โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com) เฟซบุ๊ก Travel-Unlimited-เที่ยวถึงไหนถึงกัน
ด้วยชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกลของ“เมืองซาปา” ในเรื่องความงามของท้องทุ่งนาขั้นบันไดอันกว้างใหญ่ตระการตาที่ดูงดงามดุจดังดินแดนแห่งเทพนิยาย บวกกับสภาพของเมืองที่ตั้งอยู่ในภูมิประเทศอันสวยงามท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขาที่อวลไปด้วยสายหมอกและบรรยากาศอันหนาวเหน็บ
หนาวจนเกิดหิมะตกลงมาย้อมเมืองให้เป็นสีขาวโพลนอยู่บ่อยครั้งในช่วงฤดูหนาว
นั่นจึงทำให้หลังซาปาเปิดโลกสู่มิติการท่องเที่ยว เมืองนี้ก็ค่อยๆบ่มเพาะชื่อเสียงเรื่อยมา โดยเฉพาะในช่วง 6-7 ปีมานี้ ชื่อของซาปาได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยอย่างกว้างขวาง หลายคนอยากไปยลภูเขานาขั้นบันไดอันกว้างใหญ่อลังการ หลายคนอยากไปสัมผัสกับหิมะอันขาวโพลน
ส่วนบางคนที่เคยไปมาแล้ว เมื่อกลับมาก็จะโพสรูป เขียนเรื่อง บอกเล่าประสบการณ์ผ่านโลกออนไลน์ ยั่วกิเลสให้คนที่อยากไป รู้สึก“อยากมากขึ้น” โดยหนึ่งในนั้นก็คือผมกับคณะที่เมื่อทนความยั่วยวนอยากไม่ไหวก็ตัดสินใจออกเดินทางสู่เมืองซาปาในช่วงปลายฝนนี้อย่างไม่รีรอ
ฮานอย
จากเมืองไทยผมใช้บริการของสายการบิน“แอร์เอเชีย”เหินฟ้ามุ่งหน้าสู่กรุง“ฮานอย”(ดอนเมือง-ฮานอย)เมืองหลวงของประเทศเวียดนาม หลังมาถึงสนามบินนอยไบ(Noi Bai)เมืองฮานอยในช่วงสายๆ เราใช้เวลาที่เหลือของวันเที่ยวทัศนาสัมผัสเมืองฮานอยกันพอหอมปากหอมคอ ได้เห็นถึงความสวยงามของสภาพอาคารเก่าสไตล์โคโรเนียลที่เป็นสิ่งตกทอดมาจากยุคอาณานิคม ได้เห็นถึงการเติบโตของกรุงฮานอย เมืองหลวง
ได้เห็นความเป็นเมืองที่มากไปด้วยรถจักรยานยนต์ซึ่งเมืองนี้มีมอเตอร์ไซค์มากกว่า 20,000 คัน(แต่ก็เป็นอันดับ 2 ของเวียดนามรองจากเมืองโฮจิมินห์ที่มีมอเตอร์มากถึงกว่า 40,000 คัน) ได้เห็นวิถีชาวเวียดนามที่นิยมนั่งกินอาหาร จิบชา กาแฟ เครื่องดื่ม เบียร์ ตามริมฟุตบาท แต่ต่างจากบ้านเราตรงที่พวกเขาจะนั่งกันหน้าร้านด้วยเก้าอี้นั่งยอง นั่งสนทนาพูดคุยสรวลเสเฮฮากันตามประสา ดูผู้คนสัญจรไป-มา และฟังเสียงรถบีบแต่ปรู๊นปร๊าน รวมถึงได้สัมผัสสถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกิน และได้ยลยินความน่ารักของสาวงามเวียดนามหลายๆคนที่นับเป็นอีกหนึ่งสิ่งชุ่มชื่นชูใจหนุ่มไทยไกลบ้านอย่างผม
จากนั้นในภาคกลางคืนเราออกเดินทางต่อในช่วงหัวค่ำด้วยรถไฟตู้นอน เพื่อมุ่งหน้าสู่ชุมทางเมือง”ลาวไก” แล้วไปต่อรถยนต์สู่เมืองซาปาอีกที
ความที่ช่วงนี้สถานีรถไฟกรุงฮานอยช่วงนี้กำลังปรับปรุงใหญ่ทำให้ดูสับสนอลหม่านพอสมควร ครั้นพวกเราเจอขบวนตู้นอนที่ใช่ก็ไม่รอรีเข้าประจำที่ตามหมายเลขที่ตั๋วกำหนด รถไฟตู้นอนที่นี่ต่างจากบ้านเรา เพราะแบ่งเป็นห้องหับมิดชิดมีประตูเข้า-ออกชัดเจน โดยมีทางเดินเล็กๆผ่านหน้าห้องเชื่อมยาวถึงกัน แต่ละห้องมี 4 เตียง เป็นเตียง 2 ชั้น ล่าง-บน หากไปเป็นหมู่คณะควรคำนวณให้หาร 4 ลงตัว หรือไม่อย่างน้อยก็ให้เป็นเศษ 2 เพื่อจะได้นอนเตียงเดียวกัน(ชั้นบน-ล่าง) ถ้าไม่อยากเสียเงินเพิ่มในการเหมาห้อง
ครับเมื่อได้ห้องหับที่นอนเรียบร้อยแล้ว บนรถไฟเขาก็มีพนักงานมาเดินบริการขายของพวกของกินเล่นและเครื่องดื่ม ซึ่งงานนี้ผมกับเพื่อนๆเลือกใช้บริการเบียร์ฮานอยเป็นตัวช่วยให้คุยกันรื่นไหลแข่งกับเสียงรถไฟกะฉึกกะฉักที่วิ่งแบบหวานเย็นไปทั้งคืน รวมถึงเป็นตัวช่วยให้นอนหลับยาวไปจนถึงยังสถานีปลายทาง(สุดสาย)ลาวไกในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น
