โดย:มะเมี้ยะ
บนโลกอันน่าอัศจรรย์ใบนี้ มีสถานที่ทรงคุณค่ามากมายที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ทั้งสถานที่ทางธรรมชาติ ที่ถูกรังสรรค์ชิ้นงานด้วยธรรมชาติ และสถานที่ซึ่งสร้างขึ้นจากความเพียรของมนุษย์ โดยหลายแห่งหลายสิ่งต่างมีเอกลักษณ์ความพิเศษเฉพาะตัวที่เป็นเอกอุ ควรค่าแก่การอนุรักษ์เพื่อเป็นมรดกโลกของมวลมนุษยชาติสืบทอดไว้ให้ลูกหลานได้ชื่นชมต่อไป
นั่นจึงทำให้ ทุกๆปี องค์การยูเนสโก (UNESCO) หรือ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ได้ประกาศมรดกโลกแห่งใหม่ให้โลกได้รับรู้
สำหรับปีนี้ยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลกครั้งที่ 33 ในระหว่างวันที่ 22-30 มิ.ย. 52 ที่ผ่านมา ณ เมืองเซบีย่า ประเทศสเปน ได้มรดกโลกแห่งใหม่จำนวน 13 แห่งทั่วโลก แบ่งเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ 2 แห่ง และมรดกโลกทางวัฒนธรรม 11 แห่ง
มรดกโลกแห่งใหม่ทางธรรมชาติ
มรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรก คือ "ทะเลวาดเดน" (The Wadden Sea) ตั้งอยู่ชายแดนประเทศเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่เกือบ 10,000 ตารางกิโลเมตร อุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ตามแนวชายฝั่งใช้เป็นแหล่งอาศัยและอนุบาลสัตว์น้ำสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นแหล่งผสมพันธุ์ของนกมากกว่า 12 ล้านตัว
ทะเลวาดเดน จัดเป็นพื้นที่หนึ่งที่รัฐบาลของทั้งเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์ร่วมมือกันป้องกันและอนุรักษ์ทะเลวาดเดนให้คงสภาพธรรมชาติเดิมไว้ พร้อมกับการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยไม่กระทบต่อระบบนิเวศน์ของเหล่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณทะเลวาดเดน
มรดกโลกทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งของปีนี้คือ "เทือกเขาโดโลไมท์" (Dolomites Mountains) ตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ที่ทอดตัวอยู่ในเขตอิตาลีตอนเหนือ พื้นที่มากกว่า 140,000 เฮกตาร์ มีทัศนียภาพสวยงาม มีความหลากหลายของชนิดของหินต่างๆ และเป็นแหล่งอนุรักษ์ฟอสซิลที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
เทือกเขาโดโลไมท์ ครอบคลุมอาณาบริเวณของแคว้นทิโรลใต้ (Tirol South) และ แคว้นเวเนโต้(Veneto)เป็นเทือกเขาได้ชื่อว่าเป็นแนวเขาที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยลักษณะของยอดเขาต่างๆที่แทงยอดสูงเสียดฟ้า มีทัศนียภาพงดงาม จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของอิตาลี โดยช่วงฤดูหนาว เหล่าสกีรีสอร์ทต่างเปิดรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเทือกเขาแห่งนี้ ส่วนช่วงฤดูร้อน ที่นี่จะมีทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้สีสวยปรากฏตลอดจนเทือกเขา
มรดกโลกแห่งใหม่จากน้ำมือมนุษย์
สำหรับมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ของโลกปีนี้ ขอเริ่มกันที่ "อาคารสต๊อกเลต เฮาส์" (Stoclet House) อาคารรูปทรงเรขาคณิตในกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม ออกแบบโดย โจเซฟ ฮอฟมานน์ สถาปนิกชื่อดังชาวออสเตรีย ผู้บุกเบิกคนสำคัญของศิลปะแนวอาร์ตนูโวในประเทศเบลเยียม มีความโดดเด่นตรงที่เป็นสุดยอดอาคารสถาปัตยกรรมแบบเวียนนา ที่ยังได้รับการรักษาให้อยู่ในสภาพเดิม สร้างระหว่างปีค.ศ.1905-1911
