ไม่รู้ว่าจะมีใครเป็นเหมือนกับฉันบ้างไหม ที่พอมีวันหยุดทีไรก็ต้องออกไปเที่ยวนอกบ้านเสียทุกครั้งไป อย่างวันหยุดนี้ ฉันก็พาตัวเองมาเดินเล่นแถวๆ ริมแม่น้ำบางปะกง ในเขต อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
แน่นอนว่าใครที่มาถึง จ.ฉะเชิงเทรา ก็ต้องมากันที่ “วัดโสธรวรารามวรวิหาร” หรือ “วัดหลวงพ่อโสธร” วัดศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแปดริ้ว ที่มีประวัติการสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยเดิมนั้นชื่อว่า “วัดหงส์” เนื่องจากมีหงส์ทำด้วยทองเหลืองอยู่บนยอดเสา ต่อมาหงส์ที่ยอดเสาหักตกลงมาเสียชำรุด ทางวัดจึงเอาธงไปติดไว้ที่ยอดเสาแทนรูปหงส์ จึงได้ชื่อว่าวัดเสาธง แล้วต่อมาก็เกิดมีพายุพัดเสานี้หักลงส่วนหนึ่ง จึงได้ชื่อว่าวัดเสาทอน และต่อมาชื่อนี้กลายไปเป็น “วัดโสธร” ในปัจจุบัน
สำหรับภายในวัดหลวงพ่อโสธร เป็นสถานที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อพุทธโสธร” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพสักการะของชาวแปดริ้วและประชาชนทั่วไป ใครผ่านไปผ่านมาในเมืองแปดริ้ว ก็จะต้องแวะมาสักการะหลวงพ่อเพื่อความเป็นสิริมงคลอยู่เสมอ
“หลวงพ่อพุทธโสธร” เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ฝีมือช่างล้านช้าง ตามตำนานไม่ได้กล่าวไว้ว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่ได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยมาตามน้ำ และมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ ต่อมาพระสงฆ์ในวัดเกรงว่าจะมีผู้มาลักพาไปจึงได้เอาปูนพอกหุ้มองค์เดิมไว้จนมีลักษณะที่เห็นในปัจจุบัน
ใครมาถึงวัดหลวงพ่อโสธรแล้ว มักจะตรงเข้าไปจุดธูปเทียนบูชาหลวงพ่อโสธรองค์จำลองกันก่อน ซึ่งจะประดิษฐานอยู่ด้านหลังของพระอุโบสถหลังใหม่นั่นเอง
นอกจากผู้คนจะมาสักการะ จุดธูป เทียน และปิดทององค์หลวงพ่อโสธรจำลองแล้ว ก็มีบางส่วนที่มาแก้บนที่เคยบนบานไว้กับหลวงพ่อโสธรด้วย เนื่องจากความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร จึงมีประชาชนมาอธิษฐานขอพร และบนบานศาลกล่าวกับองค์หลวงพ่ออยู่เสมอ เมื่อได้สำเร็จสมประสงค์แล้วก็จะมาแก้บน โดยมีทั้งการจ้างคณะละครมารำแก้บนถวาย นอกจากนี้ก็ยังมีการแก้บนด้วยไข่ต้ม ที่มีผู้นำมาแก้บนหลวงพ่อมากมายจนทางวัดต้องสร้างชั้นวางไข่ต้มแก้บนโดยเฉพาะ
สำหรับหลวงพ่อโสธรองค์จริง ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถหลังใหม่ ที่สร้างขึ้นตามพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดแห่งนี้ ในปี พ.ศ. 2509 ที่ทรงเห็นว่าพระอุโบสถหลังเก่าคับแคบแล้ว ต่อมาจึงมีการรวบรวมเงินบริจาคเพื่อจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างพระอุโบสถหลังใหม่
การก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่นี้ สร้างขึ้นครอบพระอุโบสถหลังเดิม โดยใช้เทคนิคทางวิศวกรรมสมัยใหม่ ไม่มีการเคลื่อนย้ายองค์หลวงพ่อโสธร และพระพุทธรูปทั้ง 18 องค์ ที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถหลังเดิม
พระอุโบสถหลังใหม่มีความงดงามทั้งภายนอกและภายใน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง ซึ่งบริเวณโดยรอบพระอุโบสถนั้นมีการจัดแต่งภูมิทัศน์ให้งดงามเหมาะสม ด้านในพระอุโบสถมีการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยรอบตั้งแต่พื้น เสา ผนัง และเพดาน บรรจุเรื่องราวให้เป็นแดนแห่งทิพย์ เป็นเรื่องราวของสีทันดรมหาสมุทร จตุโลกบาล สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พรหมโลก ดวงดาว และจักรวาล โดยตำแหน่งของดวงดาวบนเพดาน กำหนดตำแหน่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539 ณ เวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ
ไหว้พระทำบุญภายในพระอุโบสถเสร็จแล้ว ฉันก็ออกมาเดินเล่นริมแม่น้ำบางปะกง รับลมเย็นๆ แล้วก็แวะมาให้อาหารปลาบริเวณริมแม่น้ำ หรือหากใครอยากจะล่องเรือชมแม่น้ำบางปะกง บริเวณริมน้ำก็มีอยู่หลายเจ้าให้เลือกใช้บริการ
อีกมุมหนึ่งของวัด ด้านหลังพระอุโบสถก็ยังมี โรงเจหลวงพ่อโสธร ตั้งอยู่ที่โรงเจแห่งนี้ก็สามารถเข้าไปไหว้เทพเจ้า ทำบุญสุนทานกันได้อีก ซึ่งคนที่มาที่นี่ก็นิยมมาไหว้พระสังกัจจายน์ ขอพรให้สุขภาพแข็งแรง ชีวิตมั่งมีศรีสุข และมาไหว้เจ้าแม่กวนอิมเพื่อเสริมดวงชะตา
อิ่มบุญจากวัดโสธรแล้ว ฉันก็จะเดินทางไปอิ่มใจกันต่อที่ วัดสมานรัตนาราม ที่ตั้งอยู่ระหว่าง อ.บางคล้า และ อ.คลองเขื่อน ในเมืองแปดริ้วเช่นกัน วัดแห่งนี้โด่งดังไปทั่วประเทศ เนื่องจากมีองค์พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุขที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่นี่ ซึ่งแต่ละวันก็จะมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเข้ามาขอพรกันอย่างไม่ขาดสาย
ฉันมาถึงที่วัดนี้ก็เดินตามทางเข้ามาเรื่อยๆ ระหว่างทางก็จะมีร้านค้ามาขายของกิน พืชผักผลไม้อยู่มากมาย และจุดแรกที่ฉันแวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือ พระราหู ที่มีป้ายติดไว้ว่าเป็นพระราหูองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คนที่มาไหว้พระราหูเชื่อว่าจะทำให้เกิดโชคลาภและความสำเร็จ และยังช่วยในเรื่องของการแก้ปีชงได้ด้วย ส่วนใกล้ๆ กับพระราหู ก็จะมี พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ หรือช้างสามเศียร ตั้งอยู่เพื่อให้คนได้มาลอดใต้ท้องช้างเพื่อสะเดาะเคราะห์และเพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิต
เดินมาที่ริมน้ำอีกด้านหนึ่งของวัด ซึ่งก็คือบริเวณริมแม่น้ำบางปะกง จะเห็นเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมน้ำ ซึ่งเจ้าแม่กวนอิม หรือ พระโพธิสัตว์กวนอิม องค์นี้ เป็นปางประทานบุตรและโชคลาภ ถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเช่นกัน