รถไฟจากฮานอยไปลาวไกมีกำหนดเวลามาตรฐานในการถึงสถานีเป้าหมายปลายทาง(ลาวไก)ประมาณ 8 ชั่วโมง แต่รถไฟเวียดก็มีสิ่งที่เหมือนกับรถไฟไทยคือเลท ถึงจุดหมายล่าช้ากว่ากำหนดอยู่บ่อยครั้ง(ตามแต่สภาพการณ์) อย่างในทริปนี้รถไฟเวียดแถมโปรโมชั่นพิเศษด้วยการเพิ่มเวลาให้เรานั่งรถไฟฟรีๆไปอีกเกือบ 2 ชั่วโมง
นับเป็นโปรฯฟรีที่ผมไม่อยากได้ด้วยประการทั้งปวง
ซาปา
เมืองซาปาตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนามเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดลาวไก จังหวัดชายแดนติดกับมณฑลยูนนานของจีน ซึ่งวันนี้เวียดนามเตรียมเปิดรับทั้งเออีซี รับชาวจีน และรับการท่องเที่ยวของเมืองซาปาที่กำลังดีวันดีคืนด้วยการ ทำทางด่วนจากฮานอยสู่ลาวไกช่วยการเดินทางสะดวกรวดเร็วขึ้น จากเดิมที่ต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง(รถบัส รถไฟ ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นตามแต่สถานการณ์) ลดลงมาเหลือประมาณ 3 ชั่วโมง
นั่นทำให้ในอนาคตอีกไม่ไกลนี้ เมื่อเราเดินทางจากเมืองไทยมาถึงฮานอยในช่วงสายๆก็สามารถเดินทางต่อสู่ลาวไกและซาปาได้ไปในวันเดียว โดยไปถึงซาปาในช่วงบ่ายแก่ๆหรือเย็นๆ ย่นระยะเวลาจากเมืองไทยสู่ซาปาไปได้มากโข เหมาะสำหรับคนมีเวลาน้อยหรือคนที่อยากจะใช้เวลาซึมซับกับบรรยากาศของเมืองซาปากันอย่างเต็มที่
สำหรับซาปาถือเป็นเมืองในอ้อมกอดแห่งขุนเขาตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยกว่า 1,500 เมตร เมืองนี้มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ในยุคอาณานิยมฝรั่งเศสได้มาพบเมืองเล็กๆแห่งนี้ แล้วเกิดความนิยมชมชอบจึงพัฒนาซาปาให้เป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศ(จึงมีการสร้างทางรถไฟจากฮานอยมายังลาวไกเพื่อสะดวกต่อการเดินทางไปซาปา)
ตัวเมืองซาปาอยู่ห่างจากตัวเมืองลาวไกประมาณ 40 กม. แต่รถวิ่งใช้เวลาร่วมชั่วโมงเนื่องจากเส้นทางขึ้นเขาสูงชันคดเคี้ยว แต่ในเส้นทางจากลาวไกสู่ซาปาสำหรับผมแล้วก็ถือว่าหลับไม่ลงจริงๆ เพราะวิวทิวทัศน์ 2 ข้างทางนั้นสวยงามมาก โดยเฉพาะวิวท้องทุ่งนาขั้นบันไดที่สร้างไล่ระดับไปตามภูมิประเทศของขุนเขาที่ระหว่างทางมี จุดจอดรถให้แวะชมวิวทุ่งนากัน 2-3 จุด ถือเป็นการอุ่นเครื่องต้อนรับพวกเราก่อนจะไปเจอไฮไลท์กันอีกทีในเมืองซาปา
นอกจากนี้สไตล์การขับรถไปบีบแตรไปของชาวเวียดนามรวมถึงการขับรถกันแบบบ้าระห่ำเลียนแบบหนังเรื่อง Fast ของรถบางคันที่สวนไปมาก็เป็นปัจจัยร่วมหนุนให้ผมหลับไม่ลงเช่นกัน
หลังเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์สองข้างทางเราก็มาถึงยังซาปาที่มีการสร้างตึกรามบ้านเรือนไล่ระดับไปตามภูมิประเทศของขุนเขา อาคารหลายหลังยังคงเป็นตึกเก่าแบบฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม ตัวเมืองซาปาวันนี้มีบรรยากาศค่อนข้างคึกคัก มีการก่อสร้างอาคารใหม่ๆขึ้นอีกหลายหลังเพื่อรับการท่องเที่ยวที่กำลังโตวันโตคืน ซึ่งมีนักเดินทางจากทั่วโลกหลั่งไหลกันเข้ามามากมาย สำหรับนักท่องเที่ยวไทยนั้นก็ไม่น้อยหน้ามีทั้งที่มาแบบแบ็กแพ็กและเป็นคณะทัวร์ ดังนั้นถ้าเป็นในช่วงไฮซีซันเราอาจจะพบเจอกับคนไทยในซาปาได้อย่างไม่ยากเย็น
ทุ่งนาขั้นบันได
แน่นอนว่าเมืองมาซาปาสิ่งที่เป็นไฮไลท์ของเมืองนี้ก็คือมนต์เสน่ห์แห่ง “ทุ่งนาขั้นบันได” ซึ่งในทริปนี้ ผมกับคณะมี “เล แทง งา” สาวชาวเวียดนามผู้น่ารัก หรือที่ใช้ชื่อเรียกในภาษาไทยว่า “น้องพริม-พิมพ์ชนก เวียระชัย” กับ “หว่าง วิน” หรือ “ลุงถวิล” ไกด์นำเที่ยววัย 70 กว่าปีชาวเวียดนาม ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลปวัฒนธรรม มาร่วมด้วยช่วยกันนำเที่ยว คอยให้ข้อมูลความรู้ เติมสีสันให้กับการเดินทาง