สถานที่ต่อมาคือ ซากปรักหักพัง "โลโรเปนี"(Loropeni) ประเทศบูร์กินาฟาโซ ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล สำหรับความสำคัญของโลโรเปนี คือ มีลักษณะเป็นป้อมโบราณที่ใช้หินขนาดใหญ่มากกว่า 100 ก้อนในการก่อสร้างที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ ตั้งอยู่ในพรมแดนโกดิวัวต์ กานา และโตโก อายุมากกว่า 1,000 ปี
มาที่อีกหนึ่งประเทศในแอฟริกา "เมืองโบราณซีดาเด"(Cidade Velha) ศูนย์กลางประวัติศาสตร์เมือง Ribeira Grande ตั้งอยู่ในประเทศเคปเวิร์ด ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเกาะ โดยเมืองโบราณแห่งนี้จัดเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุดของเกาะเคปเวิร์ด ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Cidade Velha ในปลายศตวรรษที่ 18 เป็นเมืองที่ผังเมืองยอดเยี่ยมในยุคเริ่มต้นการแผ่อาณานิคมของยุโรป มีทั้งโบสถ์ และลานหินอ่อนที่เป็นสุดยอดศิลปะ
เปลี่ยนมาสัมผัสมรดกโลกในเอเชียกันบ้างที่ "ภูเขาอู่ไถซัน" (Wutai)ในมณฑลซันซี ทางภาคเหนือของจีน ภูเขาอู่ไถซัน ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 4 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สุดทางพุทธศาสนาของจีน (อีก 3 แห่งได้แก่ ผู่โถวซัน มณฑลเจ้อเจียง, จิ่วหัวซัน มณฑลอันฮุย และเขาง้อไบ๊ มณฑลเสฉวน) โดยเชื่อกันว่าเป็นบ้านเกิดของพระโพธิสัตว์แห่งปัญญาคือพระมัญชูศรี อู่ไถซันมี สิ่งก่อสร้างทางศาสนามากมาย อาทิ วัดพุทธศาสนาอายุเก่าแก่นับพันปี สิ่งก่อสร้างด้วยไม้ในยุคราชวงศ์ถัง รวมถึงพระพุทธรูปจำนวนมากราว 500 องค์
ที่เกาหลีใต้ปีนี้มีมรดกโลกแห่งใหม่ด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ "สุสานหลวงแห่งราชวงศ์โชซอน" (Royal Tombs of the Joseon สุสานโบราณอายุกว่า 5 ศตวรรษ มีสุสานหลวง 40 แห่งจากสมัยอาณาจักรโชซอน สุสานเหล่านี้เป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์ ราชินี และเหล่าบรรพชน 27 รุ่นของราชวงศ์โชซอน และเป็นการยากที่จะได้พบสุสานในราชวงศ์ทั้งหมด ซึ่งยังอยู่ในสภาพดีเช่นนี้ สำหรับการเฉลิมฉลอง 40 สุสานหลวงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกครั้งนี้ จึงได้มีการเปิดให้เข้าชม ฟรี! จนถึงวันที่ 12 กรกฎาคม 2552 ใครสนใจก็ตีตั๋วไปชมได้ที่เกาหลีใต้
ในขณะที่สถานที่เลื่องชื่อของอิหร่านอย่าง "ซูร์ตาร์" (Shushtar) เมืองโบราณในประเทศอิหร่านก็เป็นหนึ่งในมรดกโลกปีนี้ เพราะความที่ซูร์ตาร์มีระบบชลประทานที่น่าทึ่ง ผันน้ำมาใช้ประโยชน์ในการทำเกษตรกรรมในพื้นที่กว่า 40,000 เฮกตาร์ ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน
ด้าน "ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สุลาเมน"( Sulamain)ประเทศคีร์กีซสถาน หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม และเป็นเทือกเขาโบราณสำคัญของนักเดินทางบนเส้นทางสายไหม ก็เป็นมรดกโลกแห่งใหม่ด้วยเช่นกัน
