กซ์ และสถานบันเทิงต่างๆอันหลากหลาย

อย่างไรก็ดีในอีกแง่มุมหนึ่ง มาเก๊ามีแง่งามของความเป็นเมืองแห่งวิถีวัฒนธรรมกับฉายา “ยุโรปแห่งเอเชีย” หรือ “ยุโรปน้อยแห่งเอเชีย” ที่ผสานความเป็นจุดนัดพบระหว่างตะวันออกกับตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวมานับเป็นเวลาหลายร้อยปี จนองค์การยูเนสโกประกาศให้พื้นที่ศูนย์กลางเมืองเก่าของมาเก๊าเป็น “มรดกโลก” ในปี พ.ศ. 2548(ค.ศ. 2005) กับสถานที่ที่น่าสนใจมากหลาย
ความเป็นเมืองที่ผสานระหว่างตะวันออกกับตะวันตกจนมาเก๊าได้รับฉายาว่าเป็น “ยุโรปแห่งเอเชีย”(สถานที่ : ซากประตูโบสถ์ เซนต์ ปอล มรดกโลกและสัญลักษณ์แห่งเมืองมาเก๊า)
ขณะที่ความเป็นมาเก๊าในปัจจุบัน คนเมืองนี้ยังคงสามารถผสานวิถีดั้งเดิมกับวิถีสมัยใหม่เข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยมีวัดวาอาราม ศาลเจ้า และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวเมืองมากมาย แทรกแสดงตัวตนอยู่ในหลายๆพื้นที่ของบ้านเมืองที่อุดมไปด้วยตึกสูงและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่อันชวนตื่นตาตื่นใจ

ด้วยเหตุนี้ทาง “การท่องเที่ยวมาเก๊า” จึงได้นำจุดเด่นของความเป็นเมืองมากวัดวาอารามมาจัดเป็นกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบ “ทัวร์ธรรมะ” ชวนไหว้พระ เข้าวัด สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของการท่องเที่ยวในมาเก๊าที่แตกต่างไปจากเดิมๆที่คนไทยคุ้นเคย
ชาวมาเก๊าส่วนใหญ่นิยมมาขอพรเทพวัดเปากงให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน
กลุ่มวัดเปากง

สำหรับวัดเด่นๆที่เป็นระดับไฮไลท์ของกิจกรรมไหว้พระในมาเก๊านั้น มีทั้งในพื้นที่เขตมาเก๊า เขตเกาะไทปา และเขตเกาะโคโลอาน ซึ่งในตอนนี้จะขอโฟกัสไปในเฉพาะเขตมาเก๊า โดยผมขอเริ่มกันที่ “กลุ่มวัดเปากงและวัดเทพเจ้าแห่งการแพทย์” (Temple of Divinity of Medicine and Pau Kung Temple) ที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณ “ซากประตูโบสถ์ เซนต์ ปอล”(Ruins of St.Paul’s) แลนด์มาร์คอันดับหนึ่งและสัญลักษณ์สำคัญของเมืองมาเก๊าสักเท่าไหร่
กลุ่มวัดเปากงและวัดเทพเจ้าแห่งการแพทย์ที่ประกอบด้วย 3 วัดเล็กๆตั้งอยู่ติดกัน
กลุ่มวัดเปากงเป็นวัดเล็กๆ 3 วัดตั้งอยู่ติดๆกัน ประกอบไปด้วย “วัดเปากง”(Pau Kung Temple) ตั้งอยู่ตรงกลาง “วัดอี่เหล็งหรือวัดเทพเจ้าแห่งการแพทย์”(I Leng Temple)ตั้งอยู่ด้านขวามือ และ“วัดหนานซาน”(Nanshan Temple) ที่ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของวัดเปากง
วัดเปากงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่เปาบุ้นจิ้น ผู้คนนิยมมาขอให้มีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยกล้ำกราย
วัดเปากง(ค.ศ.1889)กับวัดอี่เหล็ง(ค.ศ.1893)สร้างขึ้นไล่เลี่ยกันในสมัยราชวงศ์ชิง ด้วยเหตุจากการเกิดมีโรคระบาดอย่างรุนแรงคร่าชีวิตผู้คนในมาเก๊าไปมากมายและการแพทย์ในยุคนั้นยังไม่เจริญก้าวหน้า ผู้คนจึงทำการสร้างวัดทั้งสองขึ้นเพื่อใช้สำหรับสวดมนต์ขอให้ช่วยบำบัดโรคภัยต่างๆ

