“ประเทศจีน” หนึ่งในประเทศที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างยาวนาน โดยมีเรื่องราวมากมายที่ถูกจารึกเคียงคู่โบราณสถานงดงามอลังการ ที่มีสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นสิ่งตอกย้ำเรื่องราวของประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี และในปัจจุบันโบราณสถานเหล่านั้น ก็ยังกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันเลื่องลือจนถูกกล่าวขานไปทั่วทุกมุมโลก บางสถานที่ถูกยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก บางสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก
และในปีนี้ “แหล่งโบราณสถานชนเผ่าถู่ซือ” หนึ่งในโบราณสถานอันทรงคุณค่าของประเทศจีน ก็ยังได้รับเลือกจาก “ยูเนสโก” (UNESCO) ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ประจำปี 2558 ซึ่งนับเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 48 ของประเทศจีน จนทำให้ดินแดนแห่งมังกรกลายเป็นเจ้าแห่งมรดกโลกอันดับ 2 รองจากประเทศอิตาลี
ในครั้งนี้ “ตะลอนเที่ยว” ก็มีโอกาสเดินทางร่วมกับคณะสำรวจของ “การท่องเที่ยวแห่งมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน” ที่ร่วมกับ “สายการบินไทย แอร์ เอเชีย” โดยมีการเดินทางไปสำรวจ “แหล่งโบราณสถานชนเผ่าถู่ซือ” มรดกโลกน้องใหม่ของประเทศจีน ที่จะกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มาท่องเที่ยวและศึกษาประวัติศาสตร์อันยาวนานของแหล่งโบราณสถานแห่งนี้
แหล่งโบราณสถานชนเผ่าถู่ซือ ตั้งอยู่ที่เมืองเสียนเฟิง จังหวัดเอินซือ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลหูเป่ย ภาคกลางของประเทศจีน ดินแดนแห่งขุนเขาแห่งนี้ เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนเผ่ามากมาย แต่ที่มีวัฒนธรรมโดดเด่นและมีประชากรมากที่สุดก็คือ “ชนเผ่าถู่เจีย” โดยมีผู้ปกครองในนามว่า “ถู่ซือ”
ในตอนแรกตะลอนเที่ยวก็เข้าผิดใจว่า พื้นที่โบราณแห่งนี้เป็นที่อยู่ของชนเผ่าถู่ซือ เนื่องจากชื่อแหล่งโบราณสถาน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คำว่า “ถู่ซือ” เป็นชื่อตำแหน่งของผู้ปกครองชนเผ่า ที่ “จักรพรรดิจีน” หรือที่เรียกกันว่า “ฮ่องเต้” เป็นผู้แต่งตั้งขึ้นให้ปกครองชนเผ่าทั้งหลายในดินแดนนี้ เพื่อช่วยรักษาความเป็นเอกภาพของแผ่นดิน และส่งเครื่องบรรณาการ และส่งกำลังทหารให้กับนครหลวงเมื่อยามมีศึกสงคราม
ตะลอนเที่ยวได้รู้มาว่าตำแหน่ง “ถู่ซือ” มีการแต่งตั้งขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวน และมีการเริ่มสร้างเมืองขึ้นมาในปี ค.ศ. 1355 และตำแหน่งถู่ซือได้รับการสืบทอดมา 16 รุ่น ผ่านกาลเวลายาวนานถึง 3 ราชวงศ์ อันได้แก่ ราชวงศ์หยวน ราชวงค์หมิง และราชวงศ์ชิง จนมาสิ้นสุดในปี ค.ศ. 1735 ในสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิยงเจิ้ง รวมระยะเวลาการปกครองในระบบถู่ซือกว่า 380 ปี