เช่นเดียวกับ "เมืองศักดิ์สิทธิ์คาเรล ซูฟ" (Caral-Supe) ตั้งอยู่ในประเทศเปรู เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกาใต้ มีความซับซ้อนของสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสาวรีย์หินโบราณ ทำให้ยูเนสโกมองเห็นความสำคัญและมอบความเป็นมรดกโลกให้
ตามติดด้วย "ประภาคารเฮอร์คิวลิส" (Hercules) อยู่ในประเทศสเปน เป็นประภาคารและสถานที่ทางเข้าของ 'ลา คอรุญญา' ท่าเรือสำคัญ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสเปน สร้างขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 1 ในบริเวณเดียวกันมีสวนประติมากรรม หินแกะสลักจากเหล็กและสุสานมุสลิม ในยุคที่อาณาจักรโรมันยังเรืองอำนาจ ถือเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่บ่งบอกถึงประภาคารโบราณสมัยกรีก-โรมัน ซึ่งยังคงให้เห็นความสมบูรณ์แบบของรังวัดในโครงสร้างและการทำหน้าที่แต่ละส่วนสอดคล้องต่อเนื่อง
"เมืองลาโชซ์-เดอฟองด์ และเมืองเลอโลเคิล"( La Chaux-de-Fonds/Le Locle watchmaking town-planning) แหล่งผลิตนาฬิกาที่ขึ้นชื่อของสวิตเซอร์แลนด์ ถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลกเช่นกัน ในฐานะเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นด้านเมืองแห่งประวัติศาสตร์การบุกเบิกอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งยังคงอนุรักษ์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสืบทอดความยิ่งใหญ่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างมีชีวิตชีวา
และมรดกโลกอีกหนึ่งส่งท้ายของปีนี้ก็คือ "สะพานส่งน้ำพอนต์ซิซิลเต"( Pontcysyllte) แห่งสหราชอาณาจักร มีความยาว 18 กม. ซึ่งทอดตัวอยู่เหนือคลองที่ขุดตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ในแคว้นเวลส์ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ สร้างคุณูปการในเชิงวิศวกรรมโยธาแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม ด้วยการก่อสร้างที่จับต้องสัมผัสได้ โดดเด่นในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะกลวิธีออกแบบที่ไม่ต้องใช้ตัวสลัก ถือเป็นการบุกเบิกผลงานชิ้นเอกแห่งวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมโลหะโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดี
พร้อมกันนี้ทางยูเนสโกได้เพิ่มรายชื่อของ "อุทยานธรรมชาติปะการังทับบาตาฮา"( Tubbataha )ของฟิลิปปินส์เป็นส่วนขยายจากอุทยานทางทะเลทับบาตาฮา ซึ่งเป็นมรดกโลกไปก่อนหน้านี้ เพื่อความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ส่งท้ายด้วยเรื่องเศร้าที่ทางยูเนสโกได้ประกาศถอดถอน "หุบเขาเดรสเดน เอลเบ" (Dresden Elbe ) ทางฝั่งตะวันออกของเยอรมนี ออกจากบัญชีมรดกโลก หลังจากที่รัฐบาลเยอรมนี มีแผนก่อสร้างสะพานคอนกรีตกับเหล็กกล้าความกว้างขนาดถนน 4 เลน ระยะทาง 600 เมตร ตัดใจกลางหุบเขา นับว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับเมืองไทยถ้าหากยังคงนิ่งนอนใจกับมรดกโลกที่มีอยู่ โดยไม่ร่วมกันดูแลแต่กับปล่อยปละละเลยให้พื้นที่มรดกโลกถูกทำลายจนเสื่อมโทรม ไม่ว่าจะเป็นที่อยุธยาหรือที่เขาใหญ่ตามที่เป็นข่าว สักวันหนึ่งมรดกโลกในเมืองไทยอาจถูกถอดถอนอย่างหุบเขาเดรสเดน เอลเบ ก็เป็นได้
เรื่องแบบนี้อย่าชะล่าใจไป...
