วสันต์ฤดู
ยามเมื่อฝนโปรยสาย
ท้องฟ้าชุ่มฉ่ำ ผืนดินชุ่มน้ำ ขุนเขาป่าไพรพลิกฟื้นคืนชีวิตกลับมาเขียวขจี น้ำตกที่สายน้ำเบาบางเหือดแห้งกลับมาหลั่งไหลเป็นสายฟูฟ่องโจนทะยาน มวลหมู่ดอกไม้พรรณไม้หลากหลายชนิดที่หลับใหลต่างตื่นฟื้น พากันออกดอกผลิใบ กลับมาสร้างสีสันความงามเคียงคู่ฤดูฝนอันเขียวชอุ่มชุ่มชื่น
นี่ถือเป็น“กรีนซีซั่น”(Green Season) หรือ“ฤดูแห่งความเขียวขจี”ทางการท่องเที่ยว ที่ในหลายๆพื้นที่ของบ้านเราต่างก็เปล่งมนต์เสน่ห์อันโดดเด่น เชื้อเชิญให้เราออกท่องเที่ยวไปอย่างรื่นรมย์บนความเขียวขจีแห่งวสันต์ฤดู
Green Season วันธรรมดา หรรษาคูณสอง
สำหรับหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวอันโดดเด่นแห่งกรีนซีซั่นนั้นก็คือ เส้นทาง“เขาสูง-วิวสวย”บนทางหลวงหมายเลข 12 พิษณุโลก-เพชรบูรณ์(หรือเพชรบูรณ์-พิษณุโลก) ที่ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางสายโรแมนติกของเมืองไทย
เส้นทางหมายเลข 12 ประกอบไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆงามๆมากมายทั้งบนถนนสายหลักและถนนสายรอง โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาตินั้นขึ้นชื่อโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงที่น่าสนใจในจังหวัดพิษณุโลก-เพชรบูรณ์ ให้เลือกเที่ยวชมกันอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งล่าสุด ทาง“การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานพิษณุโลก” ได้จับมือกับสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวพิษณุโลก และชมรมธุรกิจท่องเที่ยวเขาค้อ จัดโครงการ “Green Season วันธรรมดา หรรษาคูณสอง”ขึ้น เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ที่ท่องเที่ยวพิษณุโลก-เพชรบูรณ์ ในวันธรรมดาของช่วงกรีนซีซั่น ระหว่างวันที่ 1 มิ.ย. - 30 ก.ย. 58 ได้รับส่วนลดพิเศษจากที่พัก ร้านอาหาร กิจกรรมท่องเที่ยว ร้านของฝากของที่ระลึก(ที่เข้าร่วมโครงการ) โดยได้รับส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 80% เลยทีเดียว
เรียนรู้วิถีเกษตร-วิถีไทย ที่“ไร่กำนันจุล-ไร่กาแฟจ่านรินทร์”
“เขาค้อ-ภูทับเบิก-ภูหินร่องกล้า” คือ 3 แหล่งท่องเที่ยวเขาสูง-วิวสวยหลักๆของ “ตะลอนเที่ยว”ในทริปนี้ ที่ในเส้นทางนอกจากจะมากไปด้วยที่พัก ร้านอาหาร และร้านกาแฟเก๋ๆอินเทรนด์แล้ว ในช่วงหน้าฝนอย่างนี้ยังมีบรรยากาศอันสุดฟินเย็นสบาย ซึ่งทริปนี้เราเลือกใช้เส้นทางท่องเที่ยวจากเพชรบูรณ์สู่พิษณุโลกเชื่อมโยงไปกับเส้นทางหมายเลข 12 โดยเริ่มตั้งต้นสตาร์ทกันที่ “ไร่กำนันจุล” เพื่อเรียนรู้ในวิถีการเกษตรที่เป็นอีกหนึ่งในวิถีไทยที่อยู่คู่กับเรามาช้านาน
ไร่กำนันจุล ตั้งอยู่ที่ ต.วังชมพู อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ก่อตั้งโดย“กำนันจุล คุ้นวงศ์” ที่เข้ามาบุกเบิกทำไร่ส้มในพื้นที่เพชรบูรณ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2479 และประสบความสำเร็จด้วยดี ปัจจุบันไร่กำนันจุลทำการเกษตรแบบผสมผสานบนพื้นที่กว่า 10,000 ไร่ มีการบริหารจัดการพื้นที่อย่างเป็นระบบ ภายในมีการปลูกหม่อน(มัลเบอร์รี่) เลี้ยงไหม ผลิตเส้นใยไหมส่งขายเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดของเมืองไทย
