เช้าตรู่วันนี้พวกเราเริ่มเก็บสัมภาระ-สัมภารกทั้งหลายขึ้นรถด้วย เพื่อเตรียมพร้อมกับหนทางที่กำลังจะเผชิญในเบื้องหน้า เพราะจากเมืองมรดกโลกหลวงพระบางแห่งนี้เราจะต้องนั่งรถกันไปอีก 200 กว่ากิโลเมตร ที่ใช้เวลาในการเดินทางถึงประมาณ 7 ชั่วโมง เพราะต้องขั้นลงเขาผ่านหลายร้อยโค้ง
ระหว่างการเดินทาง พวกเรานั่งรถกันมาแบบเอียงซ้ายทีขวาที ไม่รู้กี่โค้งต่อกี่โค้ง แต่เท่าที่ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" นับแล้วได้ ก็แค่ 2 โค้งเท่านั้น คือโค้งซ้ายและโค้งขวา แต่จะโค้งซ้ายกี่ครั้ง โค้งขวากี่หน “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ก็ไม่สามารถจะนับได้ ไกด์คงจะกลัวพวกเรากระวนกระวายนอนตาไม่หลับเนื่องจากไม่สามารถนับจำนวนโค้งได้ จึงได้เฉลยว่าจากหลวงพระบางถึงวังเวียงพวกเราต้องผ่านโค้งมากถึง 3,627 โค้ง
แต่ในที่สุดพวกเราก็มาถึงยัง "วังเวียง" อย่างราบรื่นปราศจากความเละเทะใดๆ สำหรับเมืองวังเวียงแห่งนี้ ได้รับฉายาว่า "กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว" เพราะภูมิประเทศเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติสายน้ำและขุนเขาที่ทอดตัวสลับทับซ้อน รูปทรงดูแปลกตาสวยงามตามจินตนาการ
ชาวคณะของเราเดินทางมาถึงวังเวียงแห่งนี้ในเวลาเกือบเย็น โดยวางโปรแกรมเที่ยวไว้ว่า เราจะไปขี่จักรยานชมเมือง นั่งเรือชมแม่น้ำซอง และไปยลถ้ำจัง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่อากาศไม่เอื้ออำนวย มีฝนโปรยปรายลงมาทำให้พวกเราต้องงดกิจกรรมต่างๆเอาไว้ เหลือเพียงการนั่งเรือล่องชมแม่น้ำซองเท่านั้น
เมื่อฝนหยุดเม็ด พวกเราพากันลงล่องเรือใน "ลำน้ำซอง" ลำน้ำสายสำคัญแห่งวังเวียง ที่สองข้างทางแวดล้อมไปด้วยขุนเขา สลับบ้านเรือนเล็กๆ วิถีชีวิตการทำไร่นา หาปลาหาไคหรือสาหร่ายแม่น้ำ นอกจากลำน้ำซองจะเป็นลำน้ำแห่งชีวิตแล้ว ยังเป็นลำน้ำแห่งการท่องเที่ยวอีกด้วย
ตลอดทางที่พลพรรคของเราล่องเรือกันนั้น สวนทางกับนักท่องเที่ยวที่ส่วนมากจะเป็นพวกหัวทองหัวแดงที่บ้างก็พายแคนูมาเป็นกลุ่มๆ บ้างก็นั่งห่วงยางลอยตามกระแสน้ำ มาเป็นคู่ๆบ้างมาเป็นกลุ่มเป็นก้อนบ้าง แต่ก็ไม่ลืมที่จะทักทายพวกเราอย่างสนุกสนานเบิกบาน และอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าหวาดเสียวแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความนิยมก็คือ การโหนตัวลงจากที่สูง บางคนก็ตีลังกา 3 ตลบก่อนปล่อยมือโดดลงน้ำอย่างสวยงาม จนผู้ดูอย่าง "ผู้จัดการท่องเที่ยว" อยากจะยกป้ายคะแนนเต็ม 10 ให้เหมือนในโอลิมปิกจริงๆ
หลังจากแอบดูแบบเกาะติดขอบสนามกันจนเต็มอิ่มแล้ว ระหว่างล่องเรือกลับชาวคณะของเรารู้สึกว่าโชคดีเป็นอย่างมากเพราะได้เห็นรุ้งกินน้ำสีสันสดใสไปตลอดทาง สงสัยจะเป็นรางวัลปลอบใจให้พวกเราที่ฝนตกจนต้องลดโปรแกรมเที่ยวในแบบอื่นๆ
สำหรับที่แห่งนี้ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" และเพื่อนร่วมทริปอีกหลายคนให้ความเห็นตรงกันว่า เมืองวังเวียงกุ้ยหลินเมืองลาวให้ความรู้สึกเหมือน เมืองปาย จ.แม่ฮ่องสอนของบ้านเรา อาจจะด้วยภูมิประเทศที่มีสายน้ำไหลผ่านล้อมรอบด้วยขุนเขาใหญ่ทอดตัวสลับทับซ้อนไปมา บรรยากาศของสายหมอกที่ปกคลุมในยามเช้า ก็เป็นได้
และแล้วเวลาก็ไม่เคยคอยใคร เมื่อเช้าวันใหม่มาถึง พวกเราก็ต้องจากลาวังเวียงเพื่อไปยัง "นครเวียงจันทน์" เมืองหลวงแห่ง สปป.ลาวกันต่อด้วยรถคันเดิม ด้วยระยะทางประมาณร้อยกว่ากิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง แต่หนทางไม่ชวนคลื่นเหียนเวียนหัวเหมือนทางจากหลวงพระบางมาวังเวียง
สำหรับเมืองเวียงจันทน์ ตามประวัติเล่าว่า บริเวณที่ตั้งเมืองนี้เคยเป็นเมืองเก่าแก่มาก่อน เดิมเรียกว่าเมืองเวียงจันทน์เวียงคำ จนกระทั่ง พ.ศ. 2103 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง ทรงสถาปนาเวียงจันทน์ขึ้นเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างและทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงทองหรือหลวงพระบาง มาสร้างเมืองหลวงใหม่ที่เวียงจันทน์ นับแต่นั้นมา
