สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
การปล้นชาติปล้นประชาชนครั้งใหญ่ๆของมหาโจรการเมือง มิเคยทำได้ด้วยมหาโจรเพียงคนเดียว!
ต้องให้ความยุติธรรมกับปตท. ตรงที่จู่ๆผู้บริหารปตท.จะค้ากำไรเกินควรถึงปีละกว่าแสนล้านบาท โดยไม่สนใจผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจชาติ และความทุกข์ยากของคนไทยเลยนั้น..ปตท.ทำ“คนเดียว”ไม่ได้แน่นอน..
หากแต่ต้องมีรัฐบาลไทยที่จงใจ ปล่อยให้ปตท.ค้าขายน้ำมันอย่างไม่เป็นธรรม หรือถึงรัฐบาลไทยจะรู้เห็นถึงความไม่ชอบธรรมนี้ แต่รัฐบาลไทยก็จงใจไม่เอาผิด ปตท. ด้วยการ“เอาหูไปนาเอาตาไปไร่”ครับ
เฮียเหลี่ยม-ผู้มีผลประโยชน์ได้เสียมหาศาลในปตท. จึงให้ปูแดงเป็น“นางเอกตาบอดสนิท” ที่สวมบทเป็นผู้นำรัฐบาลในหนังเรื่อง“รีดเลือดจากปู” โดยปูแดงต้องแสร้งไม่รู้เท่าทันเล่ห์ การค้าขายน้ำมันอันไม่ชอบธรรมหลากรูปแบบ เพื่อปล่อยให้ ปตท.ทำกำไรเกินควรได้อย่างสบายใจเฉิบ
งานนี้..เฮียเหลี่ยมและรัฐบาลปูแดงกับ ปตท. จับมือกันต้มตุ๋นคนไทยทั้งชาติแบบซึ่งๆ หน้าเลยล่ะ!
ทั้งๆ ที่ปูแดงเคยหาเสียงไว้ว่า ถ้าเป็นรัฐบาล..เดี้ยนจะยุบกองทุนน้ำมัน-ลดราคาน้ำมัน เพื่อ..เดี้ยนจะกระชากราคาสินค้าแพงลงทันที!
แต่แล้วปูแดงกลับไม่ทำตามที่พูด เพราะหากปูแดงทำตามวาจาที่ลั่นไว้ กำไรกว่าแสนล้านบาทต่อปีของ ปตท.จะหดหายไปด้วย ซึ่งจะทำให้เฮียเหลี่ยมไม่แฮปปี้ปูแดง เพราะเงินกำไรในหุ้น ปตท.จะหายวับไปกับตาอย่างมากมายน่ะสิ..จริงใหม?
ผลประโยชน์เฮียเหลี่ยมต้องสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้น ปูแดงจึงต้องทำตามใจเฮียเหลี่ยม โดยยอมผิดคำพูดตนเองที่หาเสียงไว้กับประชาชน เพราะเธอรู้ดีว่า..ชาตินี้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ หญิงสมองกลวงอย่างเธอไม่มีวันจะได้เป็นายกฯประเทศไทยเด็ดขาด การได้เป็นนายกฯของประเทศไทยครั้งนี้ ก็เพราะเฮียเหลี่ยมผู้พี่ชายอุปถัมภ์-อุปโลกภ์ ยกตำแหน่งนายกฯหุ่นเชิดให้เธอต่างหาก
ชีวิตนายกฯหุ่นที่ไร้อำนาจอย่างปูแดง จึงห่วงแต่เสื้อผ้า-หน้า-ผมที่จะสวมใส่ ไปเดินโชว์ในประเทศต่างๆเท่านั้น จะได้ลบปมด้อยนายกฯสมองกลวงดุจตุ๊กตาบาร์บี้ แต่มีดีตรงเธอสวมใส่เสื้อผ้าสวยไม่ซ้ำกันทั้งปีเลยนะจ๊ะ..ฮ่าฮ่าฮ่า..
เมื่อรัฐบาลเฮียเหลี่ยม-ปูแดงแอบค้ำชู ปตท.ก็กลายเป็นองค์กรเส้น“ก๊วยจั๋บ” จะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจเพราะรัฐเป็นใจให้ ยิ่งได้ นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ คนสนิทเฮียเหลี่ยมมาเป็นรมว.พลังงานด้วยแล้ว ใครก็ขวางการทำกำไรสูงสุดให้ผู้ถือหุ้นไม่ได้อีกต่อไป
เมื่อ ปตท.ขูดรีดคนไทยจนร่ำรวย ย่อมมิใช่แค่เฮียเหลี่ยมจะรวยตามเท่านั้น แต่ผู้บริหาร ปตท.ก็รวยอู้ฟู่ด้วยเช่นกัน!