ด้านล่างฐานขององค์เจ้าแม่กวนอิมเป็นห้องจัดแสดงเจ้าแม่กวนอิมปางต่างๆ รอบฐานเจ้าแม่กวนอิมด้านนอกก็มีรูปปูนปั้นเกี่ยวกับเจ้าแม่กวนอิมและตำนานเซียน คนที่มาไหว้เจ้าแม่กวนอิมปางนี้ส่วนใหญ่มาไหว้เพื่อขอให้ได้บุตร โดยเฉพาะบุตรชาย และยังขอถึงเรื่องหน้าที่การงาน เงินทอง และโชคลาภด้วย
จากนั้นฉันก็เดินเลาะริมน้ำมาเรื่อยๆ จนมาถึง พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุข องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เนื้อองค์เป็นสีชมพู หันหน้าออกมาทางแม่น้ำบางปะกง รอบฐานมีปางต่างๆ ถึง 32 ปางให้ชม ภายใต้ฐานพระพิฆเนศเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเกี่ยวกับพระพิฆเนศปางต่างๆ พร้อมทั้งเปิดให้ประชาชนทั่วไปเช่าพระพิฆเนศไปบูชาที่บ้าน
ทางวัดเปิดให้ประชาชนสักการะกราบไหว้องค์พระพิฆเนศ โดยจัดพื้นที่ให้เป็นศาลาริมแม่น้ำ ภายในศาลาเป็นที่ประดิษฐานองค์พระพิฆเนศจำลองปางต่างๆ อีกทั้งมีพระพุทธรูปให้ประชาชนได้กราบไหว้สักการะขอพร และคนที่มาไหว้พระพิฆเนศปางนี้ เชื่อกันว่า พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุขจะประทานความมีกินมีใช้ มีเงินทองไม่ขาดมือ ได้อยู่อย่างสุขสบาย อิ่มหนำสำราญ ช่วยขจัดปัดเป่าปัญหาไม่ให้มีเรื่องวุ่นวายใจ
นอกจากจะจุดธูปเทียนสักการะแล้ว ฉันเห็นว่าคนมายืนรอต่อคิวกันยาวเหยียด เพื่อกระซิบข้างๆ หูรูปปูนปั้นหนูสองตัวที่ยืนทำมือป้องหูอยู่ด้านหน้าฐานพระพิฆเนศ ซึ่งตามตำนานเล่าว่า พระพิฆเนศมีหนูเป็นบริวาร ผู้ที่มาสักการะขอพรพระพิฆเนศ หากต้องการขอสิ่งใดให้สมหวัง จะต้องไปกระซิบที่หูหนู และหนูบริเวณเหล่านี้ก็จะนำความไปบอกองค์พระพิฆเนศให้ประทานสิ่งที่ต้องการกลับมา แต่ที่สำคัญ จะต้องมีการติดสินบนหนูโดยการทำบุญใส่ไว้ในตู้ด้านหน้า
เดินถัดไปเรื่อยๆ บริเวณริมน้ำก็จะเห็นดอกบัวยักษ์ สีชมพูสดใสลอยอยู่ในแม่น้ำ ซึ่งภายในใจกลางดอกบัวยักษ์นี้ก็จะเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ มีการทำสะพานเดินข้ามไปให้คนได้เข้าไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุอย่างสะดวกสบาย และอีกมุมหนึ่งของวัด ก็ยังมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานอยู่อีกองค์หนึ่ง นั่นคือ หลวงพ่อโต ที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยอายุกว่า 120 ปี
นอกจากนี้ ที่วัดสมานรัตนาราม ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกมากมายที่อยู่ภายในวัด ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อองค์ดำ หลวงพ่อประทานพร พระปางลีลา พระพิฆเนศปางปาฏิหาริย์ 108 กร จระเข้โหราเทพารักษ์ เป็นต้น ซึ่งกว่าฉันจะเดินรอบวัดเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จนครบ ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งวันเลยทีเดียว
ใครมีวันหยุด หรือพอจะมีเวลาว่าง ฉันเลยอยากจะชวนมาเที่ยวที่ฉะเชิงเทรา เพราะนอกจากจะได้มาไหว้พระทำบุญกันแล้ว ก็ยังได้มาซึมซับบรรยากาศสบายๆ ริมแม่น้ำบางปะกงให้สดชื่นกันอีกด้วย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com