ทุ่งนาขั้นบันไดที่ถือเป็นไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวของซาปานั้นมี 2 จุดหลักด้วยกัน จุดแรกคือที่บ้าน“ต่าวัน”(Tavan Village) หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า“บ้านทาวัน”
หมู่บ้านต่าวัน มีจุดชมวิวท้องทุ่งนาขั้นบันไดอันกว้างใหญ่ ซึ่งหากใครไปถูกช่วงในฤดูฝนช่วงแปลงนาเขียวขจี หรือช่วงทุ่งนาเป็นสีเหลืองทอง หรือช่วงแรกลงกล้าที่มีต้นข้าวน้อยๆกับน้ำที่ยังขังอยู่สะท้อนเงาความงามในผืนนาข้าว ช่วงนั้นทิวทัศน์ที่นี่จะมีความงามโดดเด่นไปด้วยท้องทุ่งนาอันสวยงามกว้างไกลที่มีการเพาะปลูกข้าวตามภูมิปัญญาดั้งเดิมไปตามภูมิประเทศ มีทั้งนาในที่ราบ ทุ่งนาขั้นบันไดอันอลังการ โดยมีสายน้ำใสไหลเย็นไหลผ่านหมู่บ้าน มีบ้านเรือนปลูกสร้างแซมอยู่ในแปลงนาเป็นบางช่วงช่วยเติมแต่งสีสันความงามที่หากใครมาถูกช่วงจังหวะเวลา อากาศท้องฟ้า แสงแดดเป็นใจ นี่ถือเป็นอีกหนึ่งความของท้องทุ่งนาที่สวยงามดุจดังทุ่งนาสวรรค์ขั้นบันไดแห่งดินแดนในเทพนิยาย
ส่วนถ้าใครไปผิดช่วงเวลา หรือไปแล้วเจอ อากาศ แดด ฟ้าฝน ไม่เป็นใจ ความงามก็จะลดลงมาตามลำดับ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบแวดล้อมต่างๆ
จากบ้านต่าวันเราไปสัมผัสไฮไลท์ของทิวทัศน์ท้องทุ่งนาขั้นบันไดกันอีกหนึ่งแห่งคือที่ “บ้านก๊าต ก๊าต” หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า “บ้านกั๊ต กั๊ต” หรือที่มีบางคนในกรุ๊ปเราเรียกกันว่าหมู่“บ้านแมวเหมียว” เพราะหมู่บ้านนี้มีชื่อสะกดในภาษาอังกฤษอย่างเก๋ไก๋ว่า “Cat Cat Village”
บ้านก๊าต ก๊าต เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของชาวม้งที่อพยพจากประเทศจีนมาตั้งรกรากที่นี่เมื่อ 300 กว่าปีก่อนมาจนถึงปัจจุบัน
ลุงถวิลบอกว่าชื่อดั้งเดิมของหมู่บ้านก๊าต ก๊าต นั้นมาจากภาษาจีน ที่หมายถึงเจริญรุ่งเรืองไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะเพี้ยนมาเป็นหมู่บ้านก๊าต ก๊าต ดังในปัจจุบัน
หมู่บ้านก๊าต ก๊าต อยู่ห่างจากตัวเมืองซาปาประมาณ 3 กม. เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวที่วันนี้มีการเก็บค่าเข้าชมนิดหน่อยเพื่อนำไปบำรุงหมู่บ้าน ในหมู่บ้านมีไฮไลท์อยู่ที่จุดชมทุ่งนาขั้นบันได ที่เห็นปลูกกันเป็นเชิงชั้นไล่ระดับไปตามภูมิประเทศ โดยมีฉากหลังเป็นม่านแห่งขุนเขาตั้งตระหง่าน
ทุ่งนาขั้นบันไดที่บ้านก๊าต ก๊าต แม้จะไม่ยิ่งใหญ่อลังการเท่าที่บ้านต่าวัน แต่ที่นี่ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักท่องเที่ยว เพราะเป็นหมู่บ้านน่าเที่ยวที่มีวิถีวัฒนธรรมของชนเผ่าม้งให้สัมผัสทัศนากัน โดยภายในหมู่บ้านจะมีเส้นทางเดินเที่ยวไปจนถึงจุดไฮไลท์บริเวณ “น้ำตกเตียนซาน” หรือ “น้ำตกนางฟ้า” หรือ “น้ำตกกินรี” ที่โดดเด่นไปด้วยสะพานแขวนที่สร้างทอดข้ามลำธารอันสวยงาม โดยน้ำในลำธารได้ไหลไปบรรจบกับสายน้ำของน้ำตกนางฟ้า ที่ทั้งสายน้ำตกและน้ำในลำธารได้ไหลมารวมกันเป็นสายน้ำผืนเดียวกันก่อนจะไหลลงสู่เบื้องล่างต่อไป
สำหรับน้ำตกนางฟ้าเป็นน้ำตกขนาดกลางที่มีสายน้ำชุ่มฉ่ำสวยงาม สายน้ำใสไหลเย็น มีการจัดพื้นที่ภูมิทัศน์ในการยืนชมและถ่ายรูปน้ำตกเอาไว้อย่างดีและเป็นระเบียบ ก่อนที่เส้นทางจะพากลับไปสู่ทางออก