โดยวัดเปากงนั้นสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ท่าน“เปาบุ้นจิ้น” เทพแห่งความยุติธรรม ภายในวัดมีรูปเคารพหลากหลาย นำโดยเทพเปากง(เปาบุ้นจิ้น), พระถังซำจั๋ง, เทพแห่งความมั่งคั่ง,นายพลจูล่ง, เทพนาจา เป็นต้น ชาวมาเก๊าส่วนใหญ่นิยมมาขอพรให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน รวมถึงมีความเชื่อว่าใครที่มาไหว้เทพเจ้าที่วัดเปากงจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายไปจากตัว
วัดอี่เหล็ง เป็นอีกหนึ่งวัดที่เด่นในเรื่องของการขอให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
ส่วนวัดอี่เหล็งหรือวัดเทพเจ้าแห่งการแพทย์ที่อยู่ทางขวามือของวัดเปากงนั้น สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่เทพเจ้าอันหลากหลาย ทั้งเทพอี่เหล็งหรือเทพเจ้าแห่งการแพทย์ เทพไท่ส่วยเอี้ย พระจี้กง เทพเจ้าแห่งพละกำลัง เป็นต้น
องค์พระนอนที่ชั้น 2 วัดอี่เหล็ง งดงามด้วยศิลปะในแบบจีน
ภายในวัดอี่เหล็งยังมีทางเดินเล็กๆนำสู่ชั้นบน เป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพุทธไสยยาสน์หรือพระนอน และองค์เทพอื่นๆ ซึ่งชาวมาเก๊ามีความเชื่อในเรื่องของการขอพรที่หลากหลาย ตามองค์เทพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขอเรื่องช่วยให้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ ขอเรื่องลูก ขอเรื่องคู่รักด้วยการนำด้ายแดงมาผูกไว้ที่เทพคู่รัก 2 องค์ หรือขอพรให้สมหวังในด้านต่างๆจากองค์พระนอนที่มีชาวจีนนิยมเดินทางมาขอพรกันมากจนวัดอี่เหล็งได้รับการเรียกขานอีกชื่อหนึ่งว่า “วัดพระนอน”
วัดหนานซานมีองค์เทพเจ้าประธานคือ “เทพจงขุ่ย” ที่เชื่อว่าใครมากราบไหว้ ท่านจะช่วยปัดเป่าวิญญาณ ปัดรังควานสิ่งชั่วร้ายให้พ้นไปจากตัวเรา
ส่วนวัดหนานซานที่อยู่ทางด้านซ้ายของวัดเปากงเป็นวัดที่สร้างขึ้นหลังสุด ในอดีตเคยถูกปิดคลุมไว้ด้วยเหตุผลความเชื่อบางประการ วัดหนานซานมีองค์เทพเจ้าประธานคือ “เทพจงขุ่ย” ที่เชื่อว่าเป็นเทพเจ้ามาจากเมืองหนานชาน ชาวเมืองจึงเรียกว่าวัดหนานชาน เทพจงขุ่ยเป็นเทพผู้กำราบภูตผีปีศาจ มีหนวดเครายาวหน้าตาดุดัน ชาวมาเก๊าเชื่อว่าใครที่มากราบไหว้เทพจงขุ่ยที่วัดหนานชาน ท่านจะช่วยปัดเป่าวิญญาณ ปัดรังควานสิ่งชั่วร้ายให้พ้นไปจากตัวเรา
วัดลินฟง 1 ใน 3 วัดที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า
วัดลินฟง