เมื่อเดินทางมาถึงเขตโบราณสถาน ตะลอนเที่ยวก็เห็นวิวทิวทัศน์อันงดงามของขุนเขาที่รายล้อมเมืองโบราณแห่งนี้ไว้ หลังจากนั้นก็เดินชมโบราณสถานต่างๆ โดยส่วนมากจะเป็นซากฐานหินของอาคารและทางเดิน และพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้รับการขุดสำรวจ แต่ก็ยังมีโบราณสถานให้ได้ชมอยู่บ้าง อาทิ “ซุ้มประตูทางเข้าตำหนักถู่ซือ” ที่มองแล้วยิ่งใหญ่อลังการ แม้ความวิจิตรงดงามจะลดน้อยลงบ้างตามการเวลา แต่ก็ยังตั้งตระหง่านผ่านวันเวลามาหลายร้อยปี โดยซุ้มประตูแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยถู่ซือ รุ่นที่ 12 ซึ่งเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุด โดยองค์จักรพรรดิเทียนฉี่ แห่งราชวงศ์หมิง สร้างพระราชทานเป็นรางวัลแด่ความภักดี
และยังมี “ศาลเจ้าเตียวหุย” หนึ่งในห้าทหารเสือแห่งจ๊กก๊กในยุคสมัยสามก๊ก ที่ชาวเผ่าถู่เจียเคารพนับถือ โดยภายในมีรูปปั้นหินม้าที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยถู่ซือรุ่นที่ 16 ให้ได้เห็นอยู่ และยังมีโบราณวัตถุหลายชิ้นที่ถูกจัดเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ และภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก็ยังเป็นที่จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาของเขตโบราณสถานถู่ซือให้ได้ชมกันอีกด้วย
แต่ระบอบการปกครองโดยถู่ซือก็ได้มาสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1735 ในสมัยราชวงศ์ชิง ยุคขององค์จักรพรรดิยงเจิ้ง ซึ่งองค์จักรพรรดิได้ส่งกองทัพอันยิ่งใหญ่มาขับไล่ชาวเผ่าถู่เจียให้ออกจากถิ่นที่อยู่อาศัย และได้มีการเผาทำลายเมืองจนราบเป็นหน้ากลอง เพราะกลัวจะกลับมาตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยอีก แต่รากฐานเหล่านี้ก็ยังคงอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เป็นสิ่งตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ของระบอบการปกครองแบบถู่ซือ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกของโลก
แม้จะเหลือเพียงแค่รากฐานของความยิ่งใหญ่เมื่อครั้งอดีต ให้คนรุ่นหลังได้ชมและศึกษา แต่อย่าก็เพิ่งเสียใจไป เพราะปัจจุบันได้มีการสร้าง “เมืองโบราณถู่ซือจำลอง” ให้ได้ชมกันอีกด้วย
“เมืองโบราณถู่ซือจำลอง” ตั้งอยู่ภายในเมืองเอินซือ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้จำลองความยิ่งใหญ่ของเขตโบราณสถานถู่ซือให้คนรุ่นหลังได้ชม ภายในเมืองจำลองนั้น มีซุ้มประตูบานใหญ่ที่มีสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมสถาปัตยกรรมชนเผ่าถู่เจียให้ได้ชม เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูบานใหญ่เข้ามาแล้วก็จะพบกับกำแพงหินที่สลักลวดลายวิถีชีวิตของชาวเผ่าถู่เจีย ที่มีวัฒนธรรมและประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์
และตะลอนเที่ยวได้รู้มาว่า “ ชาวเผ่าถู่เจียมีสัญลักษณ์ของชนเผ่าเป็น “เสือขาว” เพราะเสือเป็นหนึ่งในสัตว์มงคลของจีน เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าและน่าเกรงขามแบบทหาร และประเพณีที่น่าสนใจของเผ่าถู่เจียก็คืองานแต่งร้องไห้ เพราะลูกที่รักจะต้องจากบ้านไปอยู่กับคนอื่นๆ และงานศพดีใจเพราะผู้ที่จากไปต้องขึ้นสู่สรวงสวรรค์ จึงต้องมีงานฉลองส่ง นอกจากนี้วิธีการหาคู่ก็ยังไม่เหมือนใคร โดยผู้ที่อยากมีคู่ ก็จะต้องเดินทางไปที่เมือง “หนูว เหริน เฉิง” เมืองศูนย์รวมการค้าขายของดินแดนแถบนี้ และเมื่อชอบคนไหนแล้วก็จะต้องเดินไปเหยียบเท้า หากผู้ที่ถูกเหยียบเท้ารักตอบก็จะต้องเหยียบเท้าคืน เป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะจริงๆ
(คลิกติดตามเรื่องเที่ยว “หนูวเหรินเฉิง” ได้ที่ลิงก์นี้)
