xs
xsm
sm
md
lg

“ตาก” มีมากกว่าที่คิด ไปพิชิตความงามเหนือเมฆที่“แม่เมย”/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)
บริเวณที่ทำการอุทยานฯแม่เมยอันร่มรื่น
“ตาก มีมากกว่าที่คิด” เป็นสโลแกนท่องเที่ยวเก๋ๆของจังหวัดตากที่ฟังติดหูและเห็นภาพไม่น้อย

อย่างไรก็ดี หากใครได้มีโอกาสไปเที่ยวเองตากบ่อยครั้ง จะพบว่าจังหวัดนี้ไม่เพียงมีมากกว่าที่คิดเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่(คาด)คิดไม่ถึงให้สัมผัสกันอีกด้วย

นี่แหละเสน่ห์แห่งเมืองตาก จังหวัดชื่อสั้นๆพยางค์เดียว แต่เที่ยวได้ไม่เบื่อเพราะมากไปด้วยสิ่งน่าสนใจ โดยเฉพาะกับตากฝั่งตะวันตกนี่ถือเป็นเส้นทางท่องเที่ยวในดวงใจของผมเลยทีเดียว

ตากฝั่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากหลาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “อุทยานแห่งชาติแม่เมย” อุทยานแห่งชาติที่ไม่ธรรมดาเพราะที่นี่มีทั้งความงามบนดิน ความงามอันชวนฝันเหนือดิน และความงามอันน่ามหัศจรรย์ของธรรมชาติใต้ดินให้สัมผัสกัน
ลำธารน้ำไหลเย็นฉ่ำใกล้ๆกับจุดกางเต็นท์
แม่เมย งามน้ำตก

อุทยานแห่งชาติแม่เมย อ.ท่าสองยาง เป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติชายแดน ติดต่อกับประเทศเมียนมาร์(พม่า) มีแม่น้ำเมยเป็นเส้นแบ่งเขตแดน ในบริเวณที่ทำการอุทยานฯ มีการจัดแต่งภูมิทัศน์อย่างน่ายล ท่ามกลางสภาพธรรมชาติอันร่มรื่นที่แวดล้อม มีลำธารใสเย็นไหลผ่านดูชุ่มฉ่ำสบายตา
น้ำตกชาวดอย(ภาพ : อบจ.ตาก)
พูดถึงความชุ่มฉ่ำของสายน้ำแล้ว ที่อช.แม่เมย มีน้ำตกขนาดกลางและเล็กให้เที่ยวชมกันจำนวนหนึ่ง ได้แก่ “น้ำตกแม่สลิดน้อย” น้ำตกขนาดกลางที่ต้องเดินป่าจากที่ทำการเข้าไปประมาณ 3 กม. ซึ่งทางอุทยานได้จัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติไว้ให้เดินกัน

ส่วน“น้ำตกชาวดอย” ตั้งอยู่ห่างจากที่ทำการประมาณ 5 กิโลเมตร ไปตามถนนแม่สลิด-แม่ระเมิงระหว่างหลัก กม.ที่ 17-18 และต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร น้ำตกชาวดอยเป็นน้ำตกขนาดกลางชั้นเดียวสูงประมาณ 15-20 เมตร
น้ำตกแม่ระเมิงมีโขดหินให้นักท่องเที่ยวไปยืนแอ๊คท่าถ่ายรูปกันตามใจชอบ
อีกน้ำตกหนึ่งที่ชมได้ง่ายมาก เพราะอยู่ริมถนนนั่นก็คือ “น้ำตกแม่ระเมิง” บนถนนสายแม่สลิด-แม่ระเมิง กม.ที่ 20 ห่างจากที่ทำการฯประมาณ 9 กม.

