โดย : แมวลาย

ทำไม...ถนนทุกสายจึงมุ่งสู่กรุงโรม?
ประโยคนี้ได้ยินผ่านหูบ่อยๆ แต่พอนึกๆไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง ในแง่หนึ่ง ประโยคนี้เป็นสำนวนของฝรั่งที่ว่า "All roads lead to Rome" หมายถึงการทำบางสิ่งบางอย่างซึ่งมีหลายวิธีที่จะช่วยให้ไปถึงจุดมุ่งหมายเดียวกัน
แต่อีกแง่หนึ่ง ก็แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน และชาวโรมันซึ่งเป็นชาตินักรบโดยกำเนิด ทุกแห่งที่กองทัพโรมันไปถึงก็มักจะได้รับชัยชนะในการสู้รบ และเมื่อรบไปถึงดินแดนใดก็มักสร้างถนนเชื่อมต่อกับกรุงโรมเพื่อใช้เป็นเส้นทางลำเลียงพล เสบียงอาหาร และควบคุมดินแดนเหล่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม "โรม" เมืองหลวงของประเทศอิตาลีแห่งนี้ก็ถือเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างใฝ่ฝันหา เพราะความเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งศิลปะ มีโบราณสถานเก่าแก่ที่แสดงถึงอารยธรรมอันยาวนานนับพันปี ไม่ว่าจะเป็น "โคลอสเซียม" (Colosseum) สนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ในยุคโรมันใจกลางกรุงโรม ก่อสร้างด้วยหินทรายภูเขาไฟเป็นอัฒจันทร์รูปวงกลม จุผู้ชมได้กว่า 50,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตมากในสมัย ค.ศ.80 และยังคงสภาพความอลังการมาจนถึงปัจจุบัน แม้ไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์แต่ก็ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว
ใครที่เคยชมภาพยนตร์เรื่อง "Gladiator" ก็คงจะทราบว่า กีฬาที่เล่นกันในโคลอสเซียมแห่งนี้เป็นกีฬาดิบเถื่อน อย่างการนำเชลยศึก นักโทษ ทาส มาต่อสู้กันเอง หรือต่อสู้กับสัตว์ป่าที่กำลังหิวโหย หรือแม้แต่นำสัตว์มาสู้กับสัตว์กันเองก็มี ทั้งคนทั้งสัตว์ที่เสียชีวิตจากกีฬาป่าเถื่อนซึ่งเป็นกิจกรรมเพื่อความบันเทิงของผู้ชมที่โคลอสเซียมแห่งนี้นับหลายแสนชีวิต
แต่เมื่อโรมันเสื่อมอำนาจลง โคลอสเซียมก็กลายเป็นแหล่งหินที่ถูกรื้อไปสร้างโบสถ์ วิหาร หรือปราสาทเสียจนเหลือสภาพไม่สมบูรณ์อย่างที่เห็น ต่อมาได้มีคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายหินไปจากโคลอสเซียมอีก ไม่อย่างนั้นสงสัยว่าคงไม่เหลือสนามกีฬาอันยิ่งใหญ่ให้เราดูกันในวันนี้

ที่อยู่ไม่ไกลกันนักก็เป็นโบราณสถานอีกแห่งหนึ่งในเขตเมืองเก่ายุคโรมันที่ไม่ควรพลาดชม นั่นก็คือ "โรมัน ฟอรัม" (Roman Forum) พื้นที่ที่เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโรมันโบราณ ไม่ว่าจะเป็นวิหารสำหรับบูชาเทพเจ้าของชาวโรมัน ศูนย์ประชุมทางการเมืองการปกครอง ตลาด และอาคารสำคัญๆ ต่างๆ จึงเป็นที่รวมของเหล่านักปราชญ์ ปัญญาชน บุคคลสำคัญๆ ในยุคนั้น แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียงซากปรักหักพัง เสาและฐานรากของสิ่งก่อสร้างที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตเท่านั้น
"ประตูชัยคอนสแตนติน" (Arch of Constantine) เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในละแวกเดียวกัน ประตูชัยแห่งนี้มีขนาดใหญ่และสภาพสมบูรณ์ที่สุดในกรุงโรม สร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ที่มีชัยชนะเหนือ Maxentius ในสงคราม Battle of Milvian Bridge

อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมในสมัยโรมันโบราณที่เก่าแก่พอๆ กัน แต่ยังคงสภาพดีมาจนปัจจุบัน นั้นก็คือ "วิหารแพนธีออน" (Pantheon) วิหารขนาดใหญ่อายุ 2,000 กว่าปีมาแล้ว และยังถือเป็นอาคารในยุคโรมันที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังหลงเหลือมาถึงปัจจุบันอีกด้วย แต่เดิมวิหารแพนธีออนสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าของชาวโรมัน แต่ในช่วงที่คริสตจักรเรืองอำนาจ วิหารแห่งนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นโบสถ์ในคริสต์ศาสนาจนถึงทุกวันนี้
สถาปัตยกรรมของตัววิหารด้านหน้ามีลักษณะเป็นเสาสูงต้นใหญ่ รับกับหลังคาหน้าจั่วสามเหลี่ยม ส่วนอาคารด้านหลังมีหลังคาทรงโดมครอบอาคารทรงกลม ส่วนบนสุดของโดมมีช่องแสงรูปวงกลมขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า "โอคูลัส" ช่องแสงนี้เชื่อว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เมื่อแสงแดดส่องกระทบลงมาก็ทำให้เกิดภาพที่งดงาม อีกทั้งอาคารแห่งนี้ยังมีความน่าทึ่งตรงที่ไม่ต้องมีเสาค้ำกลางทั้งที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร

ภายในวิหารแห่งนี้ยังได้ใช้เป็นสถานที่ฝังศพกษัตริย์ บุคคลในราชวงศ์และบุคคลสำคัญ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ราฟาเอล จิตรกรชื่อดังผู้สร้างสรรค์งานศิลปะชิ้นงามเอาไว้ที่โรมจำนวนมาก
อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมอันงดงามที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดนั่นก็คือ "จตุรัสนาโวนา" (Piazza Navona) จตุรัสที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงโรม ที่มีองค์ประกอบของสิ่งก่อสร้าง ทั้งโบสถ์ น้ำพุ และอาคารโดยรอบที่ล้วนส่งเสริมความงดงามให้แก่กัน จัตุรัสแห่งนี้ในยุคโรมันโบราณเคยใช้เป็นสนามกีฬาที่ไว้ใช้แข่งม้า แต่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน โดยบริเวณกลางจัตุรัสเป็นที่ตั้งของเสาโอเบลิสก์จากอียิปต์ ตั้งอยู่เบื้องหน้าโบสถ์เซนต์แอกเนสอินอะโกนี
อีกทั้งยังมี "น้ำพุจตุมหานที" (Fountain of the Four Rivers) ซึ่งแต่ละมุมจะมีรูปปั้นซึ่งแทนแม่น้ำสายสำคัญจาก 4 ทวีป ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำดานูป แม่น้ำไนล์ และ แม่น้ำพลาต้า (Rio de la Plata ในทวีปอเมริกาใต้) ซึ่งน้ำพุแห่งนี้ จานโลเรนโซ เเบร์นินี ศิลปินฝีมือเยี่ยมอีกคนหนึ่งของอิตาลีเป็นผู้ออกแบบ

น้ำพุอันเลื่องชื่ออีกแห่งหนึ่งของกรุงโรม "น้ำพุเทรวี่" (Trevi Fountain) ก็เป็นอีกหนึ่งแห่งที่พลาดไม่ได้ น้ำพุแห่งนี้งดงามไปด้วยรูปปั้นหินอ่อนของเนปจูนที่ทรงนั่งอยู่บนรถม้าติดปีก เนปจูนเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำของชาวโรมันโบราณ ที่น้ำพุแห่งนี้นักท่องเที่ยวนิยมมาโยนเหรียญกัน โดยจะยืนหันหลังให้น้ำพุ แล้วกลั้นหายใจโยนเหรียญข้ามหัวใหล่ลงไปในบ่อน้ำพุ เชื่อกันว่าคนที่ทำอย่างนี้แล้วจะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง
และที่บริเวณน้ำพุนี้งดงามทั้งกลางวันกลางคืน ช่วงกลางวันจะมีบรรยากาศแจ่มใส ส่วนช่วงกลางคืนเมื่อเปิดแสงไฟส่องก็จะมีความงดงามไปอีกแบบหนึ่ง

สถานที่ท่องเที่ยวแหล่งสุดท้ายที่จะพาไปชมกันในวันนี้ก็คือ “บันไดสเปน” (Spanish Steps) บันไดสูงที่ทอดยาวอยู่ระหว่างจัตุรัสสองแห่งคือ Piazza di Spagna และ Piazza Trinita dei Monti บันไดแห่งนี้ถือเป็นบันไดที่กว้างที่สุดและยาวที่สุดในทวีปยุโรป มีทั้งหมด 138 ขั้นด้วยกัน