ในไร่กำนันจุลยังมีการปลูกผลไม้อีกหลากหลายไม่ว่าจะเป็น สละ ส้ม กล้วย มะขาม มะเฟือง และแปลงทดลองปลุกองุ่นไร้เมล็ด เป็นต้น รวมถึงมีการแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเลี้ยงปลา ปลาส่วนหนึ่งจับส่งขาย ส่วนหนึ่งนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ปลาแบรนด์กำนันจุลที่มี “ปลาส้มกำนันจุล”อันโด่งดัง สามารถซื้อหากันได้ที่ร้านไร่กำนันจุล ที่มีผลิตภัณฑ์มากมายให้เลือกสรรซื้อติดไม้ติดมือกลับไป อีกทั้งยังมีร้านอาหาร-เครื่องดื่มไว้บริการอีกด้วย
ส่วนอีกหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของไร่กำนันจุลก็คือ การเปิดพื้นที่ไร่บางส่วนเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ทางการเกษตร มีรถรางนำเที่ยว พาชมไร่ แปลงผลไม้ ทำกิจกรรมที่ทางไร่จัดไว้ให้ และฟังเรื่องราววิธีคิดของกำนันจุลที่สามารถก่อร่างสร้างไร่กำนันจุลแห่งนี้จนประสบความสำเร็จ พร้อมกับเป็นแหล่งสร้างงานให้คนในท้องถิ่นนับหมื่นชีวิต
จากไร่กำนันจุลแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรขนาดใหญ่ เราเปลี่ยนไปสัมผัสกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรขนาดเล็กกันที่ “ไร่กาแฟจ่านรินทร์” ที่ทำกันแบบครอบครัว ไม่กี่คนแต่ว่ากลับประสบความสำเร็จไม่น้อย
ไร่กาแฟจ่านรินทร์ ตั้งอยู่ที่ หมู่ 3 ต.ริมสีม่วง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ก่อตั้งโดย ด.ต.นรินทร์ ศรีมรกตมงคล(ยศปัจจุบัน)แห่ง สภ.เขาค้อ ด.ต.นรินทร์ หรือที่หลายๆคนเรียกเขาว่า “จ่านรินทร์”
จ่านรินทร์ หนุ่มตำรวจชาวกรุงผู้ชื่นชอบในวิถีชนบทให้ข้อมูลกับ“ตะลอนเที่ยว”ว่า เมื่อย้ายมารับราชการที่ สภ.เขาค้อ ในปี 2552 เขาใช้เวลาว่างจากงานราชการ มาเป็นเกษตรกรมือใหม่เริ่มต้นจากศูนย์ทำทุกอย่างบนที่ดินแปลงเล็กๆในสวนหลังบ้านประมาณ 2 ไร่ เรียนรู้ลองผิด-ลองถูก ที่มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว
ช่วงแรกๆ จ่านรินทร์เน้นการปลูกกล้วยหลากหลายชนิดก่อน เพราะกล้วยเป็นไม้ที่ปลูกง่าย ให้ผลผลิตตลอดทั้งปีและทำให้ดินชุ่มชื้น อีกทั้งยังเป็นร่มเงาอย่างดีให้กับต้น“กาแฟ”พันธุ์อาราบิก้า(ไม้ที่ชอบอยู่ใต้ร่มเงา)ที่เขาปลูกแซมลงไปในสวนหลังบ้าน
อย่างไรก็ดีในปี 2554 เมื่อกาแฟเริ่มให้ผลผลิต แต่จ่านรินทร์ประสบกับปัญหาไม่มีตลาดรองรับ เขาจึงคิดพิจารณาหาแนวทางพัฒนาแปรรูปกาแฟของตัวเองเป็นเมล็ดกาแฟคั่วและคั่วบดส่งขาย พร้อมๆกับการเรียนรู้ในวิชากาแฟต่างๆมากมายจนประสบความสำเร็จดังในปัจจุบัน
วันนี้จ่านรินทร์นอกจากจะมีร้านกาแฟเล็กๆที่บ้านของตัวเองแล้ว ยังได้ขยายพื้นที่ไร่สวนผสมของเขาเป็น 12 ไร่ เพื่อรองรับตลาดกาแฟที่เติบโต
ขณะที่สวนหลังบ้านประมาณ 2 ไร่นั้น ปัจจุบันนอกจากกล้วยและกาแฟแล้วก็ยังมี ผลไม้อื่นๆ อาทิ อะโวคาโด้,ลิ้นจี่,มะคาเดเมีย,พลับ,มะไฟ ฯลฯ พร้อมกับเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ดูงาน ที่มีคนมานั่งดื่มกาแฟ ศึกษา ดูงาน ชมสวนหลังบ้าน พบปะพูดคุยกับจ่านรินทร์อยู่อย่างต่อเนื่อง
นับได้ว่าทั้งไร่กำนันจุลและไร่กาแฟจ่านรินทร์ที่แม้จะมีขนาดแตกต่างกันมาก แต่ไร่ทั้งคู่ต่างก็มีแนวทาง วิธีการ ที่เป็นต้นแบบให้กับเกษตรกรอื่นๆนำไปปฏิบัติปรับใช้กับพื้นที่เพราะปลูกของตน ส่วนนักท่องเที่ยวทั่วๆไปนั้นก็สามารถนำแนวคิดจากการเที่ยวชมไร่กำนันจุลและไร่กาแฟจ่านรินทร์ไปต่อยอดประยุกต์ใช้กับวิถีปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้เช่นกัน
เขาค้อ : พัก 1 คืน อายุยืน 1 ปี
“นอนเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี”
สโลแกนท่องเที่ยวสุดเก๋ของ “เขาค้อ” แห่ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากเต็มใจยกให้ เพราะเขาค้อเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถช่วยเติมพลังชาร์จแบตชีวิตได้เป็นอย่างดี