บนโลกอันน่าอัศจรรย์ใบนี้ มีสถานที่ทรงคุณค่ามากมายที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ทั้งสถานที่ทางธรรมชาติ ที่ถูกรังสรรค์ชิ้นงานด้วยธรรมชาติ และสถานที่ซึ่งสร้างขึ้นจากความเพียรของมนุษย์ โดยหลายแห่งหลายสิ่งต่างมีเอกลักษณ์ความพิเศษเฉพาะตัวที่เป็นเอกอุ ควรค่าแก่การอนุรักษ์เพื่อเป็นมรดกโลกของมวลมนุษยชาติสืบทอดไว้ให้ลูกหลานได้ชื่นชมต่อไป
นั่นจึงทำให้ ทุกๆปี องค์การยูเนสโก (UNESCO) หรือ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ได้ประกาศมรดกโลกแห่งใหม่ให้โลกได้รับรู้
สำหรับปีนี้ยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลกครั้งที่ 33 ในระหว่างวันที่ 22-30 มิ.ย. 52 ที่ผ่านมา ณ เมืองเซบีย่า ประเทศสเปน ได้มรดกโลกแห่งใหม่จำนวน 13 แห่งทั่วโลก แบ่งเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ 2 แห่ง และมรดกโลกทางวัฒนธรรม 11 แห่ง
มรดกโลกแห่งใหม่ทางธรรมชาติ
มรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรก คือ "ทะเลวาดเดน" (The Wadden Sea) ตั้งอยู่ชายแดนประเทศเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่เกือบ 10,000 ตารางกิโลเมตร อุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ตามแนวชายฝั่งใช้เป็นแหล่งอาศัยและอนุบาลสัตว์น้ำสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นแหล่งผสมพันธุ์ของนกมากกว่า 12 ล้านตัว
ทะเลวาดเดน จัดเป็นพื้นที่หนึ่งที่รัฐบาลของทั้งเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์ร่วมมือกันป้องกันและอนุรักษ์ทะเลวาดเดนให้คงสภาพธรรมชาติเดิมไว้ พร้อมกับการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยไม่กระทบต่อระบบนิเวศน์ของเหล่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณทะเลวาดเดน
มรดกโลกทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งของปีนี้คือ "เทือกเขาโดโลไมท์" (Dolomites Mountains) ตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ที่ทอดตัวอยู่ในเขตอิตาลีตอนเหนือ พื้นที่มากกว่า 140,000 เฮกตาร์ มีทัศนียภาพสวยงาม มีความหลากหลายของชนิดของหินต่างๆ และเป็นแหล่งอนุรักษ์ฟอสซิลที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
เทือกเขาโดโลไมท์ ครอบคลุมอาณาบริเวณของแคว้นทิโรลใต้ (Tirol South) และ แคว้นเวเนโต้(Veneto)เป็นเทือกเขาได้ชื่อว่าเป็นแนวเขาที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยลักษณะของยอดเขาต่างๆที่แทงยอดสูงเสียดฟ้า มีทัศนียภาพงดงาม จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของอิตาลี โดยช่วงฤดูหนาว เหล่าสกีรีสอร์ทต่างเปิดรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเทือกเขาแห่งนี้ ส่วนช่วงฤดูร้อน ที่นี่จะมีทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้สีสวยปรากฏตลอดจนเทือกเขา
มรดกโลกแห่งใหม่จากน้ำมือมนุษย์
สำหรับมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ของโลกปีนี้ ขอเริ่มกันที่ "อาคารสต๊อกเลต เฮาส์" (Stoclet House) อาคารรูปทรงเรขาคณิตในกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม ออกแบบโดย โจเซฟ ฮอฟมานน์ สถาปนิกชื่อดังชาวออสเตรีย ผู้บุกเบิกคนสำคัญของศิลปะแนวอาร์ตนูโวในประเทศเบลเยียม มีความโดดเด่นตรงที่เป็นสุดยอดอาคารสถาปัตยกรรมแบบเวียนนา ที่ยังได้รับการรักษาให้อยู่ในสภาพเดิม สร้างระหว่างปีค.ศ.1905-1911