เหตุที่เรียกว่าบันไดสเปนนั่นก็เพราะเหตุผลง่ายๆ ที่ว่าสถานทูตสเปนตั้งอยู่บริเวณบันไดนี้นั่นเอง ที่นี่มักจะมีนักท่องเที่ยว รวมถึงหนุ่มสาวชาวโรมมานั่งพักผ่อนพูดคุยกัน และบริเวณถนนที่อยู่ตรงกับบันไดนั้นก็ยังเป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าหรูๆ จำพวกเสื้อผ้ามียี่ห้อและเครื่องประดับราคาแพง หากใครมีสตางค์อยากจะซื้อหากันก็ตามสบาย หรือจะเพียงใช้วิธีวินโดว์ ช้อปปิ้งเอาก็ได้รับความสุขเหมือนๆ กัน

ในกรุงโรมยังเป็นที่ตั้งของ "นครรัฐวาติกัน" ซึ่งถือเป็นนครแห่งคริสต์ศาสนา เพราะเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปา ประมุขของชาวคริสต์ทั่วโลก มีวิหารเซนต์ปีเตอร์อันอลังการ อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์วาติกัน และโบสถ์ซิสทีนอันมีภาพจิตรกรรมการพิพากษาครั้งสุดท้าย The Last Judgment อันลือชื่อของมิเกลันเจโล จิตรกรผู้โด่งดังให้ชม ซึ่งคอลัมน์ "เที่ยวต่างแดน" ได้เคยพาชมนครรัฐวาติกันไปแล้วครั้งหนึ่ง
เสน่ห์ของกรุงโรมที่ทำให้ทุกคนหลงรักไม่ได้มีอยู่เพียงแค่ตามแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้เท่านั้น แต่แฝงอยู่แทบทุกตรอกซอกซอยในโรม เสน่ห์และความยิ่งใหญ่ของกรุงโรมทำให้ผู้ที่ได้มาสัมผัสซาบซึ้งกับประโยคที่ว่า "โรมมิได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว" เพราะทั้งหมดทั้งมวลที่รวมกันเป็นโรมนี้ เป็นความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมมนุษย์ที่สั่งสมกันมาหลายชั่วอายุคนเลยทีเดียว
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
"วาติกัน" จิ๋วแต่แจ๋ว...นครแห่งคริสต์ศาสนา
ทำไม...ถนนทุกสายจึงมุ่งสู่กรุงโรม?
ประโยคนี้ได้ยินผ่านหูบ่อยๆ แต่พอนึกๆไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง ในแง่หนึ่ง ประโยคนี้เป็นสำนวนของฝรั่งที่ว่า "All roads lead to Rome" หมายถึงการทำบางสิ่งบางอย่างซึ่งมีหลายวิธีที่จะช่วยให้ไปถึงจุดมุ่งหมายเดียวกัน
แต่อีกแง่หนึ่ง ก็แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน และชาวโรมันซึ่งเป็นชาตินักรบโดยกำเนิด ทุกแห่งที่กองทัพโรมันไปถึงก็มักจะได้รับชัยชนะในการสู้รบ และเมื่อรบไปถึงดินแดนใดก็มักสร้างถนนเชื่อมต่อกับกรุงโรมเพื่อใช้เป็นเส้นทางลำเลียงพล เสบียงอาหาร และควบคุมดินแดนเหล่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม "โรม" เมืองหลวงของประเทศอิตาลีแห่งนี้ก็ถือเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างใฝ่ฝันหา เพราะความเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งศิลปะ มีโบราณสถานเก่าแก่ที่แสดงถึงอารยธรรมอันยาวนานนับพันปี ไม่ว่าจะเป็น "โคลอสเซียม" (Colosseum) สนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ในยุคโรมันใจกลางกรุงโรม ก่อสร้างด้วยหินทรายภูเขาไฟเป็นอัฒจันทร์รูปวงกลม จุผู้ชมได้กว่า 50,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตมากในสมัย ค.ศ.80 และยังคงสภาพความอลังการมาจนถึงปัจจุบัน แม้ไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์แต่ก็ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว
ใครที่เคยชมภาพยนตร์เรื่อง "Gladiator" ก็คงจะทราบว่า กีฬาที่เล่นกันในโคลอสเซียมแห่งนี้เป็นกีฬาดิบเถื่อน อย่างการนำเชลยศึก นักโทษ ทาส มาต่อสู้กันเอง หรือต่อสู้กับสัตว์ป่าที่กำลังหิวโหย หรือแม้แต่นำสัตว์มาสู้กับสัตว์กันเองก็มี ทั้งคนทั้งสัตว์ที่เสียชีวิตจากกีฬาป่าเถื่อนซึ่งเป็นกิจกรรมเพื่อความบันเทิงของผู้ชมที่โคลอสเซียมแห่งนี้นับหลายแสนชีวิต
แต่เมื่อโรมันเสื่อมอำนาจลง โคลอสเซียมก็กลายเป็นแหล่งหินที่ถูกรื้อไปสร้างโบสถ์ วิหาร หรือปราสาทเสียจนเหลือสภาพไม่สมบูรณ์อย่างที่เห็น ต่อมาได้มีคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายหินไปจากโคลอสเซียมอีก ไม่อย่างนั้นสงสัยว่าคงไม่เหลือสนามกีฬาอันยิ่งใหญ่ให้เราดูกันในวันนี้
ที่อยู่ไม่ไกลกันนักก็เป็นโบราณสถานอีกแห่งหนึ่งในเขตเมืองเก่ายุคโรมันที่ไม่ควรพลาดชม นั่นก็คือ "โรมัน ฟอรัม" (Roman Forum) พื้นที่ที่เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโรมันโบราณ ไม่ว่าจะเป็นวิหารสำหรับบูชาเทพเจ้าของชาวโรมัน ศูนย์ประชุมทางการเมืองการปกครอง ตลาด และอาคารสำคัญๆ ต่างๆ จึงเป็นที่รวมของเหล่านักปราชญ์ ปัญญาชน บุคคลสำคัญๆ ในยุคนั้น แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียงซากปรักหักพัง เสาและฐานรากของสิ่งก่อสร้างที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตเท่านั้น
"ประตูชัยคอนสแตนติน" (Arch of Constantine) เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในละแวกเดียวกัน ประตูชัยแห่งนี้มีขนาดใหญ่และสภาพสมบูรณ์ที่สุดในกรุงโรม สร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ที่มีชัยชนะเหนือ Maxentius ในสงคราม Battle of Milvian Bridge
อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมในสมัยโรมันโบราณที่เก่าแก่พอๆ กัน แต่ยังคงสภาพดีมาจนปัจจุบัน นั้นก็คือ "วิหารแพนธีออน" (Pantheon) วิหารขนาดใหญ่อายุ 2,000 กว่าปีมาแล้ว และยังถือเป็นอาคารในยุคโรมันที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังหลงเหลือมาถึงปัจจุบันอีกด้วย แต่เดิมวิหารแพนธีออนสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าของชาวโรมัน แต่ในช่วงที่คริสตจักรเรืองอำนาจ วิหารแห่งนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นโบสถ์ในคริสต์ศาสนาจนถึงทุกวันนี้
สถาปัตยกรรมของตัววิหารด้านหน้ามีลักษณะเป็นเสาสูงต้นใหญ่ รับกับหลังคาหน้าจั่วสามเหลี่ยม ส่วนอาคารด้านหลังมีหลังคาทรงโดมครอบอาคารทรงกลม ส่วนบนสุดของโดมมีช่องแสงรูปวงกลมขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า "โอคูลัส" ช่องแสงนี้เชื่อว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เมื่อแสงแดดส่องกระทบลงมาก็ทำให้เกิดภาพที่งดงาม อีกทั้งอาคารแห่งนี้ยังมีความน่าทึ่งตรงที่ไม่ต้องมีเสาค้ำกลางทั้งที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร
ภายในวิหารแห่งนี้ยังได้ใช้เป็นสถานที่ฝังศพกษัตริย์ บุคคลในราชวงศ์และบุคคลสำคัญ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ราฟาเอล จิตรกรชื่อดังผู้สร้างสรรค์งานศิลปะชิ้นงามเอาไว้ที่โรมจำนวนมาก
อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมอันงดงามที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดนั่นก็คือ "จตุรัสนาโวนา" (Piazza Navona) จตุรัสที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงโรม ที่มีองค์ประกอบของสิ่งก่อสร้าง ทั้งโบสถ์ น้ำพุ และอาคารโดยรอบที่ล้วนส่งเสริมความงดงามให้แก่กัน จัตุรัสแห่งนี้ในยุคโรมันโบราณเคยใช้เป็นสนามกีฬาที่ไว้ใช้แข่งม้า แต่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน โดยบริเวณกลางจัตุรัสเป็นที่ตั้งของเสาโอเบลิสก์จากอียิปต์ ตั้งอยู่เบื้องหน้าโบสถ์เซนต์แอกเนสอินอะโกนี