ในเส้นทางท่องเที่ยวของหมู่บ้านก๊าต ก๊าต นั้นมีระยะทางประมาณ 2 กม. ใช้เวลาเดินเที่ยวแบบเรื่อยๆสบายๆประมาณ 1-2 ชม.ผ่านทุ่งนาขั้นบันได หมู่บ้าน ชมวิวทิวทัศน์ทุ่งนา บ้านเรือน รวมถึงร้านขายของที่ระลึกที่มีอยู่เรียงรายหลายร้านตามริม 2 ข้างทาง ซึ่งก็ทำให้เส้นทางท่องเที่ยวสายนี้ดูอีกนัยหนึ่งก็คือเส้นทางขายของที่ระลึก ที่มีสินค้าหลักคือผ้าทำมือของชาวบ้าน ที่มีทั้งเสื้อผ้า ชุดชาวเขา ผ้าพันคอ ผู้ปูที่นอน ผ้าคลุมเตียง โดยเอกลักษณ์ด้านเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของชาวบ้านที่นี่ก็คือ นิยมแต่งกายด้วยโทน เทา ดำ น้ำเงิน นอกจากนี้ก็ยังมีสินค้าข้าวของที่ระลึกอื่นๆอีกหลากหลาย
สำหรับบ้านเรือนของชาวบ้านที่หมู่บ้านก๊าต ก๊าต ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ชาวเขาแบบดั้งเดิม กับวิถีทำการเกษตร ทำนา ปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว์ แต่หลายบ้านก็ทันสมัยด้วยการติดจานดาวเทียมเด่นหรา เช่นเดียวกับวิถีสาวๆชาวม้งยุคใหม่ ที่แม้บางคนจะแต่งกายด้วยชุดชนเผ่าดั้งเดิม แต่พวกเฟอร์นิเจอร์ประจำตัวที่ขาดไม่ได้(เหมือนกับคนไทย)ก็คือ โทรศัพท์มือถือ แม่ค้าบางคนลูกค้าเข้าร้านไม่สนใจเท่ากับการนั่งจ้องจอ นั่งเล่นโซเชียลมีเดียบนมือถือ นับเป็นวิถีโลกแห่งยุคสมัยที่หลายคนรวมทั้งผมแทบไม่น่าเชื่อว่าอยู่ๆวันหนึ่งเราก็ต้องกลายเป็นติ่งสตีฟ จ็อบ ไปโดยปริยาย ซึ่งแม้เราจะไม่เต็มใจแต่ก็ยากที่จะปฏิเสธหลีกหนีมันได้
กลับมาที่บ้านก๊าต ก๊าตกันต่อ อย่างที่บอกว่านี่คือหมู่บ้านท่องเที่ยวดังนั้นอะไรหลายๆอย่างจึงหนีไม่พ้นเงินทอง ใครที่เห็นเด็กผู้หญิง ผู้เฒ่าผู้แก่ หากอยากจะถ่ายรูปก็อาจจะต้องแอบถ่ายแบบแคนดิต ไม่ให้แบบรู้ตัว เพราะผมโดนมากับตัวเองเต็มๆกับพฤติกรรมของาวบ้านบางคน(ย้ำว่าบางคน) คือ เห็นแม่เฒ่าคนหนึ่งกำลังเดินมาห่างๆ พอยกกล้องขึ้นเท่านั้นแหละ ถูกแม่เฒ่าตะโกนเอ็ดๆดังๆว่า “Money Money, No money No photo”
อย่างไรก็ดีก็ยังมีชาวบ้านส่วนใหญ่หลายๆคนยินดี ยิ้มแย้ม เป็นกันเอง ในการให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ แถมบางคนโพสต์ท่าสวยๆให้อีกต่างหาาก ซึ่งนี่ก็ถือเป็นสีสันแห่งการเดินทาง เช่นเดียวกับที่มีเด็กๆแม่เฒ่ามาตื้อขายสินค้าของที่ระลึก ใครใคร่ซื้อก็ซื้อ ใครไม่อยากซื้อก็คงต้องหาวิธีปฏิเสธกันดีๆแบบสุภาพ อย่าไปทำท่ารังเกียจตวาดดุด่าใส่เขา
เพราะทั้งเขาและเราต่างก็เป็นมนุษย์ร่วมโลก เผ่าพันธ์โฮโมเซเปียนส์ เซเปียนส์ เหมือนกัน...(อ่านเรื่องเที่ยวเมืองซาปาต่อตอนหน้า)
*****************************************
สำหรับทุ่งนาขั้นบันไดที่เมืองซาปาของปีนี้ได้ทยอยเก็บเกี่ยวไปเมื่อกว่า 1 สัปดาห์ที่แล้ว โดยได้เก็บเกี่ยวไปกว่า 90% แล้ว ขณะที่ทุ่งนาขั้นบันไดในระหว่างทางสู่ซาปาก็ได้ทยอยเก็บเกี่ยวไปส่วนหนึ่ง
นอกจากทุ่งนาขั้นบันไดแล้วในซาปายังมีแหล่งท่องเที่ยว น่าสนใจได้แก่ น้ำตกซิลเวอร์ ชมวิวยอดเขาฟานซีปัน การพิชิตยอดเขาฟานซีปัน การขึ้นเขาฮามรง(หามลง)ชมวิวเมืองซาปา ทะเลสาบซาปา จัตุรัสกลางเมืองและโบสถ์เก่า ตลาดชาวเขาบั๊กฮา ตลาดยามเช้า และตลาดแห่งความรักในวันเสาร์บริเวณจัตุรัส
ทั้งนี้ช่วงไฮซีซันในการเที่ยวชมทุ่งนาขั้นบันไดนั้นอยู่ในช่วงเดือน ก.ค. - ต้น ก.ย.ที่จะเริ่มเก็บเกี่ยวไปเรื่อยๆ(ซาปาปลูกข้าวปีละครั้ง โดยจะปลูกก่อนและเก็บเกี่ยวก่อนบ้านเรา) ใครที่จะไปเที่ยวชมทุ่งนาขั้นบันไดต้องวางแผนจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก หรือจองบริษัททัวร์กันให้ๆดี
ขณะที่ช่วงไฮซีซันของการไปสัมผัสกับบรรยากาศขุนเขา สายหมอก ความหนาวเหน็บ รวมถึงหิมะที่โปรยปรายลงมาย้อมเมืองจนขาวโพลนในปีที่หนาวเหน็บ ซึ่งที่ซาปามีหิมะตกอยู่บ่อยครั้งนั่นก็คือในช่วงเดือน ธ.ค.-ก.พ.