สถานที่ต่อมาคือ ซากปรักหักพัง "โลโรเปนี"(Loropeni) ประเทศบูร์กินาฟาโซ ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล สำหรับความสำคัญของโลโรเปนี คือ มีลักษณะเป็นป้อมโบราณที่ใช้หินขนาดใหญ่มากกว่า 100 ก้อนในการก่อสร้างที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ ตั้งอยู่ในพรมแดนโกดิวัวต์ กานา และโตโก อายุมากกว่า 1,000 ปี
มาที่อีกหนึ่งประเทศในแอฟริกา "เมืองโบราณซีดาเด"(Cidade Velha) ศูนย์กลางประวัติศาสตร์เมือง Ribeira Grande ตั้งอยู่ในประเทศเคปเวิร์ด ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเกาะ โดยเมืองโบราณแห่งนี้จัดเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุดของเกาะเคปเวิร์ด ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Cidade Velha ในปลายศตวรรษที่ 18 เป็นเมืองที่ผังเมืองยอดเยี่ยมในยุคเริ่มต้นการแผ่อาณานิคมของยุโรป มีทั้งโบสถ์ และลานหินอ่อนที่เป็นสุดยอดศิลปะ
เปลี่ยนมาสัมผัสมรดกโลกในเอเชียกันบ้างที่ "ภูเขาอู่ไถซัน" (Wutai)ในมณฑลซันซี ทางภาคเหนือของจีน ภูเขาอู่ไถซัน ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 4 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สุดทางพุทธศาสนาของจีน (อีก 3 แห่งได้แก่ ผู่โถวซัน มณฑลเจ้อเจียง, จิ่วหัวซัน มณฑลอันฮุย และเขาง้อไบ๊ มณฑลเสฉวน) โดยเชื่อกันว่าเป็นบ้านเกิดของพระโพธิสัตว์แห่งปัญญาคือพระมัญชูศรี อู่ไถซันมี สิ่งก่อสร้างทางศาสนามากมาย อาทิ วัดพุทธศาสนาอายุเก่าแก่นับพันปี สิ่งก่อสร้างด้วยไม้ในยุคราชวงศ์ถัง รวมถึงพระพุทธรูปจำนวนมากราว 500 องค์
ที่เกาหลีใต้ปีนี้มีมรดกโลกแห่งใหม่ด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ "สุสานหลวงแห่งราชวงศ์โชซอน" (Royal Tombs of the Joseon สุสานโบราณอายุกว่า 5 ศตวรรษ มีสุสานหลวง 40 แห่งจากสมัยอาณาจักรโชซอน สุสานเหล่านี้เป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์ ราชินี และเหล่าบรรพชน 27 รุ่นของราชวงศ์โชซอน และเป็นการยากที่จะได้พบสุสานในราชวงศ์ทั้งหมด ซึ่งยังอยู่ในสภาพดีเช่นนี้ สำหรับการเฉลิมฉลอง 40 สุสานหลวงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกครั้งนี้ จึงได้มีการเปิดให้เข้าชม ฟรี! จนถึงวันที่ 12 กรกฎาคม 2552 ใครสนใจก็ตีตั๋วไปชมได้ที่เกาหลีใต้
ในขณะที่สถานที่เลื่องชื่อของอิหร่านอย่าง "ซูร์ตาร์" (Shushtar) เมืองโบราณในประเทศอิหร่านก็เป็นหนึ่งในมรดกโลกปีนี้ เพราะความที่ซูร์ตาร์มีระบบชลประทานที่น่าทึ่ง ผันน้ำมาใช้ประโยชน์ในการทำเกษตรกรรมในพื้นที่กว่า 40,000 เฮกตาร์ ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน
ด้าน "ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สุลาเมน"( Sulamain)ประเทศคีร์กีซสถาน หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม และเป็นเทือกเขาโบราณสำคัญของนักเดินทางบนเส้นทางสายไหม ก็เป็นมรดกโลกแห่งใหม่ด้วยเช่นกัน