อีกทั้งยังมี "น้ำพุจตุมหานที" (Fountain of the Four Rivers) ซึ่งแต่ละมุมจะมีรูปปั้นซึ่งแทนแม่น้ำสายสำคัญจาก 4 ทวีป ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำดานูป แม่น้ำไนล์ และ แม่น้ำพลาต้า (Rio de la Plata ในทวีปอเมริกาใต้) ซึ่งน้ำพุแห่งนี้ จานโลเรนโซ เเบร์นินี ศิลปินฝีมือเยี่ยมอีกคนหนึ่งของอิตาลีเป็นผู้ออกแบบ
น้ำพุอันเลื่องชื่ออีกแห่งหนึ่งของกรุงโรม "น้ำพุเทรวี่" (Trevi Fountain) ก็เป็นอีกหนึ่งแห่งที่พลาดไม่ได้ น้ำพุแห่งนี้งดงามไปด้วยรูปปั้นหินอ่อนของเนปจูนที่ทรงนั่งอยู่บนรถม้าติดปีก เนปจูนเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำของชาวโรมันโบราณ ที่น้ำพุแห่งนี้นักท่องเที่ยวนิยมมาโยนเหรียญกัน โดยจะยืนหันหลังให้น้ำพุ แล้วกลั้นหายใจโยนเหรียญข้ามหัวใหล่ลงไปในบ่อน้ำพุ เชื่อกันว่าคนที่ทำอย่างนี้แล้วจะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง
และที่บริเวณน้ำพุนี้งดงามทั้งกลางวันกลางคืน ช่วงกลางวันจะมีบรรยากาศแจ่มใส ส่วนช่วงกลางคืนเมื่อเปิดแสงไฟส่องก็จะมีความงดงามไปอีกแบบหนึ่ง
สถานที่ท่องเที่ยวแหล่งสุดท้ายที่จะพาไปชมกันในวันนี้ก็คือ “บันไดสเปน” (Spanish Steps) บันไดสูงที่ทอดยาวอยู่ระหว่างจัตุรัสสองแห่งคือ Piazza di Spagna และ Piazza Trinita dei Monti บันไดแห่งนี้ถือเป็นบันไดที่กว้างที่สุดและยาวที่สุดในทวีปยุโรป มีทั้งหมด 138 ขั้นด้วยกัน
เหตุที่เรียกว่าบันไดสเปนนั่นก็เพราะเหตุผลง่ายๆ ที่ว่าสถานทูตสเปนตั้งอยู่บริเวณบันไดนี้นั่นเอง ที่นี่มักจะมีนักท่องเที่ยว รวมถึงหนุ่มสาวชาวโรมมานั่งพักผ่อนพูดคุยกัน และบริเวณถนนที่อยู่ตรงกับบันไดนั้นก็ยังเป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าหรูๆ จำพวกเสื้อผ้ามียี่ห้อและเครื่องประดับราคาแพง หากใครมีสตางค์อยากจะซื้อหากันก็ตามสบาย หรือจะเพียงใช้วิธีวินโดว์ ช้อปปิ้งเอาก็ได้รับความสุขเหมือนๆ กัน
ในกรุงโรมยังเป็นที่ตั้งของ "นครรัฐวาติกัน" ซึ่งถือเป็นนครแห่งคริสต์ศาสนา เพราะเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปา ประมุขของชาวคริสต์ทั่วโลก มีวิหารเซนต์ปีเตอร์อันอลังการ อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์วาติกัน และโบสถ์ซิสทีนอันมีภาพจิตรกรรมการพิพากษาครั้งสุดท้าย The Last Judgment อันลือชื่อของมิเกลันเจโล จิตรกรผู้โด่งดังให้ชม ซึ่งคอลัมน์ "เที่ยวต่างแดน" ได้เคยพาชมนครรัฐวาติกันไปแล้วครั้งหนึ่ง
เสน่ห์ของกรุงโรมที่ทำให้ทุกคนหลงรักไม่ได้มีอยู่เพียงแค่ตามแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้เท่านั้น แต่แฝงอยู่แทบทุกตรอกซอกซอยในโรม เสน่ห์และความยิ่งใหญ่ของกรุงโรมทำให้ผู้ที่ได้มาสัมผัสซาบซึ้งกับประโยคที่ว่า "โรมมิได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว" เพราะทั้งหมดทั้งมวลที่รวมกันเป็นโรมนี้ เป็นความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมมนุษย์ที่สั่งสมกันมาหลายชั่วอายุคนเลยทีเดียว
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
"วาติกัน" จิ๋วแต่แจ๋ว...นครแห่งคริสต์ศาสนา