จากกลุ่มวัดเล็ก 3 วัดที่อยู่ติดกันของกลุ่มวัดเปากง มารู้จักกับ 3 วัดสำคัญที่เป็น 3 วัดเก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า เริ่มจากวัดเก่าแก่อันดับสามคือ “วัดลินฟง”(หลินฟง) หรือ“วัดดอกบัว”(Lin Fong Temple) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1592 ในสมัยราชวงศ์หมิง
ผู้คนนิยมมาขอพรจากเทพเจ้าต่างๆที่วัดลินฟง โดยเฉพาะกับ 2 องค์เทพสำคัญคือเจ้าแม่ทับทิมและเจ้าแม่กวนอิม
วัดลินฟงเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในมาเก๊า และเป็นวัดที่มีความสวยงามโดดเด่นในเรื่องของสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะการนำแนวคิดยิน-หยาง(หยิน-หยาง)แห่งลัทธิเต๋า มาใช้ในการออกแบบวัด มีการใช้พื้นที่เปิดโล่ง-พื้นที่ในอาคาร การใช้แสงสว่าง-มืดจากแสงตามธรรมชาติ มาเป็นส่วนหนึ่งของวัด

เมื่อเดินเข้ามาในวัดลินฟงเราจะได้พบกับ การประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ทั้งลวดลายปูนปั้น งานแกะสลักไม้ บนเพดานแขวนขดวงธูปทรงเจดีย์ห้อยระย้า ซึ่งชาวจีนในมาเก๊าเชื่อกันว่า ธูปยิ่งยาวก็ยิ่งโชคดีและมีอายุยืนยาว
ภายในวัดลินฟงมีการประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
ภายในวัดลินฟงมีเทพเจ้าต่างๆมากมายที่มาพร้อมกับความเชื่อเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น “เทพอี่เหล็ง”หรือ“เทพเจ้าแห่งการแพทย์” – ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บหลีกลี้หนีไกล, “เทพกวนอู”-ขอในเรื่องหน้าที่การงาน, “เทพไท่ส่วยเอี้ย” – ขอในเรื่องเสริมดวง แก้ปีชง, “เทพเหวินฉาง” หรือ“เทพแห่งความรู้”(มี 4 ตา)-ขอในเรื่องการเรียน การสอบต่างๆ(แต่ต้องอ่านหนังสือด้วยนะ ไม่อย่างนั้นเทพก็ช่วยยาก), “องค์เจ้าแม่สุวรรณบุปผา”หรือ“เจ้าแม่ดอกไม้ทอง”(กรุณาอย่าเรียกเป็นอย่างอื่น) – ขอลูกหรือขอให้ลูกหลานมีสุขภาพแข็งแรง
“เทพเหวินฉาง” หรือ“เทพแห่งความรู้” มี 4 ตา-ขอในเรื่องการศึกษาเล่าเรียน
นอกจากนี้ก็ยังมีสองเทพเจ้าสำคัญ ที่เป็นสองเทพประธานของวัด นั่นก็คือ “องค์เจ้าแม่ทับทิม”(เทพทินโฮ่ว)หรือ“องค์อาม่า” ที่ปัจจุบันชาวมาเก๊าเชื่อว่าสามารถขอพรท่านได้ทุกอย่าง และ“องค์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ“พระโพธิสัตว์กวนอิม” ที่มีศักดิ์สูงกว่าเจ้าแม่ทับทิม เชื่อว่าสามารถอธิษฐานขอพรท่านได้ทุกอย่างเช่นเดียวกัน
เจ้าหน้าที่วัดลินฟงนำธูปเจดีย์ที่มีคนมาจุดบูชาขึ้นแขวน ซึ่งเชื่อกันว่าธูปยิ่งยาวยิ่งโชคดีและมีอายุยืนยาว
วัดลินฟงในอดีตยังมีความสำคัญในฐานะเป็นวัดที่เคยเป็นที่พักของเหล่าขุนนางจีนที่เดินทางมายังมาเก๊า โดยเฉพาะกับท่าน“หลิน เจ้อสวี” หรือ“หลิน ซีซู” (Lin Zexu) ขุนนางจีนคนสำคัญจากมณฑลกวางตุ้งที่ถูกส่งมาปราบปรามด้านการค้าฝิ่นในมาเก๊าในช่วงปี ค.ศ. 1839 และสามารถกำราบฝิ่นลงได้เป็นอย่างดี
อนุสาวรีย์ท่านหลิน เจ้อสวี ตั้งอยู่ทางด้านหน้าซ้ายมือของ “พิพิธภัณฑ์หลินเจ้อ สวี” ที่อยู่หน้าวัดลินฟง
ดังนั้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านหลิน เจ้อสวี ทางการมาเก๊าจึงได้สร้าง “พิพิธภัณฑ์หลิน เจ้อสวี” (Lin Zexu Memorial Museum of Macau) ขึ้นที่บริเวณด้านหน้าทางเข้าวัดลินฟง(อยู่ขวามือเมื่อเดินเข้าไป)
บรรยากาศในพิพิธภัณฑ์หลิน เจ้อสวี ที่ทางมาเก๊าสร้างเพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของท่าน
เมื่อเราเข้าไปจะได้พบกับรูปปั้นของท่านหลิน เจ้อสวีตั้งโดดเด่นอยู่ทางด้านหน้าซ้ายมือของทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ที่ภายในจัดแสดงเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นภาพเก่า เอกสาร ภาพจำลอง เกี่ยวกับวีรกรรมการปราบฝิ่นที่ไม่ยอมประนีประนอมต่อการค้าฝิ่นของพวกอังกฤษที่เข้ามา นอกจากนี้ก็ยังจัดแสดงความสามารถทางด้านวิชาการ และด้านกวีของท่าน ที่ถือเป็นอีกหนึ่งกวีเอกแห่งปลายยุคราชวงศ์ชิง
บริเวณด้านหน้าวัดเจ้าแม่กวนอิม 1 ใน 3 เก่าแก่สุดของมาเก๊า
วัดเจ้าแม่กวนอิม