สำหรับการเดินทางสู่ซาปาในทริปนี้ จากกรุงเทพฯเดินทางสู่กรุงฮานอย เมืองหลวงเวียดนามด้วยสายการแอร์เอเชีย เที่ยวบิน“กรุงเทพฯ(ดอนเมือง)-ฮานอย” ที่มีบริการทุกวัน(ในช่วงเช้า) จากนั้นในช่วงค่ำนั่งรถไฟตู้นอนจากฮานอยสู่เมืองลาวไกใช้เวลาอย่างต่ำประมาณ 8 ชั่วโมง และจากลาวไกสู่ซาปาใช้เวลาประมาณเกือบๆชั่วโมง
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูตารางการบิน ตรวจสอบราคา โปรโมชั่น และสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com
ด้วยชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกลของ“เมืองซาปา” ในเรื่องความงามของท้องทุ่งนาขั้นบันไดอันกว้างใหญ่ตระการตาที่ดูงดงามดุจดังดินแดนแห่งเทพนิยาย บวกกับสภาพของเมืองที่ตั้งอยู่ในภูมิประเทศอันสวยงามท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขาที่อวลไปด้วยสายหมอกและบรรยากาศอันหนาวเหน็บ
หนาวจนเกิดหิมะตกลงมาย้อมเมืองให้เป็นสีขาวโพลนอยู่บ่อยครั้งในช่วงฤดูหนาว
นั่นจึงทำให้หลังซาปาเปิดโลกสู่มิติการท่องเที่ยว เมืองนี้ก็ค่อยๆบ่มเพาะชื่อเสียงเรื่อยมา โดยเฉพาะในช่วง 6-7 ปีมานี้ ชื่อของซาปาได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยอย่างกว้างขวาง หลายคนอยากไปยลภูเขานาขั้นบันไดอันกว้างใหญ่อลังการ หลายคนอยากไปสัมผัสกับหิมะอันขาวโพลน
ส่วนบางคนที่เคยไปมาแล้ว เมื่อกลับมาก็จะโพสรูป เขียนเรื่อง บอกเล่าประสบการณ์ผ่านโลกออนไลน์ ยั่วกิเลสให้คนที่อยากไป รู้สึก“อยากมากขึ้น” โดยหนึ่งในนั้นก็คือผมกับคณะที่เมื่อทนความยั่วยวนอยากไม่ไหวก็ตัดสินใจออกเดินทางสู่เมืองซาปาในช่วงปลายฝนนี้อย่างไม่รีรอ
ฮานอย
จากเมืองไทยผมใช้บริการของสายการบิน“แอร์เอเชีย”เหินฟ้ามุ่งหน้าสู่กรุง“ฮานอย”(ดอนเมือง-ฮานอย)เมืองหลวงของประเทศเวียดนาม หลังมาถึงสนามบินนอยไบ(Noi Bai)เมืองฮานอยในช่วงสายๆ เราใช้เวลาที่เหลือของวันเที่ยวทัศนาสัมผัสเมืองฮานอยกันพอหอมปากหอมคอ ได้เห็นถึงความสวยงามของสภาพอาคารเก่าสไตล์โคโรเนียลที่เป็นสิ่งตกทอดมาจากยุคอาณานิคม ได้เห็นถึงการเติบโตของกรุงฮานอย เมืองหลวง
ได้เห็นความเป็นเมืองที่มากไปด้วยรถจักรยานยนต์ซึ่งเมืองนี้มีมอเตอร์ไซค์มากกว่า 20,000 คัน(แต่ก็เป็นอันดับ 2 ของเวียดนามรองจากเมืองโฮจิมินห์ที่มีมอเตอร์มากถึงกว่า 40,000 คัน) ได้เห็นวิถีชาวเวียดนามที่นิยมนั่งกินอาหาร จิบชา กาแฟ เครื่องดื่ม เบียร์ ตามริมฟุตบาท แต่ต่างจากบ้านเราตรงที่พวกเขาจะนั่งกันหน้าร้านด้วยเก้าอี้นั่งยอง นั่งสนทนาพูดคุยสรวลเสเฮฮากันตามประสา ดูผู้คนสัญจรไป-มา และฟังเสียงรถบีบแต่ปรู๊นปร๊าน รวมถึงได้สัมผัสสถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกิน และได้ยลยินความน่ารักของสาวงามเวียดนามหลายๆคนที่นับเป็นอีกหนึ่งสิ่งชุ่มชื่นชูใจหนุ่มไทยไกลบ้านอย่างผม
จากนั้นในภาคกลางคืนเราออกเดินทางต่อในช่วงหัวค่ำด้วยรถไฟตู้นอน เพื่อมุ่งหน้าสู่ชุมทางเมือง”ลาวไก” แล้วไปต่อรถยนต์สู่เมืองซาปาอีกที
ความที่ช่วงนี้สถานีรถไฟกรุงฮานอยช่วงนี้กำลังปรับปรุงใหญ่ทำให้ดูสับสนอลหม่านพอสมควร ครั้นพวกเราเจอขบวนตู้นอนที่ใช่ก็ไม่รอรีเข้าประจำที่ตามหมายเลขที่ตั๋วกำหนด รถไฟตู้นอนที่นี่ต่างจากบ้านเรา เพราะแบ่งเป็นห้องหับมิดชิดมีประตูเข้า-ออกชัดเจน โดยมีทางเดินเล็กๆผ่านหน้าห้องเชื่อมยาวถึงกัน แต่ละห้องมี 4 เตียง เป็นเตียง 2 ชั้น ล่าง-บน หากไปเป็นหมู่คณะควรคำนวณให้หาร 4 ลงตัว หรือไม่อย่างน้อยก็ให้เป็นเศษ 2 เพื่อจะได้นอนเตียงเดียวกัน(ชั้นบน-ล่าง) ถ้าไม่อยากเสียเงินเพิ่มในการเหมาห้อง
ครับเมื่อได้ห้องหับที่นอนเรียบร้อยแล้ว บนรถไฟเขาก็มีพนักงานมาเดินบริการขายของพวกของกินเล่นและเครื่องดื่ม ซึ่งงานนี้ผมกับเพื่อนๆเลือกใช้บริการเบียร์ฮานอยเป็นตัวช่วยให้คุยกันรื่นไหลแข่งกับเสียงรถไฟกะฉึกกะฉักที่วิ่งแบบหวานเย็นไปทั้งคืน รวมถึงเป็นตัวช่วยให้นอนหลับยาวไปจนถึงยังสถานีปลายทาง(สุดสาย)ลาวไกในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น