เขาค้อเป็นดินแดนแห่งเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน มีอากาศดี เย็นสบายตลอดทั้งปี และหนาวเย็นจัดในช่วงฤดูหนาว เขาค้อเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักตากอากาศขึ้นชื่อ ที่นี่เป็นดังบ้านหลังที่ 2 ของใครหลายๆคน
บนเขาค้อมีที่พักให้เลือกพักมากมายในหลากหลายรูปแบบหลากหลายราคา โดยในทริปนี้เราเลือกพักที่“บุรีมันตา”ที่พักเปิดใหม่ ตั้งอยู่บนเขาสูงท่ามกลางแวดล้อมแห่งขุนเขาบรรยากาศดีวิวสวยชนิดที่เปิดวันไหนดินฟ้าอากาศเป็นใจ เพียงเปิดประตูที่พักออกมาก็จะเห็นสายหมอกขาวลอยอ้อยอิ่งทักทายเราในยามเช้า
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจบนเขาค้อนั้นก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการสู้รบระหว่างรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ได้แก่ “อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ”, “อนุสาวรีย์จีนฮ่อ”, “พิพิธภัณฑ์อาวุธ” หรือแหล่งท่องเที่ยวแมนเมด อย่าง “พระตำหนักเขาค้อ”, “พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก” และสถานที่ต้องห้ามพลาด อย่าง“วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” ที่เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวในโครงการ “กาลครั้งหนึ่ง...ต้องไป”(Dream Destination 1) อันเลื่องชื่อ
“วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” หรือ “วัดพระธาตุผาแก้ว” ตั้งอยู่ที่บ้านทางแดง ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ เป็นหนึ่งในความงามผสานพลังแห่งศรัทธาที่ทางวัดสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างงดงามอลังการ
ในบริเวณวัดมีไฮไลท์สำคัญอยู่ 2 ส่วนได้แก่ “เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต" กับรูปทรงดอกบัวซ้อน 7 ชั้น มีจุดเด่นคือการนำเครื่องถ้วยเบญจรงค์และอัญมณีมีค่ามากมายมาประดับประดาดูงดงามวิจิตร
ส่วนอีกหนึ่งไฮไลท์คือ “มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์” ที่จะใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ และเป็นที่พักของผู้เข้าปฏิบัติธรรม กับสถาปัตยกรรมพระพุทธรูปซ้อนองค์ไล่เรียงจากเล็กไปใหญ่สีขาวเด่นมองเห็นแต่ไกล
ในพื้นที่เขาค้อยังมีมนต์เสน่ห์ความงามอันโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือวิวทิวทัศน์แห่งขุนเขาในมุมสูงที่มีให้เลือกชมวิว ชมทะเลภูเขา และชมทะเลหมอกยามเช้า กันในหลายจุดด้วยกัน อาทิ จุดชมวิวฐานอิทธิ,จุดชมวิวที่ทำการไปรษณีย์,จุดชมวิวพระตำหนักเขาค้อ,จุดชมวิววัดกองเนียม และจุดชมวิว“ตะเคียนโง๊ะ” ที่สามารถมองเห็นยอด“ภูเขาย่า”ยอดเขาสูงสุดแห่งเขาค้อ(สูง 1,290 เมตรจากระดับน้ำทะเล)ได้อย่างชัดเจน ควบคู่ไปกับวิวทิวทัศน์บริเวณรอบข้างอันสวยงามกว้างไกล
นอกจากนี้เขาค้อยังมีจุดชมวิวอันซีนที่ “ท็อปวิวรีสอร์ท” ที่สามารถมองเห็นภูเขาย่าตั้งตระหง่านโดดเด่นในมุมมองเฉพาะตัวดูคล้ายกับภูเขาไฟฟูจิที่ญี่ปุ่น จนได้ชื่อว่าเป็นจุดชมวิว“ฟูจิเขาค้อ” ที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ขณะที่จุดชมวิวบริเวณร้านกาแฟ“พิโน ลาเต้”(Pino Latte)นั้น ถือเป็นจุดชมวิวน้องใหม่มาแรง ที่เมื่อมองลงไปเบื้องล่างจะเห็นทัศนียภาพมุมกว้างอันสวยงามแห่งขุนเขา โดยมีจุดไฮไลท์คือภาพของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วตั้งตระหง่านโดดเด่นกลางขุนเขา นับเป็นอีกหนึ่งร้านกาแฟวิวสุดสวยแห่งเขาค้อ ที่นอกจากจะมีกาแฟ เครื่องดื่ม เค้ก ขนม ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งดื่มกินฟินไปกับบรรยากาศของวิวทิวทัศน์อันสวยงามแล้ว ที่นี่ยังมีที่พักหรูเป็นทางเลือกให้ผู้สนใจได้เข้าพักกันอีกด้วย