มาต่อกันที่วัดเก่าแก่อันดับสองในมาเก๊านั่นก็คือ “วัดเจ้าแม่กวนอิม”(Kun Iam Temple) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เพื่ออุทิศถวายแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม

ในมาเก๊าแม้จะมีวัดเจ้าแม่กวนอิมมากมายหลายวัด แต่วัดเจ้าแม่กวนอิมแห่งนี้เป็นวัดเจ้าแม่กวนอิมที่สำคัญที่สุดในมาเก๊า แต่ละวันมีผู้แวะเวียนมาสักการะท่านกันไม่ได้ขาด โดยชาวมาเก๊าส่วนใหญ่นิยมมากราบไหว้ท่านก่อนเวลา 11.00 น. เพราะเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่ท่านยังบริสุทธิ์อยู่ ยังไม่ถูกเรื่องราวใดๆรบกวน การได้กราบไหว้ขอพรท่านในช่วงก่อน 11 โมงนั้น จะประสบโชคดีเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเดินผ่านประตูวัดเจ้าแม่กวนอิมเข้ามาจะพบกับท้าวจตุโลกบาล(ฝั่งซาย)
เมื่อเดินเข้าสู่วัดเจ้าแม่กวนอิม ผ่านประตูทางเข้า เราจะพบกับ“ท้าวจตุโลกบาล” เทวดาผู้ทำหน้าที่ป้องกันเภทภัยอันตรายให้กับโลกมนุษย์ในทิศทั้งสี่ ซึ่งที่วัดเจ้าแม่กวนอิมแห่งนี้สร้างองค์ท้าวจตุโลกบาลได้อย่างสวยงาม ขรึมขลัง ดูน่าเกรงขาม และมีพลังแห่งเทพผู้พิทักษ์อยู่ในที
องค์เจ้าแม่กวนอิมที่ชาวมาเก๊าจะเปลี่ยนชุดของท่านไปตามวันประสูติที่เชื่อว่า 1 ปี มี 5 ครั้ง
สำหรับองค์รูปเคารพเจ้าแม่กวนอิมที่เป็นองค์เทพประธานของวัดแห่งนี้ ชาวมาเก๊าเชื่อว่าท่านมีหูทิพย์รับรู้ในเรื่องที่เราขอ มีตาทิพย์มองเห็นในเรื่องที่เราขอ จึงเชื่อว่าสามารถอธิษฐานของพรท่านได้ในทุกประการ โดยเชื่อว่าใน 1 ปี เจ้าแม่กวนอิมมีวันประสูติ 5 ครั้ง จึงมีการเปลี่ยนชุดของท่านตามวันประสูติแต่ละครั้ง รวม 5 ชุด ในรอบ 1 ปี ซึ่งรูปเคารพของเจ้าแม่กวนอิมในช่วงที่ผมไปท่านกำลังอยู่ในชุดผ้าไหมสีสันสวยงาม
ภายในวัดแห่งนี้ยังมีเทพต่างๆให้กราบไหว้ขอพร