น้ำตกแม่ระเมิงแม้เป็นน้ำตกขนาดเล็กสูงประมาณ 15 เมตร แต่ก็มีความชุ่มฉ่ำสวยงามน่ายล แถมยังมีโขดหินในขนาดเหมาะเหม็งให้นั่งโพสต์ท่าถ่ายรูป นับเป็นองค์ประกอบของธรรมชาติบนพื้นดินที่ลงตัวไม่น้อย
ก่อนสิ้นแสงสุดท้ายที่ม่อนพูนสุดา
ม่อนพูนสุดา สั่งลาตะวัน

ใครที่มาเที่ยวอุทยานฯแม่เมย ผมขอแนะนำให้พักค้างในอุทยานฯสักหนึ่งคืน(ขึ้นไป) โดยจะพักที่บ้านพัก(หากจองได้) หรือกางเต็นท์นอนใกล้กับศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแอบอิงธรรมชาติใกล้ธารน้ำก็สุดแท้แต่ แต่เหตุที่ชวนให้นอนค้าง เพราะที่นี่มีไฮไลท์คือพระอาทิตย์ตก พระอาทิตย์ขึ้น รวมถึงการชมทะเลหมอกยามเช้าในช่วงหน้าหนาว

สำหรับจุดชมทะเลหมอกหลักๆของแม่เมยนั้นมี 3 จุดด้วยกัน คือ ม่อนพูนสุดา ม่อนครูบาใส และม่อนกิ่วลม โดยม่อนพูนสุดากับม่อนครูบาใสเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกด้วย ขณะที่ม่อนกิ่วลมนั้นเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นชื่อดังของเมืองตาก ซึ่งในเย็นวันแรกที่มาถึงอช.แม่เมย ผมไปปักหลักที่ม่อนพูนสุดาเพื่อเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ตกลาลับขอบฟ้า

ม่อนพูนสุดา” ชื่อนี้ได้แต่ใดมา จากการอ่านในเอกสารนำเที่ยวของจังหวัดตาก บอกไว้ว่าชื่อม่อนพูนสุดานั้น มาจากชื่อของช่างภาพระดับปรมาจารย์ของเมืองไทยนั่นก็คือ อาจารย์ “พูน เกษจำรัส” และชื่อภรรยาของท่านคือ “สุดา” โดยนี่เป็นชื่อที่ตั้งให้เป็นเกียรติแก่ อ.พูน ที่บุกเบิกมาถ่ายภาพที่ม่อนแห่งนี้เป็นคนแรกๆ
เดียวดายในยามเย็นที่ม่อนพูนสุดา
ม่อนพูนสุดา ไม่เพียงมีมุมเปิดโล่งให้มองเห็นดวงตะวันลาลับเหนือเส้นขอบแนวหมู่เทือกเขาน้อยใหญ่อันสวยงามเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีมุมโรแมนติกของที่แผ่สยายกิ่งใบเป็นโค้งพุ่มสวยงาม กับเก้าอี้ที่วางประดับเป็นพร็อพใต้ต้นไม้อย่างกิ๊บเก๋

เก้าอี้ตัวนี้ถือเป็นจุดแอ๊คท่านั่งถ่ายรูปชั้นดี ซึ่งหากหญิงหรือชายไปนั่งที่เก้าอี้นี้คนเดียว มันจะให้ความรู้สึกเหงาเดียวดายอย่างบอกไม่ถูก แต่ถ้าชายหญิงกับชายไปนั่งจู๋จี๋หนุงหนิงคู่กัน บรรยากาศมันจะเปลี่ยนกลายเป็นดูอบอุ่นขึ้นมาชนิดผมตาร้อนผ่าว แต่ถ้าเป็นชายหนุ่มมาดแมน 2 คนไปนั่งแอบอิงกัน งานนี้ตีความออกได้หลายประตู
ตะวันลาลับเหลี่ยมเขาที่ม่อนพูนสุดา
อย่างไรก็ดีกับการรอคอยถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกที่นี่ แม้จะมีคนหรือไม่มีคน มันไม่สำคัญเท่ากับการที่ฟ้าเป็นใจ ซึ่งเย็นวันนั้นแม้ไม่ได้เห็นดวงตะวันลูกแดงกลมโตลาลับขอบฟ้า แต่แสงสีทองอร่ามที่สาดส่องกับก้อนเมฆที่ลอยละลิ่วเป็นริ้วๆ ก็ถือเป็นองค์ประกอบที่ช่วยขับเน้นให้บรรยากาศยามตะวันลาลับที่ม่อนพูนสุดา ควรค่าแก่การหยิบกล้องขึ้นมาบันทึกภาพเกินกว่า 20 ช็อตขึ้นไป