รายงานประจำปี ปตท.ระบุชัดเจน เฉพาะบอร์ด ปตท.15 คนนั้น ได้เบี้ยประชุม-โบนัส ในปี 2549 เป็นเงิน 40,330,089.04 บาท ปี 2550 เป็นเงิน 42,059,439,.91 บาท
“ผี-โม่แป้ง”ของตระกูลชินอย่าง ทั้งนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาฯ รฐบาลปูแดง และนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกฯ สมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และที่ปรึกษารัฐบาลปูแดง ก็เคยเป็นบอร์ด ปตท. โดยเฉพาะนายโอฬารนั้น เป็นตัวจักรสำคัญที่แปรรูป ปตท.ไปเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้เฮียเหลี่ยม!
ส่วนผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. ตั้งแต่กรรมการผู้จัดการใหญ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้ทั้งเงินเดือน-โบนัส รวมแล้วประมาณ 74 ล้านบาท ผู้บริหารที่มีหุ้นมากที่สุดในตอนนั้น คือ
นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจสำรวจ ผลิต และก๊าซธรรมชาติ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 มีหุ้นเหลืออยู่ 175,830 หุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 65,408,760 บาท
ส่วนนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. ที่วันนี้เจ้าตัวยืนยันว่าไม่มีหุ้นแล้ว แต่หากย้อนหลังไปเมื่อปี 2548 เขาได้หุ้น ESOP เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2548 จำนวน 243,000 หุ้น ( บันทึกราคาที่ 0.00 บาท) และ1 ปีให้หลังได้โอนออก 60,700 หุ้น และ 29 กันยายน 2549 ได้อีก 119,000 หุ้น จากนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 ได้ขายออกครั้งละ 5,000 หุ้นบ้าง 60,000 หุ้นบ้าง ในราคาเฉลี่ย 330-370 บาท จนล่าสุดเมื่อ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ได้ ESOP อีก 87,000 หุ้น
ความร่ำรวยของ ปตท.บนความลำบาก เลือดตาแทบกระเด็นของคนไทย ทั้งจากการคิดราคาน้ำมันอย่างไม่เป็นธรรม โดยใช้ข้อกฎหมายแบบเอาแต่ได้เห็นแก่ตัวว่า ปตท.เป็นบริษัทเอกชนทั่วไป ต้องทำกำไรสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น ส่วนการผูกขาดธุรกิจน้ำมันนั้น ปตท.อ้างตนเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีคลังถือหุ้น 51% กฎหมายผูกขาดฯ จึงเอาผิดกับ ปตท.ไม่ได้!
ปตท.ผูกขาดธุรกิจโรงกลั่นทั้งหมด 5 โรง จากโรงกลั่นทั้งหมด 7 โรง คิดเป็นกำลังการผลิตกว่า 70 % ของทั้งประเทศ ปั๊มน้ำมันทั่วประเทศต้องซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นในเครือ ปตท.แทบทั้งสิ้น
เมื่อโรงกลั่นต้องทำกำไร ปตท.ก็อ้างอิงราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์ ทั้งๆที่โรงกลั่นซื้อน้ำมันดิบส่วนใหญ่ จากประเทศตะวันออกกลาง และบางส่วนก็ซื้อน้ำมันดิบในประเทศไทยนี่เอง
เพราะประเทศไทยมีก๊าสและน้ำมันมากมาย ทั้งยังเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปขายให้ต่างชาติ มากกว่าบางประเทศที่เป็นสมาชิกโอเปกด้วยซ้ำไป แต่ที่คนไทยต้องซื้อน้ำมันราคาแพงเท่าตลาดโลก ก็เพราะปตท.เล่นกินกำไรสองต่อ นั่นคือ เอาน้ำมันคุณภาพดีของไทยไปขายให้ต่างชาติ ทำกำไรต่อแรกเข้ากระเป๋าก่อน จากนั้นก็สั่งซื้อน้ำมันคุณภาพต่ำมากลั่นในประเทศไทย แล้วขายน้ำมันให้คนไทยในราคาตลาดโลก เอาเงินเข้ากระเป๋าอีกครั้งไงครับ!