นอกจากองค์เจ้าแม่กวนอิมแล้ว ภายในวัดแห่งนี้ยังมีรูปเคารพของพระและเทพต่างๆให้กราบไหว้ขอพร ไม่ว่าจะเป็น “เทพแห่งอายุวัฒนะ” -ขอในเรื่องสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยืน, “พระถังซำจั๋ง” – ขอให้ช่วยเหลือวิญญาณบรรพบุรุษ ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก “พระสังกจจายน์” – สร้างจากไม้สวยงามกับวิธีการขอพร ด้วยการนำมือ 2 ข้างลูบจากบนลงล่าง แล้วนำมือเก็บเข้ากระเป๋า 3 ครั้ง ซึ่งเชื่อว่าจะได้โชคลาภ มีเงินมีทอง และ“เทพไฉ่ ซิง เอี้ย” เทพแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย
ประตูทางเข้าด้านหน้าสู่วัดอาม่า
วัดอาม่า

จากวัดเจ้าแม่กวนอิมมาถึง“วัดอาม่า” (A-Ma Temple) ที่นอกจากจะเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า
แล้ว ยังเป็นวัดที่มีความสำคัญสูงสุดในมาเก๊า ซึ่งผู้ไปเยือนมาเก๊าหากไม่ได้ไปสักการะองค์อาม่าที่วัดแห่งนี้ ถือว่ายังไปไม่ถึงมาเก๊าโดยสมบูรณ์

วัดอาม่าหรือ“วัดเจ้าแม่อาม่า”หรือ“ศาลเจ้าแม่ทับทิม” ตั้งอยู่บริเวณเขาบาร์รา เป็นวัดแห่งแรกในมาเก๊าถือกำเนิดมาเมื่อหลายร้อยปีก่อน ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของมรดกโลกเมืองเก่ามาเก๊า
วัดอาม่า วัดที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า
ภายในบริเวณวัดอาม่ามากไปด้วยสิ่งน่าสนใจต่างๆ อาทิ ศาลาซุ้มประตู หอเมตตาธรรม ประตูพระจันทร์ ศาลพระพุทธ และจุดสำคัญก็คือ“ศาลองค์อาม่า” ที่มีทั้งศาลที่สร้างขึ้นใหม่ในชั้นล่างที่มีคนเข้าไปสักการะบูชารูปเคารพอาม่าองค์ใหม่กันเป็นจำนวนมาก กับ“ศาลอาม่าองค์เดิม”ที่เป็นศาลเล็กๆตั้งแอบๆอยู่ในเส้นทางเดินขึ้นเขาชั้นสอง ซึ่งหลายคนไม่ค่อยรู้ถึงความเป็นต้นฉบับอันสุดคลาสสิกของที่มาแห่งตำนานองค์อาม่าอันมีความสำคัญต่อชื่อเมือง“มาเก๊า”ในทุกวันนี้ (เรื่องราวของตำนานเทพอาม่าและที่มาของชื่อมาเก๊า ผมจะเขียนเล่าโดยละเอียดอีกครั้งในโอกาสต่อไป
ภายในศาลเทพอาม่าองค์ดั้งเดิม
สำหรับองค์อาม่าหรือเทพอาม่านั้นก็คือ“องค์เจ้าแม่ทับทิม”(ทินโฮ่ว)ในบ้านเรา ท่านเป็นเทพธิดาแห่งท้องทะเลหรือเทพธิดาแห่งการเดินเรือที่ชาวมาเก๊าเคารพนับถือกันมาก เนื่องจากสมัยก่อนมาเก๊าเป็นหมู่บ้านชาวประมง จึงขอพรองค์เจ้าแม่ทับทิมให้ประสบโชคดีปลอดภัยในการเดินเรือออกทะเล ปราศจากพายุใหญ่เภทภัยอันตรายกล้ำกราย