รถไฟจากฮานอยไปลาวไกมีกำหนดเวลามาตรฐานในการถึงสถานีเป้าหมายปลายทาง(ลาวไก)ประมาณ 8 ชั่วโมง แต่รถไฟเวียดก็มีสิ่งที่เหมือนกับรถไฟไทยคือเลท ถึงจุดหมายล่าช้ากว่ากำหนดอยู่บ่อยครั้ง(ตามแต่สภาพการณ์) อย่างในทริปนี้รถไฟเวียดแถมโปรโมชั่นพิเศษด้วยการเพิ่มเวลาให้เรานั่งรถไฟฟรีๆไปอีกเกือบ 2 ชั่วโมง
นับเป็นโปรฯฟรีที่ผมไม่อยากได้ด้วยประการทั้งปวง
ซาปา
เมืองซาปาตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนามเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดลาวไก จังหวัดชายแดนติดกับมณฑลยูนนานของจีน ซึ่งวันนี้เวียดนามเตรียมเปิดรับทั้งเออีซี รับชาวจีน และรับการท่องเที่ยวของเมืองซาปาที่กำลังดีวันดีคืนด้วยการ ทำทางด่วนจากฮานอยสู่ลาวไกช่วยการเดินทางสะดวกรวดเร็วขึ้น จากเดิมที่ต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง(รถบัส รถไฟ ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นตามแต่สถานการณ์) ลดลงมาเหลือประมาณ 3 ชั่วโมง
นั่นทำให้ในอนาคตอีกไม่ไกลนี้ เมื่อเราเดินทางจากเมืองไทยมาถึงฮานอยในช่วงสายๆก็สามารถเดินทางต่อสู่ลาวไกและซาปาได้ไปในวันเดียว โดยไปถึงซาปาในช่วงบ่ายแก่ๆหรือเย็นๆ ย่นระยะเวลาจากเมืองไทยสู่ซาปาไปได้มากโข เหมาะสำหรับคนมีเวลาน้อยหรือคนที่อยากจะใช้เวลาซึมซับกับบรรยากาศของเมืองซาปากันอย่างเต็มที่
สำหรับซาปาถือเป็นเมืองในอ้อมกอดแห่งขุนเขาตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยกว่า 1,500 เมตร เมืองนี้มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ในยุคอาณานิยมฝรั่งเศสได้มาพบเมืองเล็กๆแห่งนี้ แล้วเกิดความนิยมชมชอบจึงพัฒนาซาปาให้เป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศ(จึงมีการสร้างทางรถไฟจากฮานอยมายังลาวไกเพื่อสะดวกต่อการเดินทางไปซาปา)
ตัวเมืองซาปาอยู่ห่างจากตัวเมืองลาวไกประมาณ 40 กม. แต่รถวิ่งใช้เวลาร่วมชั่วโมงเนื่องจากเส้นทางขึ้นเขาสูงชันคดเคี้ยว แต่ในเส้นทางจากลาวไกสู่ซาปาสำหรับผมแล้วก็ถือว่าหลับไม่ลงจริงๆ เพราะวิวทิวทัศน์ 2 ข้างทางนั้นสวยงามมาก โดยเฉพาะวิวท้องทุ่งนาขั้นบันไดที่สร้างไล่ระดับไปตามภูมิประเทศของขุนเขาที่ระหว่างทางมี จุดจอดรถให้แวะชมวิวทุ่งนากัน 2-3 จุด ถือเป็นการอุ่นเครื่องต้อนรับพวกเราก่อนจะไปเจอไฮไลท์กันอีกทีในเมืองซาปา
นอกจากนี้สไตล์การขับรถไปบีบแตรไปของชาวเวียดนามรวมถึงการขับรถกันแบบบ้าระห่ำเลียนแบบหนังเรื่อง Fast ของรถบางคันที่สวนไปมาก็เป็นปัจจัยร่วมหนุนให้ผมหลับไม่ลงเช่นกัน
หลังเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์สองข้างทางเราก็มาถึงยังซาปาที่มีการสร้างตึกรามบ้านเรือนไล่ระดับไปตามภูมิประเทศของขุนเขา อาคารหลายหลังยังคงเป็นตึกเก่าแบบฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม ตัวเมืองซาปาวันนี้มีบรรยากาศค่อนข้างคึกคัก มีการก่อสร้างอาคารใหม่ๆขึ้นอีกหลายหลังเพื่อรับการท่องเที่ยวที่กำลังโตวันโตคืน ซึ่งมีนักเดินทางจากทั่วโลกหลั่งไหลกันเข้ามามากมาย สำหรับนักท่องเที่ยวไทยนั้นก็ไม่น้อยหน้ามีทั้งที่มาแบบแบ็กแพ็กและเป็นคณะทัวร์ ดังนั้นถ้าเป็นในช่วงไฮซีซันเราอาจจะพบเจอกับคนไทยในซาปาได้อย่างไม่ยากเย็น
ทุ่งนาขั้นบันได
แน่นอนว่าเมืองมาซาปาสิ่งที่เป็นไฮไลท์ของเมืองนี้ก็คือมนต์เสน่ห์แห่ง “ทุ่งนาขั้นบันได” ซึ่งในทริปนี้ ผมกับคณะมี “เล แทง งา” สาวชาวเวียดนามผู้น่ารัก หรือที่ใช้ชื่อเรียกในภาษาไทยว่า “น้องพริม-พิมพ์ชนก เวียระชัย” กับ “หว่าง วิน” หรือ “ลุงถวิล” ไกด์นำเที่ยววัย 70 กว่าปีชาวเวียดนาม ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลปวัฒนธรรม มาร่วมด้วยช่วยกันนำเที่ยว คอยให้ข้อมูลความรู้ เติมสีสันให้กับการเดินทาง