สูตรการปั่นราคาน้ำมันให้สูงขึ้น คือ ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น=ราคานำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ (Import parity Price) ที่มาจากราคาน้ำมันจรในตลาดจรที่สิงคโปร์ (FOB) + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย + ค่าจัดเก็บน้ำมัน + ภาษีศุลกากรนำเข้า
ค่าการตลาด = ค่าสารปรับปรุงคุณภาพ + ค่าขนส่ง + ค่าส่งเสริมการตลาด + ค่าผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจ
ราคาน้ำมันแพงนั้น จึงไม่ใช่เพราะตลาดโลกหรือเพราะตลาดสิงคโปร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นายประเสริฐเคยเฉลยออกมาแล้วว่า ปตท.ต้องทำกำไรเพราะปตท.อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ(โว้ย)?
อย่างไรก็ตาม..นายประเสริฐอดีตผู้บริหาร ปตท. ก็เคยหลุดความในใจออกมาว่า ปตท.พร้อมทำทุกอย่างตามนโยบายรัฐบาล นั่นคือ
“อยู่ที่ว่าสังคมไทยอยากให้ปตท.เป็นอย่างไร..ผมเป็นผู้บริหาร-เป็นพนักงาน ปตท. ผมก็อยากทำอะไรให้ดีที่สุดแก่ทุกฝ่าย..ถ้าเอา ปตท.เป็น Non Profit Organization ก็อย่าให้ ปตท.เป็นบริษัทอยู่ในมหาชน ก็เอา ปตท.ออกจากตลาดฯ ปตท.ก็จะเป็นเหมือนรัฐวิสาหกิจ..”
แปรรูป ปตท.มาขูดรีดคนไทย-มันดีตรงใหน? หาก ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ-ก็ต้องมีพันธกิจ-มีวัตถุประสงค์-มีเป้าหมาย จะต้องทำความมั่นคงทางพลังงานให้กับชาติจริงๆ มิใช่ทำแต่กำไรให้นายทุนผู้ถือหุ้นเท่านั้น ปตท.จะตั้งหน้าตั้งตาเอาเปรียบประชาชนไม่ได้..จริงใหม? คนไทยก็คงไม่ยอมเสียเงินภาษี สร้าง ปตท.ให้เป็นองค์กร“หน้าเลือด”หรือ “หน้าเนื้อใจเสือ”อย่างนี้แน่นอน..จริงไหมล่ะ?
ฉบับหน้า..จะมารู้จักบริษัทค้าขายพลังงานของเฮียเหลี่ยมกับพวกต่อนะครับ!
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
การปล้นชาติปล้นประชาชนครั้งใหญ่ๆของมหาโจรการเมือง มิเคยทำได้ด้วยมหาโจรเพียงคนเดียว!
ต้องให้ความยุติธรรมกับปตท. ตรงที่จู่ๆผู้บริหารปตท.จะค้ากำไรเกินควรถึงปีละกว่าแสนล้านบาท โดยไม่สนใจผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจชาติ และความทุกข์ยากของคนไทยเลยนั้น..ปตท.ทำ“คนเดียว”ไม่ได้แน่นอน..
หากแต่ต้องมีรัฐบาลไทยที่จงใจ ปล่อยให้ปตท.ค้าขายน้ำมันอย่างไม่เป็นธรรม หรือถึงรัฐบาลไทยจะรู้เห็นถึงความไม่ชอบธรรมนี้ แต่รัฐบาลไทยก็จงใจไม่เอาผิด ปตท. ด้วยการ“เอาหูไปนาเอาตาไปไร่”ครับ
เฮียเหลี่ยม-ผู้มีผลประโยชน์ได้เสียมหาศาลในปตท. จึงให้ปูแดงเป็น“นางเอกตาบอดสนิท” ที่สวมบทเป็นผู้นำรัฐบาลในหนังเรื่อง“รีดเลือดจากปู” โดยปูแดงต้องแสร้งไม่รู้เท่าทันเล่ห์ การค้าขายน้ำมันอันไม่ชอบธรรมหลากรูปแบบ เพื่อปล่อยให้ ปตท.ทำกำไรเกินควรได้อย่างสบายใจเฉิบ
งานนี้..เฮียเหลี่ยมและรัฐบาลปูแดงกับ ปตท. จับมือกันต้มตุ๋นคนไทยทั้งชาติแบบซึ่งๆ หน้าเลยล่ะ!
ทั้งๆ ที่ปูแดงเคยหาเสียงไว้ว่า ถ้าเป็นรัฐบาล..เดี้ยนจะยุบกองทุนน้ำมัน-ลดราคาน้ำมัน เพื่อ..เดี้ยนจะกระชากราคาสินค้าแพงลงทันที!
