xs
xsm
sm
md
lg

“ซาปา” แดนหนาวพร่างพราวหิมะโปรยปราย/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com) เฟซบุ๊ก Travel-Unlimited-เที่ยวถึงไหนถึงกัน
ซาปาเมืองในอ้อมกอดแห่งขุนเขา ในช่วงที่หิมะปกคลุมยอดเขาขาวโพลน(ภาพ : น้องพริม-เล แทง งา)
“เมืองซาปา” จ.ลาวไก ประเทศเวียดนาม ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทุ่งนาสวรรค์ เพราะเมืองนี้มีการทำนาขั้นบันไดในวิถีดั้งเดิมที่ชาวนาจะปลูกข้าวไปตามภูมิประเทศของขุนเขาที่ลดหลั่นกันไป ซึ่งหากไปถูกจังหวะเวลาในวันทุ่งนาเขียวขจีหรือออกรวงเป็นสีเหลืองทองอร่าม ในท่ามกลาง ท้องฟ้า อากาศ แสงแดด เป็นใจ ทุ่งนาขั้นบันไดอันกว้างใหญ่ตระการตาแห่งเมืองซาปาได้ชื่อว่างดงามนัก งดงามปานประหนึ่งดินแดนแห่งเทพนิยาย
ซาปาเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นแดนสวรรค์แห่งนาขั้นบันได
แต่ถ้าใครไปผิดช่วง หรือ อากาศ แดด ฟ้าฝน ไม่เป็นใจ ความงามก็จะลดลงมาตามลำดับ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบแวดล้อม ณ ห้วงเวลานั้นๆ หรือถ้าใครไปก่อนปลูกข้าวหรือหลังเก็บเกี่ยว ก็จะพลาดโอกาสในการชมทุ่งนาสวรรค์ขั้นบันไดอันแสนงามของเมืองนี้ไป โดยช่วงเวลาทองของการเที่ยวชมทุ่งนาในเมืองซาปาหรือช่วงไฮซีซั่นของการเที่ยวชมทุ่งนาตั่งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวจะอยู่ในช่วงเดือน ก.ค. – ต้น ก.ย. ของทุกปี ซึ่งชาวนาที่นี่จะปลูกข้าวกันตามวิถีดั้งเดิมปีละครั้ง

สำหรับปีนี้ทุ่งนาขั้นบันไดได้ทำการเก็บเกี่ยวไปกว่า 90% แล้ว ใครที่อยากชมทุ่งนาขั้นบันไดอันสวยงามคงต้องรออีกทีในปีหน้าหรือปีถัดๆไป
ปีนี้ทุ่งนาที่ซาปาเก็บเกี่ยวไปเกือบหมดแล้ว (ภาพ : น้องพริม-เล แทง งา)
ซาปาวันหิมะโปรยปราย

ซาปาหลังฤดูเก็บเกี่ยวถือเป็นดังช่วงพักตัวทางการท่องเที่ยวของเมือง ก่อนจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงเดือน ธ.ค.-ก.พ. กับจุดเด่นของความเป็นเมืองที่มีอากาศอันหนาวเหน็บ

หนาวจนเกิดหิมะโปรยปรายลงมาสู่เมืองซาปาอยู่บ่อยครั้ง

และนั่นก็คือแม่เหล็กชั้นดีดึงดูดให้นักเดินทางจากทั่วสารทิศหลั่งไหลไปยังซาปา รวมไปถึงคนไทยที่เฝ้ารอและอยากสัมผัสกับหิมะกันแบบใกล้ๆแค่ในอาเซียน
ในช่วงหนาวเหน็บที่หิมะโปรยปรายเห็นแนวนาขั้นบันไดเป็นชั้นๆ(ภาพ : vovworld.vn)
“เล แทง งา” สาวชาวเวียดนามผู้น่ารัก หรือที่ใช้ชื่อเรียกในภาษาไทยว่า “น้องพริม-พิมพ์ชนก เวียระชัย” บอกกับผมว่า ซาปาในช่วงหิมะตก ไม่ใช่แค่เฉพาะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้นที่หลั่งไหลมาเที่ยว แต่ชาวเวียดนามเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย และก็จะแห่กันขึ้นมาเที่ยวซาปา จนเกิดปรากฏการณ์รถติดที่ซาปากันเลยทีเดียว สำหรับตัวเธอก็เช่นกันปีนี้ก็ลุ้นอย่าหิมะจะตกที่ซาปาอีกหรือเปล่า เพราะเธอเคยมาเที่ยวซาปาในช่วงที่มีหิมะตกซึ่งก็ได้เห็นบรรยากาศและมนต์เสน่ห์ของซาปาที่โดดเด่นแตกต่างไปอีกแบบ