แต่มาวันนี้ชาวมาเก๊าวิถีเปลี่ยนไปจากความเป็นลาสเวกัสแห่งเอเชีย ดังนั้นการกราบไหว้องค์เจ้าแม่ทับทิมจึงเปลี่ยนมาขอพรในทุกๆด้านแทน เช่นเดียวกับองค์เจ้าแม่กวนอิมที่ภายในวัดอาม่าประดิษฐานท่านไว้ในศาลเจ้าแม่กวนอิมที่อยู่บนเขา เหนือศาลเทพอาม่าองค์จริงขึ้นไปอีก(หนึ่งชั้น) เพราะตามความเชื่อเจ้าแม่กวนอิมมีศักดิ์สูงกว่าองค์เทพอาม่า แต่ละวันจะมีคนเดินทางขึ้นไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมกันเป็นจำนวนมากเช่นกัน
ศาลเจ้าแม่กวนอิมที่เชื่อว่าสามารถขอพรท่านได้ในทุกๆด้าน
ขณะที่บริเวณช่วงด้านหน้าของวัดก็มีก้อนหินใหญ่ที่ไม่ธรรมดาเป็นอีกหนึ่งจุดสนใจ กับก้อนหินใหญ่ 2 ก้อน ที่แกะสลักเป็นรูปเรือสำเภาโบราณเหมือนกัน โดยหินก้อนแรกเกี่ยวพันกับตำนานเรื่องเล่าของเทพอาม่า เพราะเป็นสัญลักษณ์บอกถึงจุดแรกที่เทพอาม่า(เจ้าแม่ทับทิม)ย่างเท้าก้าวขึ้นสู่แผ่นดินมาเก๊า
หินใหญ่(ต้นฉบับ)แกะสลักเป็นรูปเรือสำเภาโบราณที่เกี่ยวพันกับตำนานเทพอาม่า
อย่างไรก็ดีด้วยความเชื่อว่าหินก้อนนี้ศักดิ์สิทธิ์จึงมีผู้คนมากราบไหว้จับต้องกันเป็นจำนวนมาก จนทางวัดกลัวว่าหินก้อนต้นฉบับจะเสียหาย จึงได้ทำก้อนหินสลักรูปเรือสำเภาในลักษณะเดียวกันขึ้นมา เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาสัมผัสจับต้อง โดยหลายๆคนนิยมใช้แบงก์(ธนบัตร)ลูบไปตามรูปสลักเรือสำเภาแล้วนำกลับใส่กระเป๋า เพราะเชื่อกันว่าเงินจะได้ไหลมาเทมาสู่กระเป๋า
ต้นไม้คู่รักที่เต็มไปด้วยกระดิ่งแขวนขอพรให้ความรักมั่นคงยั่งยืน
พูดถึงเรื่องความเชื่อที่วัดอาม่า นอกจากเรื่องการขอพรองค์อาม่า องค์เจ้าแม่กวนอิม และการนำแบงก์ไปลูบเรือสำเภาตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้วก็ยังมีอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การขอพรกับรูปปั้นสิงโตหิน 2 ตัวที่ตั้งเด่นอยู่ตรงบันไดประตูทางเข้า ด้วยเชื่อว่าหากใครหมุนลูกแล้วในปากสิงโตไปทางขวา 3 ครั้ง แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอพรจะประสบความสำเร็จสมหวังในปรารถนา, การนำเหรียญไปลูบหลังรูปปั้นเต่าแล้วทำท่าเก็บเงินเข้ากระเป๋า ด้วยเชื่อว่าจะนำโชคลาภมาให้, การขอในเรื่องความรักกับต้นไม้ที่คู่รักนิยมนำกระดิ่งลมใส่ชื่อคู่รักมาแขวนไว้ เพื่อขอให้มีความรักที่ยั่งยืนหรือกระชับความสัมพันธ์มั่นยืนกับคนในครอบครัว
ว่ากันว่าใครไปเยือนมาเก๊าแล้วถ้าไม่ได้ไปสักการะองค์อาม่าที่วัดแห่งนี้ ถือว่ายังไปไม่ถึงมาเก๊าโดยสมบูรณ์
หรือการขอพรแบบน่าสนุกชวนลุ้นไปกับการใช้มือถูอ่างทองเหลืองที่อยู่หลังประตูพระจันทร์ ซึ่งหากสามารถใช้มือ 2 ข้างถูให้น้ำในอ่างพุ่งปุดๆคล้ายน้ำเดือดได้ ถือว่าเป็นคนประสบโชคดีมีบุญ