แต่แล้วปูแดงกลับไม่ทำตามที่พูด เพราะหากปูแดงทำตามวาจาที่ลั่นไว้ กำไรกว่าแสนล้านบาทต่อปีของ ปตท.จะหดหายไปด้วย ซึ่งจะทำให้เฮียเหลี่ยมไม่แฮปปี้ปูแดง เพราะเงินกำไรในหุ้น ปตท.จะหายวับไปกับตาอย่างมากมายน่ะสิ..จริงใหม?
ผลประโยชน์เฮียเหลี่ยมต้องสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้น ปูแดงจึงต้องทำตามใจเฮียเหลี่ยม โดยยอมผิดคำพูดตนเองที่หาเสียงไว้กับประชาชน เพราะเธอรู้ดีว่า..ชาตินี้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ หญิงสมองกลวงอย่างเธอไม่มีวันจะได้เป็นายกฯประเทศไทยเด็ดขาด การได้เป็นนายกฯของประเทศไทยครั้งนี้ ก็เพราะเฮียเหลี่ยมผู้พี่ชายอุปถัมภ์-อุปโลกภ์ ยกตำแหน่งนายกฯหุ่นเชิดให้เธอต่างหาก
ชีวิตนายกฯหุ่นที่ไร้อำนาจอย่างปูแดง จึงห่วงแต่เสื้อผ้า-หน้า-ผมที่จะสวมใส่ ไปเดินโชว์ในประเทศต่างๆเท่านั้น จะได้ลบปมด้อยนายกฯสมองกลวงดุจตุ๊กตาบาร์บี้ แต่มีดีตรงเธอสวมใส่เสื้อผ้าสวยไม่ซ้ำกันทั้งปีเลยนะจ๊ะ..ฮ่าฮ่าฮ่า..
เมื่อรัฐบาลเฮียเหลี่ยม-ปูแดงแอบค้ำชู ปตท.ก็กลายเป็นองค์กรเส้น“ก๊วยจั๋บ” จะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจเพราะรัฐเป็นใจให้ ยิ่งได้ นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ คนสนิทเฮียเหลี่ยมมาเป็นรมว.พลังงานด้วยแล้ว ใครก็ขวางการทำกำไรสูงสุดให้ผู้ถือหุ้นไม่ได้อีกต่อไป
เมื่อ ปตท.ขูดรีดคนไทยจนร่ำรวย ย่อมมิใช่แค่เฮียเหลี่ยมจะรวยตามเท่านั้น แต่ผู้บริหาร ปตท.ก็รวยอู้ฟู่ด้วยเช่นกัน!
รายงานประจำปี ปตท.ระบุชัดเจน เฉพาะบอร์ด ปตท.15 คนนั้น ได้เบี้ยประชุม-โบนัส ในปี 2549 เป็นเงิน 40,330,089.04 บาท ปี 2550 เป็นเงิน 42,059,439,.91 บาท
“ผี-โม่แป้ง”ของตระกูลชินอย่าง ทั้งนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาฯ รฐบาลปูแดง และนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกฯ สมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และที่ปรึกษารัฐบาลปูแดง ก็เคยเป็นบอร์ด ปตท. โดยเฉพาะนายโอฬารนั้น เป็นตัวจักรสำคัญที่แปรรูป ปตท.ไปเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้เฮียเหลี่ยม!
ส่วนผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. ตั้งแต่กรรมการผู้จัดการใหญ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้ทั้งเงินเดือน-โบนัส รวมแล้วประมาณ 74 ล้านบาท ผู้บริหารที่มีหุ้นมากที่สุดในตอนนั้น คือ
นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจสำรวจ ผลิต และก๊าซธรรมชาติ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 มีหุ้นเหลืออยู่ 175,830 หุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 65,408,760 บาท
ส่วนนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. ที่วันนี้เจ้าตัวยืนยันว่าไม่มีหุ้นแล้ว แต่หากย้อนหลังไปเมื่อปี 2548 เขาได้หุ้น ESOP เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2548 จำนวน 243,000 หุ้น ( บันทึกราคาที่ 0.00 บาท) และ1 ปีให้หลังได้โอนออก 60,700 หุ้น และ 29 กันยายน 2549 ได้อีก 119,000 หุ้น จากนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 ได้ขายออกครั้งละ 5,000 หุ้นบ้าง 60,000 หุ้นบ้าง ในราคาเฉลี่ย 330-370 บาท จนล่าสุดเมื่อ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ได้ ESOP อีก 87,000 หุ้น
ความร่ำรวยของ ปตท.บนความลำบาก เลือดตาแทบกระเด็นของคนไทย ทั้งจากการคิดราคาน้ำมันอย่างไม่เป็นธรรม โดยใช้ข้อกฎหมายแบบเอาแต่ได้เห็นแก่ตัวว่า ปตท.เป็นบริษัทเอกชนทั่วไป ต้องทำกำไรสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น ส่วนการผูกขาดธุรกิจน้ำมันนั้น ปตท.อ้างตนเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีคลังถือหุ้น 51% กฎหมายผูกขาดฯ จึงเอาผิดกับ ปตท.ไม่ได้!