ภูทับเบิก : ภูสายหมอก ดอกกะหล่ำ
หลัง“ตะลอนเที่ยว” ปฏิบัติตามสโลแกน “นอนเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี” เติมพลังให้กับร่างกายแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นเราออกเดินทางไต่ไปบนขุนเขาสูงขึ้นไปอีกสู่“ภูทับเบิก”(บ้านทับเบิก ต.วังบาล อ.หล่มเก่า)เพื่อชื่นชมในทัศนียภาพมุมสูงอันน่าตื่นตาตื่นใจของขุนเขาเทือกนี้
ภูทับเบิกมีสภาพพื้นที่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน มีทัศนียภาพอันสวยงามกว้างไกลในรูปแบบทะเลภูเขา บนภูทับเบิกมีสภาพอากาศเย็นตลอดทั้งปี เพราะตั้งอยู่บนพื้นที่ร่องลมเย็นของเทือกเขาหิมาลัย
ภูทับเบิกมีจุดชมวิวหลักอยู่ที่"อาคารหอดูดาวและที่วัดอุณหภูมิ"(จุดชมวิวภูทับเบิก) หรือจุดชมวิวปรอทยักษ์ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเมืองมะขามหวาน ตั้งอยู่บนระดับความสูง 1,768 เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยมีเทอร์โมมิเตอร์ขนาดใหญ่หรือที่นักท่องเที่ยวนิยมเรียกกันว่าปรอทยักษ์ตั้งตระหง่านเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับตัวเลขบอกอุณหภูมิ ณ ช่วงเวลานั้นๆ
ขณะที่ในเส้นทางเดินขึ้น-ลง จากที่จอดรถไปยังจุดสูงสุดนั้นก็จะมีร้านรวงขายสินค้าที่ระลึก พืชผักผลไม้เมืองหนาว ตั้งเรียงรายอยู่ 2 ข้างทางให้เลือกจับจ่ายใช้สอย พร้อมกันนี้ยังมีมุมแปลงดอกไม้งามอยู่ข้างๆ “วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวภูทับเบิก” ที่มีการปลูกดอก“ลาเวนเดอร์”สีม่วงสลับไปกับดอก“ซัลเวีย”สีแดงสดอยู่ในแปลงเล็กๆ เป็นดังการช่วยขับเน้นให้เห็นถึงความเป็นเมือง“ภูดอกไม้สายหมอก” ของจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)คัดสรรให้เป็นหนึ่งใน 12 “เมืองต้องห้าม...พลาด” แคมเปญท่องเที่ยวหลักมาแรงแห่งปี
บนภูทับเบิกยังมีจุดชมวิวย่อยตามที่พักหรือตามไร่ของชาวบ้านให้ชื่นชมในความงามของทิวทัศน์แห่งขุนเขาที่โดดเด่นไปด้วยไร่กะหล่ำปลีกว้างใหญ่ไพศาล เป็นดังภูเขากะหล่ำที่เป็นจุดเด่นของภูทับเบิก รวมถึงบรรยากาศของภูแห่งสายหมอกอันเลื่องชื่อของภาคเหนือ ซึ่งในวันที่ฟ้าเป็นใจนอกจากจะมีทะเลหมอกแสนงามลอยฟูฟ่องอ้อยอิ่งให้ชมกันแล้ว ภูทับเบิกยังเป็นอีกหนึ่งแดนหนาวที่มากไปด้วยความโรแมนติกไม่น้อยเลย
ภูหินร่องกล้า : ธรรมชาติ -ประวัติศาสตร์
จากภูทับเบิกเราเดินทางต่อไปบนถนนสาย 2331 ผ่านเข้าเขตจังหวัดพิษณุโลกสู่“อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า” อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติและประวัติศาสตร์ขึ้นชื่อแห่งเมืองสองแคว โดยแหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์นั้นเป็นสถานที่ที่เกี่ยวเนื่องกับการสู้รบระหว่างรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) นำโดย “สำนักอำนาจรัฐ”, “โรงเรียนการเมือง การทหาร” และ “พิพิธภัณฑ์การสู้รบ”
ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติขึ้นชื่อของภูหินร่องกล้า ได้แก่ “ลานหินปุ่ม” ที่เป็นลานหินมีก้อนหินมนๆผุดกระจายเต็มไปทั่วลาน,“ลานหินแตก” ที่เป็นลานหินกว้างมีรอยแตกคล้ายแผ่นดินแยก, “ผาชูธง” ผาสูงวิวสวย มองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล ซึ่งในอดีต พคท.จะขึ้นไปชูธงแดงทุกครั้งเมื่อรบชนะทหารของรัฐบาล