หลังตะวันลับฟ้า ณ ลานโล่งบริเวณที่ทำการอุทยานฯ ในยามราตรีที่ความมืดได้แผ่สยายเข้าปกคลุม(โดยเฉพาะในคืนเดือนมืด) บนม่านฟ้าที่นี่ เมื่อเงยหน้าขึ้นไป ผมได้พบกับความระยิบระยับคลาคล่ำพร่างพราวของทะเลดาวที่ดารดาษเต็มฟากฟ้า

นับเป็นอีกหนึ่งภาพความงามที่หากไม่หนีแสงสีจากเมืองกรุงออกมา ชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีวันพบเจอ
นักท่องเที่ยวตื่นแต่มืดเพื่อมารอบันทึกภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่ม่อนกิ่วลม
รับตะวัน ชวนฝันไปกับทะเลหมอก ที่ม่อนกิ่วลม-ครูบาใส

เดิมอุทยานฯแม่เมย เป็นจุดชมทะเลหมอกที่รู้จักกันในนาม “ดอยแม่ระเมิง” หรือ “ม่อนกระทิง” เพราะในอดีตที่มีเคยมีกระทิงชุกชุม แต่วันที่ผมไปไม่เห็นกระทิง เห็นแต่กระเทยกลุ่มใหญ่ มาเที่ยววี๊ดว้าย กางเต็นท์นอนกันเป็นกลุ่มใหญ่บริเวณม่อนกิ่วลม จุดชมวิวสูงสุดของอุทยานฯแม่เมย
นายแบบในเงามืดที่ม่อนกิ่วลม
ม่อนกิ่วลม ตั้งอยู่บนระดับความสูง 940 เมตรจากระดับน้ำทะเล อยู่ห่างจากที่ทำการประมาณ 14 กม. ซึ่งผมกับคณะเดินทางออกจากที่พักบริเวณที่ทำการประมาณ ตีห้าครึ่งเพื่อไปเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ม่อนแห่งนี้ท่ามกลางอากาศยามเช้ามืดที่หนาวเหน็บ แต่ก็เป็นการเฝ้ารอที่คุ้ม เพราะก่อนหน้าที่พระอาทิตย์จะขึ้น เสน่ห์ความงามของม่อนกิ่วลมก็ได้ปรากฏให้เห็นเป็นภาพเงามืดของทิวเขากับท้องฟ้าที่ค่อยๆเปลี่ยนสี จากมืดม่วงอมน้ำเงินเข้มที่เบื้องบนไล่โทนเปลี่ยนมาสู่แสงแห่งความสว่างเรื่อเรือง
ทิวทัศน์ยามเช้าในมุมมองที่ม่อนกิ่วลม
จากนั้นไม่นานดวงตะวันกลมแดงก็ค่อยๆโผล่พ้นแนวทิวเขาน้อยใหญ่ที่ทอดตัวยาวซ้อนเป็นเชิงชั้นอยู่เบื้องหน้า ในร่องหลืบรอยต่อของแนวเขาแต่ละลูกปรากฏสายหมอกสีขาวนวลๆค่อยลอยอ้อยอิ่งเข้ามาปกคลุม ขณะที่แสงแดดก็เริ่มทวีดีกรีความเข้มสาดส่องลงกระทบย้อมมวลหมอกสีขาวที่ลอยแน่นทึบให้ออกสีเหลืองทองดูอบอุ่นสบายตา
เสมือนนั่งอยู่เหนือเมฆที่ม่อนครูบาใส
แต่ภาพทะเลหมอกที่เห็นยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะบนเขาลูกนี้ยังมีจุดชมทะเลหมอกอันสวยงามให้ชมกันอีก 2 จุด จุดแรกคือที่ม่อนพูนสุดาที่ผมไปชมพระอาทิตย์ตกมาแล้วเมื่อวาน งานนี้จึงเลือกไปยังจุด 2 ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันแทนนั่นก็คือที่ “ม่อนครูบาใส
ทิวไม้ในม่านหมอก
ที่ม่อนครูบาใสมีการปรับทำลานโล่งไว้สำหรับชมวิว ชมพระอาทิตย์ตก และชมทะเลหมอก ซึ่งช่วงที่ไปจอดแวะชมทะเลหมอกที่นี่ ดูเหมือนว่าสายหมอกจะพร้อมลอยไหลมารวมตัวกันเกิดเป็นทะเลหมอกสีขาวโพลนอันสวยงาม ลอยแน่นหนาอยู่ทามกลางร่องหลืบของหุบเขา โดยมียอดสูงโผล่แพลมขึ้นมาขับเน้นให้ทะเลหมอกแห่งนี้ดูมีมิติมากขึ้น เช่นเดียวกับที่เบื้องหน้าก็แนวทิวไม้ทอดตัวเป็นสีเขียวขจีขึ้นตัดกับสีขาวนวลของทะเลหมอกที่ลอยอ้อยอิ่ง
ทะเลหมอกที่ม่อนครูบาใส
เมื่อมองจากบริเวณนี้ลงไปเบื้องล่าง มันให้ความรู้สึกปานประหนึ่งว่าเรากำลังยืนอยู่เหนือเมฆ ณ รอยต่อแห่งประตูสวรรค์ ซึ่งนี่ถือเป็นความงามเหนือเมฆที่ผู้สนใจสามารถไปเฝ้ารอชมกันได้ทั่วไป