หลังได้รู้วิถีชีวิตของชาวเผ่าถู่เจียผ่านลวดลายบนกำแพงหินแล้ว ถัดมาก็จะเป็นทางเดินที่มุ่งตรงสู่ “ตำหนักถู่ซือจำลอง” ซึ่งระหว่างทางเดินก็จะมี ศาลเจ้า สะพาน บ้านเรือน ที่ถูกสร้างตามแบบเมื่อครั้งอดีตให้ได้ชม
เมื่อเดินทางมาถึงตำหนักถู่ซือจำลอง ก็จะได้เห็นพื้นที่หน้าตำหนักที่ถูกตกแต่งในสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมสถาปัตยกรรมชนเผ่าถู่เจีย ซึ่งมีการนำรูปปั้นหรือรูปวาดสัตว์มงคลต่างๆ มาประดับประดาภายในบ้านอีกด้วย เช่น รูปปั้นเสือขาวสัญลักษณ์ของเผ่าถู่เจีย ที่สื่อถึงความน่าเกรงขาม, รูปค้างคาว 4 ทิศ ที่หมายถึงความสุขมาจากทุกทิศ, รูปปั้นนกกระเรียน ที่มีความหมายถึงอายุยืนยาว, เสาสลักมังกร หมายถึง ความแข็งแกร่งและดีงาม เป็นต้น
สำหรับภายในตำหนักถู่ซือนั้น ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ โดยส่วนแรก เมื่อครั้งอดีตจะเป็นที่อยู่ของทหาร แต่ปัจจุบันจะเป็นสถานที่ขายของที่ระลึกและสถานที่จัดการแสดง ส่วนที่ 2 จะเป็นห้องว่าราชการของถู่ซือ ภายในห้องนี้มีการจัดบรรยากาศห้องว่าราชการพร้อมๆ กับภาพประวัติของถู่ซือทั้ง 16 รุ่นให้ได้ชม
ในส่วนที่ 3 ก็จะเป็นเรือนส่วนตัวของถู่ซือที่มีห้องอยู่มากมาย ซึ่งในปัจจุบันเป็นห้องจัดนิทรรศการเกี่ยวกับตำหนักถู่ซือให้ได้ชม แต่ในส่วนนี้ก็ยังมีห้องที่น่าสนใจคือ “ห้องลูกสาวคนสุดท้อง” ที่จะถูกสร้างไว้บนชั้นบนสุดของบ้าน เพราะตามวัฒนธรรมของชาวถู่เจีย ลูกสาวคนเล็กจะเป็นลูกที่ครอบครัวรักที่สุด ซึ่งจะแตกต่างจากวัฒนธรรมจีนที่จะรักลูกชายตนโต และบริเวณห้องด้านบนนี้ก็ยังเป็นจุดชมวิว ที่สามารถเห็นทัศนียภาพได้อย่างกว้างไกล โดยวิวจะเป็นหลังคาตำหนักแบบโบราณ ที่ถูกขนาบข้างด้วยป่าสีเขียวและภูเขา มองแล้วชวนให้นึกถึงบรรยากาศในหนังจีนย้อนยุค
แม้การปกครองโดยระบบถู่ซือจะสิ้นสุดไปนานแล้วกว่า 280 ปี แต่ก็ยังคงมีเมืองจำลอง และโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากทางยูเนสโก ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องการันตีว่าความรู้ทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่านี้ จะคงอยู่ตลอดไปให้คนรุ่นหลังได้ชมและศึกษาตราบนานเท่านาน
******
“แหล่งโบราณสถานชนเผ่าถู่ซือ” ได้รับเลือกจาก “ยูเนสโก” (UNESCO) ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ประจำปี 2558 โดยตั้งอยู่ที่เมืองเสียนเฟิง จังหวัดเอินซือ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลหูเป่ย ภาคกลางของประเทศจีน
การเดินทางไปชมแหล่งโบราณสถานชนเผ่าถู่ซือนั้น สามารถเดินทางได้ด้วยเครื่องบินไปลงท่าอากาศยานนานาชาติอู่ฮั่น เมืองอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย และนั่งรถไฟความเร็วสูงไปจังหวัดเอินซือ โดยใช้เวลา 4 ชั่วโมง ซึ่งในปัจจุบันเมืองอู่ฮั่นมีสายการบินแอร์เอเชียให้บริการเส้นทาง กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) - อู๋ฮั่น 2 เที่ยวบินต่อวัน (4 ไฟลต์) FD570 DMK-WUH 07.15-11.35 , FD572 DMK-WUH 13.10-17.35 , FD571 WUH-DMK 12.20-14.50 , FD573 WUH-DMK 18.25-20.50 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.airasia.com และ www.facebook.com/AirAsiaThailand
*********
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com
header="true">