สำหรับในช่วงหน้าฝนเช่นนี้ภูหินร่องกล้ายังชุ่มฉ่ำไปด้วยความงามของสายน้ำจากน้ำตกที่ไหลฟูฟ่อง ไม่ว่าจะเป็น “น้ำตกร่มเกล้า-ภราดร”, “น้ำตกศรีพัชรินทร์” และ “น้ำตกหมันแดง” น้ำตกงาม 13 ชั้นที่ในช่วงราวเดือนสิงหาคมจะมีดอกไม้ดิน อย่าง“ดอกลิ้นมังกร” ออกดอกสีชมพูบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณน้ำตกแห่งนี้ โดยในชั้นที่ 5 จะพบเห็นดอกลิ้นมังกรออกดอกหนาแน่นมากที่สุด
นอกจากนี้ที่ภูหินร่องกล้ายังมี“ดอกเปราะภูขาว” ออกดอกสีขาวนวลแทรกตัวอยู่ตามพื้นดิน ลานหิน โดยดอกเปราะภูขาวจะออกดอกบานสวยงามมากที่สุดในช่วงกลางเดือนมิ.ย.-ก.ค. ซึ่งจะพบมากที่บริเวณลานหินปุ่มและผาชูธง
นับเป็นอีกหนึ่งสีสันความงามยามหน้าฝนแห่งภูหินร่องกล้าที่มีมนต์เสน่ห์แตกต่างจนถูกยกให้เป็น 1 ใน 22 เส้นทางดูดอกไม้ทั่วไทย จากโครงการ “กาลครั้งนั้น..ความฝันผลิบาน” หรือ “Dream Destination 2”จาก ททท.
ในพื้นที่ภูหินร่องกล้ายังมี “โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า” เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ ที่นี่มีแปลงปลูกไม้ดอก ไม้เมืองหนาว หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ สตรอเบอร์รี่ พันธุ์ 80 รสสุดหวานฉ่ำ มีต้นนางพญาเสือโคร่งที่จะออกดอกชมพูสะพรั่งในช่วงราวเดือน ธ.ค.-ม.ค.ของทุกฤดูกาล ส่วนในช่วงเดือน ต.ค.-ก.พ.จะมีทุ่งดอกกระดาษออกดอกสวยงามไปทั่วบริเวณริมผา(ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดคือ พ.ย.-ม.ค.)
ส่วนอีกหนึ่งจุดที่เป็นไฮไลท์ของสถานที่แห่งนี้ก็คือบรรดาหน้าผาชมวิวชื่อสุดกิ๊บเก๋ มีทั้ง “ผาไททานิค”, “ผาพบรัก,“ผาบอกรัก”, “ผาคู่รัก”, “ผารักยืนยง” และ“ผาสลัดรัก” ที่เป็นหน้าผาตั้งไล่เรียงไป มีโขดหินให้เดินไปยืนชมทัศนียภาพอันงดงามของขุนเขาผืนป่าใหญ่ ซึ่งเราสามารถมาเที่ยวชมความงามได้ทั้งปีในบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป
อร่อยหลง-หลิน แห่ง “หลงรักไทย”
จากภูหินร่องกล้าเราเดินทางลงสู่พื้นราบ โดยก่อนที่เข้าสู่ตัวเมืองพิษณุโลก “ตะลอนเที่ยว” ขอแวะไปหม่ำทุเรียนอร่อยกันที่ “สวนหลงรักไทย” แหล่งปลูกทุเรียนมาแรงแห่งเมืองสองแคว
สวนหลงรักไทย ตั้งอยู่ที่บ้านซำต้อง ต.ชมพู อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก มี “พี่น้อย-วันชัย กาญจนเพ็ญ” หนุ่มใหญ่ชาวสงขลาที่ขึ้นเหนือมาทำสวนทุเรียนที่เนินมะปรางตั้งแต่ปี 2535 มาวันนี้พี่น้อยมีไร่อยู่ 30 ไร่ ปลูกทุเรียน 20 ไร่ ประมาณ 400 ต้น โดยมีทุเรียนพันธุ์เด่นคือ พันธุ์“หลง”และ“หลิน”จาก อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ที่ให้รสชาติอร่อยไม่แตกต่างไปจากทุเรียนหลง-หลินต้นตำรับ นอกจากนี้พี่น้อยยังปลูกทุเรียนพันธุ์โบราณหายากอื่นๆอีกรวมแล้วกว่า 30 สายพันธุ์
สำหรับผู้ที่มาเที่ยวชมสวนหลงรักไทยในหน้าทุเรียน หากอยากกินทุเรียนหลง-หลิน อร่อย สด ใหม่จากสวนต้องโทร.แจ้งล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 3 วัน เพื่อให้พี่น้อยเก็บทุเรียนเตรียมไว้ ส่วนใครที่วอล์คอินเดินทางมาเที่ยวสวนแบบไม่แจ้งล่วงหน้า หากโชคดีก็อาจจะได้กินทุเรียนสดๆจากสวนที่พอมี(เหลือ)อยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นโอกาสที่น้อยมาก เพราะทุกวันนี้แค่ทุเรียนที่เก็บส่งขายก็แทบไม่พออยู่แล้ว