และนั่นก็คือเสน่ห์สีสันของการท่องเที่ยวในมาเก๊าที่แตกต่างไปจากการเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวไฮไลท์มาตรฐานสูตรสำเร็จทั่วๆไป หรือการท่องเที่ยว+การเสี่ยงโชค ที่ผมมักจะเห็นตอนขาไปกระเป๋าหนัก กระเป๋าตุง

แต่ตอนขากลับส่วนใหญ่มักกระเป๋าเบา กระเป๋าแบน กระเป๋าแฟบกลับมา

*****************************************
มาเก๊า หนึ่งเมืองยอดนิยมของจีน ที่มีคนไทยนิยมไปเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก
มาเก๊าหรือเขตปกครองพิเศษมาเก๊า ตั้งอยู่ในเขตมณฑลกวางตุ้ง สาธารณะรัฐประชาชนจีน บนชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล

มาเก๊าประกอบไปด้วยพื้นที่สำคัญ 3 เขต ได้แก่ เขตมาเก๊า(คาบสมุทรมาเก๊า) เขตไทปา(เกาะไทปา) เขตโคโลอาน(เกาะโคโลอาน) โดยระหว่างเขตไทปากับเขตโคโลอานมีพื้นที่เชื่อมต่อที่เป็นการถมทะเลเชื่อมเกาะทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวเรียกว่า“โคไท”

ปัจจุบันมาเก๊า เป็นอีกหนึ่งเมืองยอดนิยมของเมืองจีน โดยมีหนึ่งในสายการบินหลักที่บินสู่มาเก๊าคือ“แอร์เอเชีย” ที่เปิดบิน“กรุงเทพฯ(ดอนเมือง)-มาเก๊า” 4 เที่ยวบินต่อวัน “เชียงใหม่-มาเก๊า” 1 เที่ยวบินต่อวัน เเละ “พัทยา(อู่ตะเภา)-มาเก๊า” 1 เที่ยวบินต่อวัน ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลได้ที่ www.airasia.com

ส่วนผู้ที่ต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ข้อมูลการไหว้พระในมาเก๊า ข้อมูลโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร การเดินทางสู่มาเก๊า การเดินทางในมาเก๊า หรืออัพเดทข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับมาเก๊า สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ “การท่องเที่ยวมาเก๊าประจำประเทศไทย” โทร. 0-2650-9336 หรือดูที่เว็บไซต์ http://th.macautourism.gov.mo/index.php หรือที่เฟซบุ๊คwww.facebook.com/th.macautourism
*****************************************

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น