ด้าน “หว่าง วิน” หรือ “ลุงถวิล” ไกด์นำเที่ยววัย 70 กว่าปีชาวเวียดนาม ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลปวัฒนธรรมที่มาเป็นคนนำเที่ยวให้ข้อมูลความรู้กับผมและคณะในทริปนี้บอกว่า ถ้าปีไหนอากาศที่ซาปาหนาวเย็นมากจนอุณหภูมิลดลงต่ำ 2-3 องศา ปีนั้นให้เตรียมตัวมาดูหิมะที่ซาปาได้ แต่นั่นก็ใช่ว่ามันจะแน่นอนเสมอไป เพราะบางปีอุณหภูมิลดต่ำลงเกือบๆศูนย์องศา(เซลเซียส) แต่จู่ๆอุณหภูมิก็เพิ่มขึ้นมา อุ่นขึ้นมา
ซาปาวันหิมะตกปกคลุมขุนเขา (ภาพ : น้องพริม-เล แทง งา)
สำหรับซาปาในช่วงหิมะตกเยอะๆนั้นจะย้อมเมืองเป็นสีขาวโพลน ให้บรรยากาศคล้ายประเทศเมืองหนาว โดยจุดเด่นของที่นี่ก็เห็นจะเป็นแปลงนาขั้นบันไดที่ถูกหิมะย้อมเป็นขั้น เป็นชั้นดูเป็นแปลงหิมะขั้นบันได สวยงามแปลกตาไปอีกแบบ

อย่างไรก็ดีซาปาในช่วงหิมะตกนั้นอาจจะถือเป็นช่วงเวลาทองของการท่องเที่ยวที่มีผู้คนหลั่งไหลมามากมาย แต่สำหรับชาวบ้าน เกษตรกร พวกเขาไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะนั่นทำให้พืชผลทางการเกษตรเสียหาย สัตว์เลี้ยงล้มตาย

ถือเป็นเหรียญสองด้านที่เรามิอาจปฏิเสธธรรมชาติได้
เทือกภูเขาทองแห่งซาปาที่ได้ชื่อว่าเป็นหลังคาอินโดจีน
เสน่ห์เมืองซาปา

นอกจากทุ่งนาขั้นบันไดอันกว้างใหญ่สวยงามและบรรยากาศยามหิมะโปรยปรายที่ย้อมเมืองจนขาวโพลนอยู่บ่อยครั้งแล้ว ซาปายังมีสิ่งน่าสนใจที่ชวนเที่ยวอยู่อีกหลากหลาย โดยเฉพาะในตัวเมืองซาปานั้นถือเป็นอีกหนึ่งดินแดนที่มีมนต์เสน่ห์ให้เราได้เพลิดเพลินกันไม่น้อยทีเดียว

ซาปาเป็นเมืองที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขา โดยเฉพาะกับเทือกเขา“หว่าง เลียน เซิน” (Hoang Lien Son) ที่กั้นพรมแดนระหว่างเวียดนามกับจีน ซึ่งชาวฝรั่งเศสได้ตั้งฉายาให้กับขุนเขาลูกนี้ว่า เทือกเขา“แอลป์แห่งอ่าวตังเกี๋ย
ซาปาเมืองในแวดล้อมแห่งขุนเขา ณ จัตุรัสใจกลางเมือง
ลุงถวิล บอกกับผมว่า เขาลูกนี้หากแปลเป็นไทยก็หมายถึง“เทือกภูเขาทอง” เป็นภูเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นหลังคาอินโดจีน มียอดสูงสุดคือยอดเขา“ฟาน ซี ปัน”(Fansipan) ที่มีความสูง 3,143 เมตร ซึ่งส่วนใหญ่ฟ้าจะเปิดให้เราเห็นยอดฟานซีปันในช่วงเช้าตรู่ จากนั้นเมฆหมอกก็จะลอยเข้ามาปกคลุม บนยอดเขามีอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศาเซสเซียสอยู่เกือบตลอดทั้งปี ฟานซีปันเป็นหนึ่งในยอดเขาของเหล่าผู้กล้าที่ชื่นชอบปีนเขาหรือชอบการท่องเที่ยวแบบท้าทายสามารถเดินป่าขึ้นไปพิชิตยอดเขาแห่งนี้ได้ ซึ่งก็มีทั้งโปรแกรม 3 วัน 2 คืน และโปรแกรม 2 วัน 1 คืน