อย่างไรก็ดีก่อนที่ “ตะลอนเที่ยว” จะกลับลาจากสวน พี่น้อยได้ย้ำกับเราว่า ทุเรียนที่สวนของเขาไม่ได้ชื่อ“พันธุ์หลงรักไทย” หากแต่เป็นการนำทุเรียน“พันธุ์หลง-หลิน”จากลับแล มาปลูกที่สวนหลงรักไทย โดยมีสโลแกนสุดเก๋ว่า
“กินทุเรียนหลงรักไทย จะเผลอใจไปหลงรักเธอ”
รำวงย้อนยุค สนุกเพลินใจใน“ถนนคนเดิน”
หลังอร่อยหลง-หลิน กินทุเรียนไปแบบจัดเต็มแล้ว “ตะลอนเที่ยว” เดินทางเข้าสู่ตัวเมืองพิษณุโลก เพื่อพักค้างและออกท่องเที่ยวสัมผัสบรรยากาศสิ่งน่าสนใจเมืองสองแควแห่งนี้
สำหรับผู้ที่มาเที่ยวพิษณุโลกหากมาตรงกับช่วงวันเสาร์เราจะได้สัมผัสกับบรรยากาศถนนคนเดินพิษณุโลกที่จัดขึ้นบริเวณถนนสังฆบูชา หน้าวัดจันทร์ตะวันออกเป็นต้นไป
บริเวณถนนคนเดินพิษณุโลกนอกจากจะมีสินค้า อาหาร วางจำหน่ายมากมายในบรรยากาศอันคึกคักมีคนเดินเที่ยวจับจ่ายซื้อของกันเป็นจำนวนมากแล้ว ที่ลานวัดจันทร์ตะวันออกยังมีความพิเศษสร้างสีสันให้ถนนคนเดินพิษณุโลกมีความโดดเด่นแปลกแตกต่างจากถนนคนเดินที่อื่นๆนั่นก็คือ ที่นี่มีการจัดกิจกรรม“รำวงย้อนยุค”ในบรรยากาศแบบไทยๆขึ้น โดยนักร้องนักดนตรีบนเวทีนั้นสามารถร้องเล่นถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างสนุกครื้นเครง พร้อมกันนี้ยังมีบรรดาคุณป้า คุณย่า คุณยาย มาเป็นนางรำย้อนยุคกิตติมศักดิ์ ที่แม้แต่ละคนจะเป็นผู้อาวุโสจัดอยู่ในประเภท ส.ว. สูงวัย แต่ว่านางรำแต่ละคนนี่สามารถเต้นกับคู่เต้นได้อย่างสนุกสุดมัน ชนิดกระชากวัยกันไปเลยทีเดียว
ในตัวเมืองพิษณุโลกยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหนึ่งแห่งที่อวลไปด้วยบรรยากาศแห่งวิถีไทยนั่นก็คือ “พิพิธภัณฑ์ จ่าทวี”(จ่าสิบเอกทวี-พิมพ์ บูรณเขตต์) ที่ตั้งอยู่บนถนนวิสุทธิกษัตริย์ ภายในเป็นที่รวบรวมจัดแสดงข้าวของพื้นบ้านมากมาย จนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในขุมทรัพย์ทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชั้นเลิศ จนได้รับรางวัลต่างๆมากมาย
นอกจากนี้ในตัวเมืองพิษณุโลกยังมีวิถีไทยอันน่าสนใจให้สัมผัสกันอีกที่ “กลุ่มโอทอป บ้านเรือนไทยจำลองจิ๋ว” ที่ตั้งอยู่ที่หมู่ 5 ต.อรัญญิก อ.เมือง
กลุ่มโอทอปบ้านเรือนไทยจำลองจิ๋ว เป็นการรวมกลุ่มของชาวบ้านประมาณ 20 คน จัดทำงานฝีมือประดิษฐ์เรือนไทยจำลองขนาดเล็กหรือ“โมเดลเรือนไทย” ส่งขายในหลากหลายรูปแบบ หลายหลายประเภท ทั้งเรือนไทยภาคกลาง เหนือ ใต้ อีสาน (ตามลูกค้าสั่ง) มีทั้งเรือนกลุ่ม เรือนแฝด เรือนเดี่ยว รวมถึงมีชิ้นส่วนของโมเดลเรือนไทยที่ให้ลูกค้านำกลับบ้านไปประกอบเอง โดยมีวิธีการประกอบบอกไว้อย่างเป็นขั้นตอน
เรือนไทยจำลองที่นี่ทำจากเยื่อไม้สัก ตัดแต่งประกอบอย่างประณีตสวยงาม ได้รับรางวัลโอทอป 4 ดาว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์เด่นเคียงคู่เมืองสองแควที่แสดงถึงความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี
ไหว้พระ สักการะองค์ดำ
สำหรับโปรแกรมเที่ยวในช่วงท้ายๆของทริป เราออกเดินสายไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในจังหวัด เริ่มจาก การไปสักการะองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ “ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” หรือที่ชาวบ้านที่นิยมเรียกกันว่า “ศาลองค์ดำ” ที่ตั้งอยู่ในบริเวณ“พระราชวังจันทน์” ต.ในเมือง อ.เมือง