ไม่มีการแบน!!!

ซึ่งนี่นับเป็นองค์ประกอบอันลงตัวของธรรมชาติที่สร้างความประทับใจรับเช้าวันใหม่ได้เป็นอย่างดี และนี่ก็คือเสน่ห์ของอุทยานแห่งชาติแม่เมยมีให้สัมผัสทั้ง รุ่งสาง เช้า เย็น ค่ำ และยามรัตติกาล
ม่อนครูบาใส นับเป็นอีกหนึ่งจุดชมทะเลหมอกอันโดดเด่นของแม่เมย
*****************************************

อุทยานแห่งชาติแม่เมย ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.แม่อุสุ และ ต. แม่สอง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก การเดินทางสู่อุทยานฯ จากตัวเมืองตากไปตามเส้นทางสายแม่สอด-แม่ระมาด-ท่าสองยาง บนทางหลวงหมายเลข 105 ระยะทางประมาณ 114 กิโลเมตร มีทางแยกขวามือที่จุดตรวจแม่สลิดเป็นเส้นทางที่ตัดไปสู่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เป็นทางขึ้นเขาอีกประมาณ 11 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานฯ โดยเส้นทางขึ้นอุทยานฯเป็นทางขึ้นเขาสูงชันรถบัสใหญ่ไม่สามารถขึ้นไปได้ (หมายเหตุ เส้นทางหลวงหมายเลข 105 ช่วงแม่สอด-แม่ระมาด-ท่าสองยาง เป็นเส้นทางเลียบชายแดนจึงไม่แนะนำให้เดินทางผ่านหลังเวลา 18.00 น.)

สำหรับผู้ที่ไปด้วยรถประจำทาง มีรถสองแถวจากแม่สอดไปบ้านแม่สลิดหลวง หลังจากนั้นต้องเหมารถต่อไปยังที่ทำการอุทยานฯ

อุทยานฯแม่เมย สามารถเที่ยวได้ทั้งปี แต่การเที่ยวชมทะเลหมอกจะมีช่วงที่เหมาะสมคือ เดือน ธ.ค.-ก.พ. นอกจากนี้ที่นี่ยังมี “ถ้ำแม่อุสุ” เป็นอีกหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ สามารถติดตามอ่านเรื่องความมหัศจรรย์ใต้พื้นพิภพของถ้ำแม่อุสุได้ในตอนหน้า

ที่อุทยานฯแม่เมย มีบ้านพัก และพื้นที่กางเต็นท์ ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-5557-7409 และสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทาง ที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับ อช.แม่เมย รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมืองตากได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานตาก โทร. 0-5551-4341 -3
 

กำลังโหลดความคิดเห็น