สำหรับใครที่มาเที่ยวซาปาก็จะมองเห็นเทือกภูเขาทองทอดตัวตระหง่านเคียงคู่ไปกับเมืองนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวสำคัญของเมืองที่โรงแรมหลายแห่งพยายามต่างแย่งกันเปิดมุมมองสู่เขาลูกนี้เพื่อแย่งลูกค้ากัน เพราะในยามเช้าที่อากาศเป็นใจ วิวของเทือกเขาทองที่มองเห็นยอดฟาน ซี ปัน ยามที่ถูกแสงแดดยามเช้าอาบไล้นั้นดูสวยงามไม่น้อยเลย
แปลงไม้ประจำถิ่นที่ปลูกแบบขั้นบันไดระหว่างทางขึ้นพิชิตจุดชมวิวเขาหามรอง
นอกจากนี้ในตัวเมืองซาปายังมี “เขาฮามรง” หรือ“เขาหามรอง” (Ham Rong ) เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวสำคัญ ที่ว่ากันว่าถ้ามาซาปาแล้วไม่ขึ้นไปชมวิวบนเขาลูกนี้ก็เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึง

เขาฮามรง ได้ชื่อว่า “เขาปากมังกร” หรือ “เขามังกรอ้าปาก” อันเนื่องมาจากหากเรามองยอดเขาลูกนี้ในมุมที่ใช่ก็จะดูเหมือนหัวตัวอะไรสักอย่างหนึ่งอ้าปากซึ่งชาวเวียดนามได้เปรียบให้เป็นดังมังกร ซึ่งมีตำนานเรื่องเล่าว่า ด้วยความสวยงามของซาปานับแต่บรรพกาล ทำให้มังกร 2 แม่ลูกลงจากสวรรค์มาเที่ยวที่เมืองแห่งนี้ แต่เที่ยวเพลินจนลืมเวลาปิดของประตูสวรรค์ เมื่อประตูสวรรค์จะปิด 2 มังกรแม่ลูกจึงรีบบินขึ้นไป โดยแม่เสียสละให้ลูกขึ้นประตูสวรรค์ไปก่อน ส่วนแม่คอยอยู่ข้างหลังตามขึ้นไม่ทัน จึงได้อ้าปากร่ำร้องหาลูก ตามลักษณะของธรรมชาติที่ดูคล้ายมังกรอ้าปากและกลายเป็นที่มาของชื่อภูเขาลูกนี้
สวนพืชพรรณประดับอักษรคำว่าซาปาในระหว่างทางขึ้นจุดชมวิว
เขาฮามรงตั้งอยู่ใจกลางเมือง(ทางขึ้นอยู่ใกล้ๆกับจตุรัส) ใช้เวลาเดินขึ้นไปชมวิว เที่ยวบนนั้น และชมสิ่งน่าสนใจระหว่างทางแบบสบายๆก็ราวๆ 2 ชั่วโมง โดยในเส้นทางได้มีสิ่งน่าสนใจให้เที่ยวชมกันหลายจุด อาทิ การแสดงของชนเผ่าท้องถิ่น(เล่นตามเวลาที่กำหนด) สวน 12 ราศี สวนดอกไม้ พืชพันธ์ สวนหิน รวมถึงมีการตกแต่งภูมิทัศน์ในระหว่างทางที่สวยงาม