บริเวณนี้ในอดีตเป็นสถานที่พระราชสมภพของพระนเรศวรและเป็นที่ประทับเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นพระมหาอุปราช ซึ่งวันนี้ที่ลานทางเข้าด้านหน้าภายในบริเวณพระราชวังจันทน์ ได้จัดการแสดงแสง-สี-เสียง(มินิไลท์แอนด์ซาวนด์)เรื่อง“สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จอมราชันย์คู่แผ่นดิน” ขึ้นในทุกๆวันเสาร์แรกของเดือน เวลา 19.30 น.- 20.30 น. ตั้งแต่เดือน มิ.ย. - ก.ย. 58 โดยเริ่มครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา งานนี้เปิดให้เข้าชมฟรี
นอกจากนี้ติดกับศาลองค์ดำยังเป็นที่ตั้งของ“ศาลหลักเมืองพิษณุโลก” อีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองสองแคว จากนั้นเราไปต่อกันที่ “วัดนางพญา” อีกหนึ่งวัดคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลก ที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของ “พระสมเด็จนางพญา” พระเครื่อง 1 ใน 5 ของชุดพระเครื่องเบญจภาคีที่ถือเป็นที่สุดของพระเครื่องในเมืองไทย ซึ่งเด่นทั้งในด้านพุทธศิลป์และพุทธานุภาพ
วัดนางพญา ตั้งอยู่ที่ถนนจ่าการบุญ อ.เมือง ภายในวัดประดิษฐาน “สมเด็จนางพญาเรือนแก้ว” พระประธานองค์งามสีทองเหลืองอร่าม อีกทั้งยังมีงานจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวพุทธประวัติและเรื่องราวตำนานสมเด็จพระนเรศวรที่วาดด้วยฝีมืออันสวยงาม
บริเวณวัดนางพญายังเป็นที่ตั้งของ “พลับพลาหทัยนเรศวร์ 5 พระองค์” ภายในประดิษฐานพระบรมรูป 5 พระองค์ในสมเด็จพระนเรศวร ได้แก่ “สมเด็จพระมหาธรรมราชา”(พระราชบิดา), “พระวิสุทธิกษัตริย์”(พระราชมารดา), “พระสุพรรณกัลยา”, “สมเด็จพระเอกาทศรถ” และ “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ที่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญของจังหวัดพิษณุโลก
ไหว้หลวงพ่อใหญ่
จากนั้นสุดท้ายเราไปปิดทริปกันที่ “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร” ที่ตั้งอยู่ที่ถนนพุทธบูชา ริมฝั่งแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออก
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุหรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันติดปากว่า“วัดใหญ่” เป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลก ภายในประดิษฐาน“พระพุทธชินราช” พระพุทธรูปองค์สำคัญของเมืองไทยที่ชาวไทยต่างให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง
พระพุทธชินราชหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า“หลวงพ่อใหญ่” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยตอนปลาย มีพระพุทธลักษณะที่งดงามเป็นยิ่งนักจนเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปไกลถึงชาวต่างชาติ ซึ่งในแต่ละวันจะมีผู้คนเดินทางมากราบสักการะองค์พระพุทธชินราชกันไม่ได้ขาด
พระพุทธชินราช สร้างขึ้นโดยช่างฝีมือเอกในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือ“พระยาลิไท” โดยได้ทำการสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาในคราวเดียวกัน 3 องค์ ซึ่งนอกจากพระพุทธชินราชแล้วก็มี “พระพุทธชินสีห์”และ“พระศรีศาสดา” ที่ประดิษฐานอยู่ในส่วนด้านใน สามารถเดินเข้าไปสักการบูชาได้
นอกจากนี้ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุยังมี “พระเหลือ” เป็นพระขนาดเล็กสร้างขึ้นจากเศษทองที่เหลือจากการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ส่วน“พระอัฎฐารส” เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติประทับยืนอยู่ด้านหน้าองค์ปรางค์ เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหารใหญ่ แต่วิหารได้พังไปจนหมดเหลือเพียงเสาที่ก่อด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่ เรียกว่า“เนินวิหารเก้าห้อง”