เช่นเดียวกับ "เมืองศักดิ์สิทธิ์คาเรล ซูฟ" (Caral-Supe) ตั้งอยู่ในประเทศเปรู เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกาใต้ มีความซับซ้อนของสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสาวรีย์หินโบราณ ทำให้ยูเนสโกมองเห็นความสำคัญและมอบความเป็นมรดกโลกให้
ตามติดด้วย "ประภาคารเฮอร์คิวลิส" (Hercules) อยู่ในประเทศสเปน เป็นประภาคารและสถานที่ทางเข้าของ 'ลา คอรุญญา' ท่าเรือสำคัญ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสเปน สร้างขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 1 ในบริเวณเดียวกันมีสวนประติมากรรม หินแกะสลักจากเหล็กและสุสานมุสลิม ในยุคที่อาณาจักรโรมันยังเรืองอำนาจ ถือเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่บ่งบอกถึงประภาคารโบราณสมัยกรีก-โรมัน ซึ่งยังคงให้เห็นความสมบูรณ์แบบของรังวัดในโครงสร้างและการทำหน้าที่แต่ละส่วนสอดคล้องต่อเนื่อง
"เมืองลาโชซ์-เดอฟองด์ และเมืองเลอโลเคิล"( La Chaux-de-Fonds/Le Locle watchmaking town-planning) แหล่งผลิตนาฬิกาที่ขึ้นชื่อของสวิตเซอร์แลนด์ ถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลกเช่นกัน ในฐานะเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นด้านเมืองแห่งประวัติศาสตร์การบุกเบิกอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งยังคงอนุรักษ์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสืบทอดความยิ่งใหญ่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างมีชีวิตชีวา
และมรดกโลกอีกหนึ่งส่งท้ายของปีนี้ก็คือ "สะพานส่งน้ำพอนต์ซิซิลเต"( Pontcysyllte) แห่งสหราชอาณาจักร มีความยาว 18 กม. ซึ่งทอดตัวอยู่เหนือคลองที่ขุดตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ในแคว้นเวลส์ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ สร้างคุณูปการในเชิงวิศวกรรมโยธาแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม ด้วยการก่อสร้างที่จับต้องสัมผัสได้ โดดเด่นในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะกลวิธีออกแบบที่ไม่ต้องใช้ตัวสลัก ถือเป็นการบุกเบิกผลงานชิ้นเอกแห่งวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมโลหะโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดี
พร้อมกันนี้ทางยูเนสโกได้เพิ่มรายชื่อของ "อุทยานธรรมชาติปะการังทับบาตาฮา"( Tubbataha )ของฟิลิปปินส์เป็นส่วนขยายจากอุทยานทางทะเลทับบาตาฮา ซึ่งเป็นมรดกโลกไปก่อนหน้านี้ เพื่อความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ส่งท้ายด้วยเรื่องเศร้าที่ทางยูเนสโกได้ประกาศถอดถอน "หุบเขาเดรสเดน เอลเบ" (Dresden Elbe ) ทางฝั่งตะวันออกของเยอรมนี ออกจากบัญชีมรดกโลก หลังจากที่รัฐบาลเยอรมนี มีแผนก่อสร้างสะพานคอนกรีตกับเหล็กกล้าความกว้างขนาดถนน 4 เลน ระยะทาง 600 เมตร ตัดใจกลางหุบเขา นับว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับเมืองไทยถ้าหากยังคงนิ่งนอนใจกับมรดกโลกที่มีอยู่ โดยไม่ร่วมกันดูแลแต่กับปล่อยปละละเลยให้พื้นที่มรดกโลกถูกทำลายจนเสื่อมโทรม ไม่ว่าจะเป็นที่อยุธยาหรือที่เขาใหญ่ตามที่เป็นข่าว สักวันหนึ่งมรดกโลกในเมืองไทยอาจถูกถอดถอนอย่างหุบเขาเดรสเดน เอลเบ ก็เป็นได้
เรื่องแบบนี้อย่าชะล่าใจไป...