เมื่อขึ้นไปถึงยังจุดชมวิวมองลงมาจะเห็นวิวทิวทัศน์อันกว้างไกลของตัวเมืองซาปา เห็นบ้านเรือนที่สร้างลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ พร้อมๆกับเห็นวิวอันสวยงามของทะเลสาบซาปา ซึ่งหากมาในช่วงฤดูหนาวที่หนาวจัดมีหิมะตก เราก็จะเห็นตัวเมืองตั้งอยู่ในอ้อมกอดแห่งขุนเขาที่มีหิมะขึ้นปกคลุมบนยอดดูสวยงามน่ายล
บนจุดชมวิวมองลงไปเห็นเมืองซาปาในเบื้องล่างได้อย่างสวยงาม
จากบนเขาฮามรงลงมาเดินเที่ยวในตัวเมืองซาปากันบ้าง ตัวเมืองซาปาอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขา ทั้งเทือกภูเขาทองที่ตั้งตระหง่าน เขาหามรองจุดท่องเที่ยวเลื่องชื่อ รวมถึงเขาแวดล้อมอื่นๆ ซึ่งลุงถวิลบอกว่าซาปามีอีกฉายาหนึ่งนั่นก็คือ“เมืองแห่งขุนเขาและสายหมอก” เพราะนอกจากขุนเขาที่แวดล้อมแล้ว ซาปายังเป็นเมืองที่มีสายหมอกลอยปกคลุมอยู่เสมอ โดยเมืองนี้ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยกว่า 1,500 เมตร(1,650 เมตร) ทำให้มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี

ในยุคอาณานิยมฝรั่งเศสได้มาค้นพบเมืองเล็กๆแห่งนี้ จึงเกิดความนิยมชมชอบจึงพัฒนาซาปาให้เป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศ ก่อนที่ภายหลังซาปาจะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ นอกจากร้านรวงอันคึกคักมากหลายที่มีทั้งร้ายขายของที่ระลึกต่างๆ ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า กระเป๋า ร้านเหล้า ร้านกาแฟ และอีกสารพัดร้านรวง นอกจากนี้ยังมีชาวเขาเผ่าม้ง เผ่าเย้า ใส่ชุดพื้นเมืองมาเดินเร่ขายสินค้าของที่ระลึกอยู่ทั่วไป โดยแต่ละคนต่างก็งัดเทคนิคสารพัดสารพันมาเพื่อให้ตัวเองขายของได้
พบชาวเขาในชุดพื้นเมืองมาเร่ขายของได้ทั่วไปในตัวเมืองซาปา
ขณะที่ในตัวเมืองซาปายังมีจัตุรัสกับโบสถ์คริสต์ที่อยู่ใกล้ๆกันเป็นดังเสมือนแลนด์มาร์คของที่นี่ ที่จัตุรัสแห่งนี้ในทุกๆวันเสาร์ จะแปรเปลี่ยนเป็น “Love Market” หรือ “ตลาดความรัก” ซึ่งเปิดขายกันสัปดาห์ละครั้งในวันเสาร์

พูดถึงตลาดความรักแห่งซาปาแล้วในอดีตจะเปิดกันเพียงแค่ 1 วัน ใน 1 ปีเท่านั้น ซึ่งลุงถวิลให้ข้อมูลว่า ตลาดความรักในอดีต ชาวเขาโดยเฉพาะเผ่าม้ง พวกเขานอกจากจะมาขายของแล้วก็ยังมีจุดประสงค์หลักคือการ“หาคู่” ด้วยการร้องเพลงเกี้ยวพาราสีกัน หนุ่ม-สาวคู่ไหนถูกใจกัน ปิ๊งกันก็ตกลงปลงใจจีบกัน คบกัน เป็นคู่กัน และมีอะไรด้วยกันจนถึงขั้นมีลูกมีเต้า
อาคารบ้านตึกในตัวเมืองซาปา
แต่ที่ฟังแล้วน่าตกใจก็คือ หนุ่ม-สาวที่ไปหาคู่ที่ตลาดความรักส่วนใหญ่ล้วนต่างแต่งงานมีคู่กันแล้ว แต่ด้วยประเพณีความเชื่อดั้งเดิมของพวกเขาเปิดโอกาสให้คนมีคู่แล้ว มีคู่คนใหม่ หรือพูดแบบชาวบ้านก็คือมีชู้มีกิ๊กได้อีก ซึ่งลุงถวิลบอกว่า เป็นการพิสูจน์ความสามารถในการมีบุตรของชาวม้ง

มาวันนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไป รัฐบาลเวียดนามรณรงค์อย่างหนักให้เลิกประเพณีนี้ นั่นก็ทำให้ตลาดความรักวันนี้มีจุดประสงค์หลักคือการขายของให้กับนักท่องเที่ยวพร้อมๆกับการเล่าขานถึงความเป็นมาในอดีต

