ก่อนที่ “ตะลอนเที่ยว” จะมาเมืองมะละกา มีคนฝากซื้อมะละกอ เมื่อไปถึงแล้วไม่เจอแม้แต่ต้นมะละกอ แต่กลับเจอแต่ต้นมะขามป้อม หรือที่คนมะละกาเรียกว่า “Malacca Tree” ซึ่งถือเป็นต้นไม้ประจำเมืองมะละกา
แต่ไม่ว่าจะมีมะละกอหรือไม่ “มะละกา” เป็นอีกหนึ่งเมืองน่าเที่ยวของมาเลเซีย ที่นอกจากจะเป็นเมืองท่าเก่าแก่มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจแล้ว ก็ยังถือเป็น “เมืองมรดกโลก” โดยยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนในปี 2551 จึงเป็นโอกาสดีที่ “ตะลอนเที่ยว” มีโอกาสได้มาเยือนเมืองมะละกากับการท่องเที่ยวมาเลเซียในวันนี้
ก่อนจะท่องเที่ยวในเมืองมะละกา เรามารู้จักประวัติศาสตร์ของเมืองนี้กันสักหน่อย มะละกาเป็นเมืองหลวงของรัฐมะละกา 1 ใน 13 รัฐ ของประเทศมาเลเซีย เราคงเคยได้ยินชื่อช่องแคบมะละกาผ่านหูบ่อยๆ โดยเฉพาะในชั่วโมงเรียนวิชาภูมิศาสตร์ โดยช่องแคบมะละกาเป็นช่องแคบที่อยู่ระหว่างแหลมมลายูกับเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย ส่วนที่แคบที่สุดมีความกว้าง 1.5 ไมล์ เป็นยุทธศาสตร์ทางการเดินเรือที่สำคัญของดินแดนสุวรรณภูมิ
ตำนานการก่อสร้างเมืองมะละกามีอยู่ว่า เจ้าชายปรเมศวร (Parameswara) ทรงลี้ภัยมาจากเกาะสุมาตราได้มาค้นพบที่ตั้งเมืองแห่งนี้ โดยขณะที่เจ้าชายกำลังขึ้นฝั่งพักผ่อน ได้เห็นกระจงถูกฝูงหมาป่ารุมไล่ทำร้าย กระจงเมื่อจวนตัวจึงหันมาสู้กับหมาป่าจนตัวตาย เมื่อเจ้าชายเห็นดังนั้นก็เกิดความประทับใจในความกล้าหาญของกระจง และเกิดความคิดว่าควรสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่นี่ ในบริเวณที่กระจงตายอยู่ใกล้ต้นมะละกานั่นเอง
ด้วยภูมิศาสตร์ที่ตั้ง ทำให้เมืองมะละกากลายเป็นเมืองท่าริมทะเลที่เติบโตจนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เป็นเส้นทางเดินเรือค้าขายระหว่างชาติตะวันตกและตะวันออก สินค้าสำคัญก็มีทั้ง เครื่องเทศ ผ้าไหม ชา ฝิ่น ยาสูบ ทองคำ ฯลฯ มะละกาจึงเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจจากบรรดานักล่าอาณานิคมชาวตะวันตก โดยโปรตุเกสเป็นชาติแรกที่เข้ามายึดครองมะละกาใน ค.ศ.1511-1641 ก่อนที่จะถูกดัตช์ (ฮอลแลนด์) เข้ามาครอบครองต่อใน ค.ศ.1641-1795 จากนั้นเปลี่ยนมือผู้ปกครองมาเป็นอังกฤษใน ค.ศ.1795-1941 และญี่ปุ่นเข้ามายึดครองในช่วงสั้นๆ ระหว่าง ค.ศ.1941-1945 ก่อนจะกลับไปอยู่ใต้อาณานิคมของอังกฤษอีกครั้ง ใน ค.ศ.1945-1957 และท้ายที่สุด มาเลเซียได้ประกาศอิสรภาพใน ค.ศ. 1957 ซึ่งมะละกาคือสถานที่ประกาศเอกราช โดยปัจจุบันตึกอนุสรณ์ประกาศอิสรภาพยังคงตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ในย่านท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนี้
การตกอยู่ใต้อาณัติของชาติตะวันตกเป็นเวลานานทำให้มะละกามีลักษณะของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างศิลปกรรมโปรตุเกส ดัชต์และมาเลย์ ซึ่งในปัจจุบันได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้ “ตะลอนเที่ยว” มาเยือนในวันนี้