ปตท.ผูกขาดธุรกิจโรงกลั่นทั้งหมด 5 โรง จากโรงกลั่นทั้งหมด 7 โรง คิดเป็นกำลังการผลิตกว่า 70 % ของทั้งประเทศ ปั๊มน้ำมันทั่วประเทศต้องซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นในเครือ ปตท.แทบทั้งสิ้น
เมื่อโรงกลั่นต้องทำกำไร ปตท.ก็อ้างอิงราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์ ทั้งๆที่โรงกลั่นซื้อน้ำมันดิบส่วนใหญ่ จากประเทศตะวันออกกลาง และบางส่วนก็ซื้อน้ำมันดิบในประเทศไทยนี่เอง
เพราะประเทศไทยมีก๊าสและน้ำมันมากมาย ทั้งยังเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปขายให้ต่างชาติ มากกว่าบางประเทศที่เป็นสมาชิกโอเปกด้วยซ้ำไป แต่ที่คนไทยต้องซื้อน้ำมันราคาแพงเท่าตลาดโลก ก็เพราะปตท.เล่นกินกำไรสองต่อ นั่นคือ เอาน้ำมันคุณภาพดีของไทยไปขายให้ต่างชาติ ทำกำไรต่อแรกเข้ากระเป๋าก่อน จากนั้นก็สั่งซื้อน้ำมันคุณภาพต่ำมากลั่นในประเทศไทย แล้วขายน้ำมันให้คนไทยในราคาตลาดโลก เอาเงินเข้ากระเป๋าอีกครั้งไงครับ!
สูตรการปั่นราคาน้ำมันให้สูงขึ้น คือ ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น=ราคานำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ (Import parity Price) ที่มาจากราคาน้ำมันจรในตลาดจรที่สิงคโปร์ (FOB) + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย + ค่าจัดเก็บน้ำมัน + ภาษีศุลกากรนำเข้า
ค่าการตลาด = ค่าสารปรับปรุงคุณภาพ + ค่าขนส่ง + ค่าส่งเสริมการตลาด + ค่าผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจ
ราคาน้ำมันแพงนั้น จึงไม่ใช่เพราะตลาดโลกหรือเพราะตลาดสิงคโปร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นายประเสริฐเคยเฉลยออกมาแล้วว่า ปตท.ต้องทำกำไรเพราะปตท.อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ(โว้ย)?
อย่างไรก็ตาม..นายประเสริฐอดีตผู้บริหาร ปตท. ก็เคยหลุดความในใจออกมาว่า ปตท.พร้อมทำทุกอย่างตามนโยบายรัฐบาล นั่นคือ
“อยู่ที่ว่าสังคมไทยอยากให้ปตท.เป็นอย่างไร..ผมเป็นผู้บริหาร-เป็นพนักงาน ปตท. ผมก็อยากทำอะไรให้ดีที่สุดแก่ทุกฝ่าย..ถ้าเอา ปตท.เป็น Non Profit Organization ก็อย่าให้ ปตท.เป็นบริษัทอยู่ในมหาชน ก็เอา ปตท.ออกจากตลาดฯ ปตท.ก็จะเป็นเหมือนรัฐวิสาหกิจ..”
แปรรูป ปตท.มาขูดรีดคนไทย-มันดีตรงใหน? หาก ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ-ก็ต้องมีพันธกิจ-มีวัตถุประสงค์-มีเป้าหมาย จะต้องทำความมั่นคงทางพลังงานให้กับชาติจริงๆ มิใช่ทำแต่กำไรให้นายทุนผู้ถือหุ้นเท่านั้น ปตท.จะตั้งหน้าตั้งตาเอาเปรียบประชาชนไม่ได้..จริงใหม? คนไทยก็คงไม่ยอมเสียเงินภาษี สร้าง ปตท.ให้เป็นองค์กร“หน้าเลือด”หรือ “หน้าเนื้อใจเสือ”อย่างนี้แน่นอน..จริงไหมล่ะ?
ฉบับหน้า..จะมารู้จักบริษัทค้าขายพลังงานของเฮียเหลี่ยมกับพวกต่อนะครับ!