แต่กระนั้นก็ยังมีคนบอกว่าตลาดความรักของจริงในแบบดั้งเดิมที่ซาปายังมีอยู่ เพียงแต่อยู่ที่ไหนเขาขอปิดเป็นความลับ
ชาวเขานำสินค้าพื้นเมืองมาขายที่ตลาดเช้า
ในซาปายังมีตลาดเช้าเป็นอีกหนึ่งสีสันที่อยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสเท่าใดนัก ตลาดเช้ามีสินค้าของกินให้เลือกมากหลาย ซึ่งมีทั้งชาวเขา ชาวบ้าน ชาวเมือง มาซื้อ-ขาย สินค้ากันเป็นที่คึกคัก ใครที่อยากสัมผัสวิถีพื้นถิ่นของเมืองซาปา โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน สินค้าพื้นถิ่นก็มาได้ที่ตลาดแห่งนี้ ส่วนพวกที่ชอบถ่ายรูปนี่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายภาพที่เต็มไปด้วยสีสัน

จากตลาดหากเดินผ่านจัตุรัสและโบสถ์ไปอีกไม่ไกลก็จะพบกับ“ทะเลสาบซาปา” เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ น้ำดูนิ่งสะอาด ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งมุมสัญลักษณ์แห่งเมืองซาปา โดยในยามเช้าและเย็นของวันที่ฟ้าและแดดเป็นใจ จะมองเห็นบ้านเรือนรอบๆบริเวณนี้สะท้อนเงาน้ำ(นิ่ง)ดูสวยงามยิ่งนัก

นับเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์แห่งซาปา เมืองท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเวียดนามที่วันนี้อยู่ในภาวะกำลังโตวันโตคืน มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆขึ้นมามากหลาย โดยเฉพาะกับโรงแรมที่พักที่ผุดขึ้นมาอีกมากมาย ซึ่งในอนาคตเมืองซาปาจะเป็นเช่นใด คงต้องติดตามกันต่อไป...
สีสันบ้านเรือนแห่งเมืองซาปา ณ ทะเลสาบปาซาปา
*****************************************
สำหรับทุ่งนาขั้นบันไดที่เมืองซาปาของปีนี้ได้ทยอยเก็บเกี่ยวไปเกือบหมดแล้ว โดยจุดชมทุ่งนาขั้นบันไดขึ้นชื่อของซาปานั้นอยู่ที่ หมู่บ้านก๊าต ก๊าต หมู่บ้านต่าวัน ซึ่งนอกจากนาขั้นบันไดแล้วก็มีภาพวิถีชีวิตให้ได้สัมผัสทัศนากัน

ทั้งนี้ช่วงไฮซีซันในการเที่ยวชมทุ่งนาขั้นบันไดนั้นอยู่ในช่วงเดือน ก.ค. - ต้น ก.ย.ที่จะเริ่มเก็บเกี่ยวไปเรื่อยๆ(ซาปาปลูกข้าวปีละครั้ง โดยจะปลูกก่อนและเก็บเกี่ยวก่อนบ้านเรา) ใครที่จะไปเที่ยวชมทุ่งนาขั้นบันไดต้องวางแผนจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก หรือจองบริษัททัวร์กันให้ๆดี

ขณะที่ช่วงไฮซีซันของการไปสัมผัสกับบรรยากาศขุนเขา สายหมอก ความหนาวเหน็บ รวมถึงหินมะที่โปรยปรายลงมาย้อมเมืองจนขาวโพลนในปีที่หนาวเหน็บ ซึ่งที่ซาปามีหิมะตกอยู่บ่อยครั้งนั่นก็คือในช่วงเดือน ธ.ค.-ก.พ.

สำหรับการเดินทางสู่ซาปาในทริปนี้ จากกรุงเทพฯเดินทางสู่กรุงฮานอย เมืองหลวงเวียดนามด้วยสายการแอร์เอเชีย เที่ยวบิน“กรุงเทพฯ(ดอนเมือง)-ฮานอย” ที่มีบริการทุกวัน(ในช่วงเช้า) จากนั้นในช่วงค่ำนั่งรถไฟตู้นอนจากฮานอยสู่เมืองลาวไกใช้เวลาอย่างต่ำประมาณ 8 ชั่วโมง และจากลาวไกสู่ซาปาใช้เวลาประมาณเกือบๆชั่วโมง

ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูตารางการบิน ตรวจสอบราคา โปรโมชั่น และสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com


กำลังโหลดความคิดเห็น