ทุ่งนาขั้นบันไดที่ถือเป็นไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวของซาปานั้นมี 2 จุดหลักด้วยกัน จุดแรกคือที่บ้าน“ต่าวัน”(Tavan Village) หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า“บ้านทาวัน”
หมู่บ้านต่าวัน มีจุดชมวิวท้องทุ่งนาขั้นบันไดอันกว้างใหญ่ ซึ่งหากใครไปถูกช่วงในฤดูฝนช่วงแปลงนาเขียวขจี หรือช่วงทุ่งนาเป็นสีเหลืองทอง หรือช่วงแรกลงกล้าที่มีต้นข้าวน้อยๆกับน้ำที่ยังขังอยู่สะท้อนเงาความงามในผืนนาข้าว ช่วงนั้นทิวทัศน์ที่นี่จะมีความงามโดดเด่นไปด้วยท้องทุ่งนาอันสวยงามกว้างไกลที่มีการเพาะปลูกข้าวตามภูมิปัญญาดั้งเดิมไปตามภูมิประเทศ มีทั้งนาในที่ราบ ทุ่งนาขั้นบันไดอันอลังการ โดยมีสายน้ำใสไหลเย็นไหลผ่านหมู่บ้าน มีบ้านเรือนปลูกสร้างแซมอยู่ในแปลงนาเป็นบางช่วงช่วยเติมแต่งสีสันความงามที่หากใครมาถูกช่วงจังหวะเวลา อากาศท้องฟ้า แสงแดดเป็นใจ นี่ถือเป็นอีกหนึ่งความของท้องทุ่งนาที่สวยงามดุจดังทุ่งนาสวรรค์ขั้นบันไดแห่งดินแดนในเทพนิยาย
ส่วนถ้าใครไปผิดช่วงเวลา หรือไปแล้วเจอ อากาศ แดด ฟ้าฝน ไม่เป็นใจ ความงามก็จะลดลงมาตามลำดับ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบแวดล้อมต่างๆ
จากบ้านต่าวันเราไปสัมผัสไฮไลท์ของทิวทัศน์ท้องทุ่งนาขั้นบันไดกันอีกหนึ่งแห่งคือที่ “บ้านก๊าต ก๊าต” หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า “บ้านกั๊ต กั๊ต” หรือที่มีบางคนในกรุ๊ปเราเรียกกันว่าหมู่“บ้านแมวเหมียว” เพราะหมู่บ้านนี้มีชื่อสะกดในภาษาอังกฤษอย่างเก๋ไก๋ว่า “Cat Cat Village”
บ้านก๊าต ก๊าต เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของชาวม้งที่อพยพจากประเทศจีนมาตั้งรกรากที่นี่เมื่อ 300 กว่าปีก่อนมาจนถึงปัจจุบัน
ลุงถวิลบอกว่าชื่อดั้งเดิมของหมู่บ้านก๊าต ก๊าต นั้นมาจากภาษาจีน ที่หมายถึงเจริญรุ่งเรืองไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะเพี้ยนมาเป็นหมู่บ้านก๊าต ก๊าต ดังในปัจจุบัน
หมู่บ้านก๊าต ก๊าต อยู่ห่างจากตัวเมืองซาปาประมาณ 3 กม. เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวที่วันนี้มีการเก็บค่าเข้าชมนิดหน่อยเพื่อนำไปบำรุงหมู่บ้าน ในหมู่บ้านมีไฮไลท์อยู่ที่จุดชมทุ่งนาขั้นบันได ที่เห็นปลูกกันเป็นเชิงชั้นไล่ระดับไปตามภูมิประเทศ โดยมีฉากหลังเป็นม่านแห่งขุนเขาตั้งตระหง่าน
ทุ่งนาขั้นบันไดที่บ้านก๊าต ก๊าต แม้จะไม่ยิ่งใหญ่อลังการเท่าที่บ้านต่าวัน แต่ที่นี่ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักท่องเที่ยว เพราะเป็นหมู่บ้านน่าเที่ยวที่มีวิถีวัฒนธรรมของชนเผ่าม้งให้สัมผัสทัศนากัน โดยภายในหมู่บ้านจะมีเส้นทางเดินเที่ยวไปจนถึงจุดไฮไลท์บริเวณ “น้ำตกเตียนซาน” หรือ “น้ำตกนางฟ้า” หรือ “น้ำตกกินรี” ที่โดดเด่นไปด้วยสะพานแขวนที่สร้างทอดข้ามลำธารอันสวยงาม โดยน้ำในลำธารได้ไหลไปบรรจบกับสายน้ำของน้ำตกนางฟ้า ที่ทั้งสายน้ำตกและน้ำในลำธารได้ไหลมารวมกันเป็นสายน้ำผืนเดียวกันก่อนจะไหลลงสู่เบื้องล่างต่อไป
สำหรับน้ำตกนางฟ้าเป็นน้ำตกขนาดกลางที่มีสายน้ำชุ่มฉ่ำสวยงาม สายน้ำใสไหลเย็น มีการจัดพื้นที่ภูมิทัศน์ในการยืนชมและถ่ายรูปน้ำตกเอาไว้อย่างดีและเป็นระเบียบ ก่อนที่เส้นทางจะพากลับไปสู่ทางออก
ในเส้นทางท่องเที่ยวของหมู่บ้านก๊าต ก๊าต นั้นมีระยะทางประมาณ 2 กม. ใช้เวลาเดินเที่ยวแบบเรื่อยๆสบายๆประมาณ 1-2 ชม.ผ่านทุ่งนาขั้นบันได หมู่บ้าน ชมวิวทิวทัศน์ทุ่งนา บ้านเรือน รวมถึงร้านขายของที่ระลึกที่มีอยู่เรียงรายหลายร้านตามริม 2 ข้างทาง ซึ่งก็ทำให้เส้นทางท่องเที่ยวสายนี้ดูอีกนัยหนึ่งก็คือเส้นทางขายของที่ระลึก ที่มีสินค้าหลักคือผ้าทำมือของชาวบ้าน ที่มีทั้งเสื้อผ้า ชุดชาวเขา ผ้าพันคอ ผู้ปูที่นอน ผ้าคลุมเตียง โดยเอกลักษณ์ด้านเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของชาวบ้านที่นี่ก็คือ นิยมแต่งกายด้วยโทน เทา ดำ น้ำเงิน นอกจากนี้ก็ยังมีสินค้าข้าวของที่ระลึกอื่นๆอีกหลากหลาย