ขณะที่อีกหนึ่งพระพุทธรูปองค์สำคัญที่มีพุทธลักษณะแตกต่างจากทั่วไปนั่นก็คือ “พระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน” ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารแกลบ
พระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน มีพุทธลักษณะเป็นหีบประดิษฐานพระบรมศพสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอยู่บนจิตกาธาน ปลายหีบด้านหนึ่งมีพระบาทคู่ยื่นออกมา โดยมีพระพุทธสาวกทั้ง 5 นั่งพนมมือชันเข่าถวายบังคมเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่ด้านหลังหีบเป็นพระพุทธรูปองค์โต
เดิมมีความเชื่อว่าหากใครต้องการผลสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาให้มากราบที่พระพุทธบาทคู่ ทำให้มีคนมากราบที่พระบาทคู่กันเป็นจำนวนมาก จนทองที่ปิดพระบาทลอกสึก เหลือแต่รอยลงรักสีดำ ทำให้วัดต้องห้ามไปสัมผัสจับแตะที่พระบาทคู่ หีบพระบรมศพและเหล่าพระพุทธสาวก เพื่อป้องกันศิลปวัตถุอันทรงคุณค่าเสื่อมชำรุด
สำหรับผู้ที่มาเยือนวัดพระศรีรัตนมหาธาตุนอกจากจะได้กราบไหว้พระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันหลากหลาย โดยเฉพาะกับองค์พระพุทธชินราชที่เป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญของเมืองไทยแล้ว ที่วัดแห่งนี้ยังอวลไปบรรยากาศแห่งการทำบุญสะเดาะเคราะห์ในหลากหลายรูปแบบ
รวมถึงมีการแบ่งโซนขายสินค้าของฝาก โอทอป ของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยวเป็นที่ครึกครื้น ให้เราได้เลือกซื้อสินค้าอาหารการกินกันตามใจชอบ ส่งท้ายการทัวร์บุญ ไหว้พระ ก่อนจากลาเส้นทางท่องเที่ยว “เขาค้อ-ภูทับเบิก-ภูหินร่องกล้า” และแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงในเพชรบูรณ์-พิษณุโลก ที่ช่วงกรีนซีซั่นนี้ นี่ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่มากไปด้วยสิ่งน่าสนใจ โดยเฉพาะกับบรรยากาศของป่าเขียวหมอกขาวแห่งเขาสูงวิวสวยอันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความโรแมนติก
และเป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดให้ผู้มาเยือนประทับใจอยู่ไม่รู้ลืม
*****************************************
ถนนคนเดินพิษณุโลก จัดขึ้นทุกเย็นวันเสาร์ บนถนนสังฆบูชา เวลา 16.00 - 22.00 น. กิจกรรมรำวงจัดขึ้นที่ลานวัดจันทร์ตะวันออก เวลา 19.00 - 22.00 น.
สำหรับผู้สนใจร่วมกิจกรรมในโครงการ “Green Season วันธรรมดา หรรษาคูณสอง”ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มิ.ย. - 30 ก.ย. 58 และมอบส่วนลดพิเศษสูงสุด 80% สำหรับที่พัก ร้านอาหาร กิจกรรมท่องเที่ยว ร้านของฝากของที่ระลึก(ที่เข้าร่วมโครงการ) สามารถดาวน์โหลดคูปองส่วนลดต่างๆได้ที่ www.greenseasondeal.com และติดตามข่าวสารส่วนลดพิเศษต่างๆได้ทางเฟสบุ๊คแฟนเพจ www.facebook.com/Greenseasonfunall
ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในจังหวัดเพชรบูรณ์-พิษณุโลกเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานพิษณุโลก(พื้นที่รับผิดชอบ พิษณุโลก,เพชรบูรณ์,พิจิตร) โทร.0-5525-2742-3, 0-5525-9907
คลิกอ่าน ที่เที่ยว-ที่กิน-ที่พัก ในจังหวัดเพชรบูรณ์และพิษณุโลก "เที่ยวหน้าฝน ยลเสน่ห์กรีนซีซันสุดหรรษา ที่ เพชรบูรณ์-พิษณุโลก" ได้ที่นี่
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com