สำหรับการท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่ามะละกา จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดคงเป็นที่ “เรด สแควร์” (Red Square) หรือจัตุรัสแดง หรือที่หลายๆ คนเรียกว่า จัตุรัสดัตช์ เนื่องจากที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางชุมชนดัตช์ในสมัยที่เข้ามาปกครองมลายู อาคารต่างๆ ที่ล้อมรอบจัตุรัสเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ใจกลางจตุรัสเป็นลานน้ำพุแบบอังกฤษที่สร้างถวายแด่พระราชินีวิคตอเรียใน ค.ศ.1904 ส่วนรอบๆ ลานน้ำพุคือหอนาฬิกา โบสถ์คริสต์ (Christ Church) ศิลปกรรมดัตช์ประยุกต์ ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ.1753 และอาคารสตัดธิวท์ (Stadhuys) ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ.1650 เป็นอาคารดัตช์เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย ปัจจุบันอาคารสตัดธิวท์กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และวรรณคดีของมะละกา อาคารทั้งสามต่างทาด้วยสีแดงเข้ม จนกลายเป็นชื่อเรียกจัตุรัสแดงนั่นเอง
นอกจากจะมีสีแดงจากตัวอาคารแล้ว บริเวณนี้ยังเต็มไปสีสันจากรถสามล้อถีบนำเที่ยวที่วิ่งกันขวักไขว่ คนท้องถิ่นเรียกว่า Trishaw สามล้อที่นี่หน้าตาก็คล้ายๆ สามล้อถีบเมืองไทย แต่จะโดดเด่นกว่าก็ตรงที่แต่ละคันจะประดับประดาด้วยดอกไม้พลาสติกสีสดใส ตกแต่งตามสไตล์คนถีบ บางคนหวานหน่อยก็จัดดอกไม้เป็นรูปหัวใจ บ้างก็เป็นรูปดาวห้าแฉกหกแฉก บางคันราวกับที่บัลลังก์ดอกไม้ก็มิปาน บางคันขโมยตุ๊กตาบาร์บี้ของลูกมาตกแต่ง มีหลายคันที่มีเครื่องเสียงแต่งมาพร้อม เปิดเพลงดังมาแต่ไกล ถ้าถามว่าเพลงไหนฮิตสุด ตอบได้เลยว่า “กังนัมสไตล์” เพราะได้ยินหลายรอบ
รถสามล้อถีบเหล่านี้จะขี่พาผู้โดยสารเที่ยวในจุดสำคัญๆ ของเมืองเก่ามะละกา โดยแวะแต่ละจุดให้ได้ถ่ายรูปกัน “ตะลอนเที่ยว” เองก็ได้ลองนั่งสามล้อและถูกใจไม่น้อย โดยระหว่างทางรถสามล้อพาแวะที่ ป้อม A’Famosa ป้อมปืนที่โปรตุเกสสร้างขึ้นใน ค.ศ.1511 ปัจจุบันคงเหลืออยู่เพียงป้อมเดียว ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของมะละกาที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนกัน ป้อมแห่งนี้ตั้งที่อยู่เชิงเขาเล็กๆ ซึ่งบนยอดเขาเป็นที่ตั้งของโบสถ์เซนต์ปอล (St.Paul) ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ.1753 ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นของนักบุญ Francis Xavier ตั้งอยู่ สำหรับการเดินขึ้นไปยังโบสถ์เซนต์ปอลนั้นมีสองเส้นทาง คือขึ้นจากทางป้อม A’Famosa หรือจะเลือกขึ้นทางอาคารสตัดธิวท์ก็ได้ และหากขึ้นทางนี้ก็จะได้ชมต้นมะละกาหรือต้นมะขามป้อม และยังสามารถชมทิวทัศน์ของช่องแคบมะละกาไกลๆ ได้ด้วย
นอกจากป้อมเก่าแก่แล้ว ในละแวกนี้ยังมีสิ่งน่าชมอีกหลายอย่าง อาทิ ตึกอนุสรณ์ประกาศอิสรภาพ ที่ภายในจัดเก็บข้อมูลเหตุการณ์การประกาศอิสรภาพของชาวมาเลเซีย พระราชวังวังสุลต่านแห่งมะละกา(จำลอง) ที่ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรม เป็นต้น จะเห็นได้ว่าในย่านเมืองเก่ามะละกานี้มีพิพิธภัณฑ์อยู่เยอะมาก นั่นเพราะมะละกาถือเป็นต้นทางประวัติศาสตร์ของมาเลเซียที่เต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์ระหว่างชาติตะวันตกยุคล่าอาณานิคม และชาติตะวันออกยุคแสวงหาดินแดนใหม่ โดยเฉพาะชาวจีนโพ้นทะเล
หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับชาวจีนที่เดินทางมาตั้งรกรากที่นี่ก็คือ “พิพิธภัณฑ์บาบ๋า-ญวนย่า” (Baba-Nyonya) ในย่านไชน่าทาวน์ บนถนน Jalan Tun Tan Cheng Lock ไม่ไกลจากจัตุรัสแดง ตัวพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในอาคารแบบชิโน-โปรตุกีสที่สวยงาม สำหรับบาบ๋า-ญวนย่านั้นเป็นชื่อเรียกคนที่เป็นลูกผสมระหว่างชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพเข้ามาและแต่งงานอยู่กินกับหญิงพื้นเมืองมลายู ซึ่งส่วนใหญ่จะก่อร่างสร้างตัวอย่างขยันขันแข็งจนมีฐานะ
บาบ๋า-ญวนย่า มีวิถีชีวิตที่ความเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย อาหารการกิน และบ้านเรือนความเป็นอยู่ต่างๆ โดยในพิพิธภัณฑ์ที่ “ตะลอนเที่ยว” ได้มาชมนี้ยังคงรักษาสภาพดั้งเดิมได้อย่างดีเยี่ยม ภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องรับรองแขก ห้องนอนเจ้าของบ้าน ห้องทำงาน เป็นต้น มีแท่นบูชาบรรพบุรุษ และเฟอร์นิเจอร์แบบจีนเก่าแก่ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่น่าสนใจ
และหากใครยังอยากชื่นชมกับความสวยงามของตึกแถวสไตล์ชิโน-โปรตุกีสต่อ ก็ให้เดินมาที่ถนน Jalan Hang Jebat หรือ Jonker Street ที่อยู่ใกล้ๆ กัน โดยถนนเส้นนี้จะมีตึกแถวสวยๆ หลายหลังให้ถ่ายรูปกันสนุกสนาน นอกจากนั้นบนถนนเส้นนี้ยังมีร้านขายของเก่า และร้านขายของที่ระลึก ส่วนในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็จะมีถนนคนเดินในช่วงกลางคืนให้เดินเล่นชิมของอร่อยกันได้อีกด้วย
“ตะลอนเที่ยว” มาปิดท้ายการท่องเที่ยวมะละกาบริเวณริมแม่น้ำมะละกา แม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลผ่านกลางเมือง ลักษณะแม่น้ำไหลผ่านชุมชนเหมือนคลองแสนแสบบ้านเรา แต่สภาพน้ำและสองฝั่งคลองดูดีกว่ามาก โดยริมแม่น้ำสองฝั่งได้ทำเป็นทางเดินริมน้ำเล็กๆ แต่สะอาดสะอ้าน บ้านเรือนริมน้ำก็เป็นตึกแถวที่ได้รับการดูแลอย่างดี บ้างเปิดเป็นร้านอาหารและคาเฟ่ บ้างเปิดเป็นเกสต์เฮาส์น่ารักน่าพักเป็นอย่างยิ่ง ในคลองมีเรือท่องเที่ยวพาชมบรรยากาศสบายๆ เลือกได้ว่าจะนั่งเรือช่วงกลางวันหรือกลางคืน แต่แค่มาเดินเล่นถ่ายรูปชิลๆ ริมแม่น้ำ ก็ถือเป็นการปิดท้ายการท่องเที่ยวมะละกาที่น่าประทับใจของ “ตะลอนเที่ยว” แล้วล่ะ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
การเดินทางไปประเทศมาเลเซีย มีสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์บินตรงจากกรุงเทพฯ ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค. 2555 เป็นต้นไป จะเพิ่มเที่ยวบินจาก 4 เที่ยวบินต่อวัน เป็น 5 เที่ยวบินต่อวัน และจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ สามารถเดินทางทางรถยนต์มายังมะละกา ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเที่ยวบินได้ที่ สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ โทร. 0 2250 6560 - 7
และสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวประเทศมาเลเซียได้ที่ การท่องเที่ยวมาเลเซีย สำนักงานกรุงเทพฯ โทร. 0 2636 3380