สำหรับบ้านเรือนของชาวบ้านที่หมู่บ้านก๊าต ก๊าต ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ชาวเขาแบบดั้งเดิม กับวิถีทำการเกษตร ทำนา ปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว์ แต่หลายบ้านก็ทันสมัยด้วยการติดจานดาวเทียมเด่นหรา เช่นเดียวกับวิถีสาวๆชาวม้งยุคใหม่ ที่แม้บางคนจะแต่งกายด้วยชุดชนเผ่าดั้งเดิม แต่พวกเฟอร์นิเจอร์ประจำตัวที่ขาดไม่ได้(เหมือนกับคนไทย)ก็คือ โทรศัพท์มือถือ แม่ค้าบางคนลูกค้าเข้าร้านไม่สนใจเท่ากับการนั่งจ้องจอ นั่งเล่นโซเชียลมีเดียบนมือถือ นับเป็นวิถีโลกแห่งยุคสมัยที่หลายคนรวมทั้งผมแทบไม่น่าเชื่อว่าอยู่ๆวันหนึ่งเราก็ต้องกลายเป็นติ่งสตีฟ จ็อบ ไปโดยปริยาย ซึ่งแม้เราจะไม่เต็มใจแต่ก็ยากที่จะปฏิเสธหลีกหนีมันได้
กลับมาที่บ้านก๊าต ก๊าตกันต่อ อย่างที่บอกว่านี่คือหมู่บ้านท่องเที่ยวดังนั้นอะไรหลายๆอย่างจึงหนีไม่พ้นเงินทอง ใครที่เห็นเด็กผู้หญิง ผู้เฒ่าผู้แก่ หากอยากจะถ่ายรูปก็อาจจะต้องแอบถ่ายแบบแคนดิต ไม่ให้แบบรู้ตัว เพราะผมโดนมากับตัวเองเต็มๆกับพฤติกรรมของาวบ้านบางคน(ย้ำว่าบางคน) คือ เห็นแม่เฒ่าคนหนึ่งกำลังเดินมาห่างๆ พอยกกล้องขึ้นเท่านั้นแหละ ถูกแม่เฒ่าตะโกนเอ็ดๆดังๆว่า “Money Money, No money No photo”
อย่างไรก็ดีก็ยังมีชาวบ้านส่วนใหญ่หลายๆคนยินดี ยิ้มแย้ม เป็นกันเอง ในการให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ แถมบางคนโพสต์ท่าสวยๆให้อีกต่างหาาก ซึ่งนี่ก็ถือเป็นสีสันแห่งการเดินทาง เช่นเดียวกับที่มีเด็กๆแม่เฒ่ามาตื้อขายสินค้าของที่ระลึก ใครใคร่ซื้อก็ซื้อ ใครไม่อยากซื้อก็คงต้องหาวิธีปฏิเสธกันดีๆแบบสุภาพ อย่าไปทำท่ารังเกียจตวาดดุด่าใส่เขา
เพราะทั้งเขาและเราต่างก็เป็นมนุษย์ร่วมโลก เผ่าพันธ์โฮโมเซเปียนส์ เซเปียนส์ เหมือนกัน...(อ่านเรื่องเที่ยวเมืองซาปาต่อตอนหน้า)
*****************************************
สำหรับทุ่งนาขั้นบันไดที่เมืองซาปาของปีนี้ได้ทยอยเก็บเกี่ยวไปเมื่อกว่า 1 สัปดาห์ที่แล้ว โดยได้เก็บเกี่ยวไปกว่า 90% แล้ว ขณะที่ทุ่งนาขั้นบันไดในระหว่างทางสู่ซาปาก็ได้ทยอยเก็บเกี่ยวไปส่วนหนึ่ง
นอกจากทุ่งนาขั้นบันไดแล้วในซาปายังมีแหล่งท่องเที่ยว น่าสนใจได้แก่ น้ำตกซิลเวอร์ ชมวิวยอดเขาฟานซีปัน การพิชิตยอดเขาฟานซีปัน การขึ้นเขาฮามรง(หามลง)ชมวิวเมืองซาปา ทะเลสาบซาปา จัตุรัสกลางเมืองและโบสถ์เก่า ตลาดชาวเขาบั๊กฮา ตลาดยามเช้า และตลาดแห่งความรักในวันเสาร์บริเวณจัตุรัส
ทั้งนี้ช่วงไฮซีซันในการเที่ยวชมทุ่งนาขั้นบันไดนั้นอยู่ในช่วงเดือน ก.ค. - ต้น ก.ย.ที่จะเริ่มเก็บเกี่ยวไปเรื่อยๆ(ซาปาปลูกข้าวปีละครั้ง โดยจะปลูกก่อนและเก็บเกี่ยวก่อนบ้านเรา) ใครที่จะไปเที่ยวชมทุ่งนาขั้นบันไดต้องวางแผนจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก หรือจองบริษัททัวร์กันให้ๆดี
ขณะที่ช่วงไฮซีซันของการไปสัมผัสกับบรรยากาศขุนเขา สายหมอก ความหนาวเหน็บ รวมถึงหิมะที่โปรยปรายลงมาย้อมเมืองจนขาวโพลนในปีที่หนาวเหน็บ ซึ่งที่ซาปามีหิมะตกอยู่บ่อยครั้งนั่นก็คือในช่วงเดือน ธ.ค.-ก.พ.
สำหรับการเดินทางสู่ซาปาในทริปนี้ จากกรุงเทพฯเดินทางสู่กรุงฮานอย เมืองหลวงเวียดนามด้วยสายการแอร์เอเชีย เที่ยวบิน“กรุงเทพฯ(ดอนเมือง)-ฮานอย” ที่มีบริการทุกวัน(ในช่วงเช้า) จากนั้นในช่วงค่ำนั่งรถไฟตู้นอนจากฮานอยสู่เมืองลาวไกใช้เวลาอย่างต่ำประมาณ 8 ชั่วโมง และจากลาวไกสู่ซาปาใช้เวลาประมาณเกือบๆชั่วโมง
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูตารางการบิน ตรวจสอบราคา โปรโมชั่น และสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com