เมื่อรถของพวกเราใกล้ถึงเวียงจันทน์มากเท่าไร เราก็ยิ่งได้เห็นความเจริญของเมืองแห่งนี้มากขึ้น เนื่องจากนครเวียงจันทน์ เป็นเมืองหลวงของลาว และเป็นศูนย์กลางความเจริญทั้งหมดของประเทศ ทั้งถนนหนทางตึกรามบ้านช่องจึงดูต่างไปจากเมืองอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
สถานที่ที่เราจะไปประเดิมกันเป็นแห่งแรกในนครหลวงเวียงจันทน์แห่งนี้ก็คือ “พระธาตุหลวงเวียงจันทน์” เป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองเวียงจันทน์ เดิมเป็นพระธาตุองค์เล็กๆ ชื่อว่า องค์พระธาตุศรีธรรมาโศก เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือในยุคอาณาจักรศรีโคตรบอง มีอายุร่วมสมัยกับพระธาตุพนมในบ้านเรา เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนกระดูกหัวเหน่า ต่อมาในปี พ.ศ.2109 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงสร้างพระธาตุหลวงใหม่ครอบองค์พระธาตุเดิม และให้ชื่อว่า "พระธาตุเจดีย์โลกจุฬามณี"
พระธาตุหลวงแห่งนี้ได้ถูกทำลายเสียหายหลายครั้งและชาวลาวได้บูรณะขึ้นใหม่เป็นรูปทรงตามคติจักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง และมีเจดีย์ธาตุบริวารล้อมรอบ 30 องค์ งดงามด้วยสีทองอร่ามสูง 45 เมตร นับเป็นพระธาตุที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดในลาวเลยทีเดียว
ก่อนจะเดินเท้าไปถึงยังองค์พระธาตุหลวง "ผู้จัดการท่องเที่ยว" ผ่าน "พระราชานุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช" ในท่าประทับนั่ง ให้พวกเราได้กราบไหว้และถ่ายรูปสวยๆเก็บไว้หลายแช๊ะ
จากนั้นก็ไปต่ออารมณ์กันที่ "หอพระแก้ว" ฟังชื่อก็คงจะรู้แล้วว่าแต่เดิมเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ซึ่งพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชอัญเชิญมาจากเชียงใหม่ ต่อมาเมื่อมีการอัญเชิญพระแก้วมรกตมายังประเทศไทยของเรา หอพระแก้วก็ได้ถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของโบราณ เช่น พระพุทธรูป ตู้ใบลาน กลองมโหระทึกสำริด ศิลาจารึก เป็นต้น
จากหอพระแก้วพวกเราเดินข้ามถนนไปยัง "วัดสีสะเกด" เจ้าอนุวงศ์ทรงให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2361 ตามอย่างศิลปะไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงเป็นสาเหตุที่ไทยไม่ทำลายวัดแห่งนี้ หลังบุกเข้าสู่นครเวียงจันทน์ในปี พ.ศ. 2371 วัดสีสะเกดจึงนับได้ว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองนี้
ผนังด้านในของระเบียงคดที่ล้อมรอบอุโบสถทั้ง 4 ด้าน เป็นช่องกุดเล็กๆ ที่มีซุ้มโค้งแหลมจำนวนมาก ภายในช่องกุดบรรจุพระพุทธรูปเล็กๆ และพระพุทะรูปเงินองค์ใหญ่ รวมแล้วกว่า 2,000 องค์ ภายในวิหารใหญ่ตรงกลางเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หลังจากที่พวกเรากราบไหว้ขอพรจนเป็นนิสัยกันแล้วก็พากันถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆรอบวัดอย่างเพลิดเพลิน
และสถานที่สุดท้ายท้ายสุดที่คณะของเราจะแวะชมก็คือ "ประตูชัย" ซึ่งเป็นซุ้มประตูขนาดใหญ่ สร้างเสร็จในปี พ.ศ.2512 เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึก ถึงประชาชนชาวลาว ผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์
ประตูชัยแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า รันเวย์แนวตั้ง เพราะการก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้ใช้ปูนซิเมนต์ที่อเมริกาซื้อมาเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ใน นครเวียงจันทน์ในระหว่างสงครามอินโดจีน แต่ไม่ทันสร้างเพราะอเมริกาพ่ายเวียดนามเสียก่อน จึงนำปูนเหล่านั้นมากสร้างประตูชัยแทนตามลักษณะประตูชัยที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมก็ยังคงเป็นศิลปะแบบล้านช้าง ไม่ว่าจะเป็นยอดปราสาทบนประตู ลวดลายปูนปั้นและภาพวาดบนเพดาน ที่เสาประตูมีทางเดินขึ้นไปชมวิวด้านบนอีกด้วย
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่พลพรรคของเราไม่ได้ขึ้นไปชมวิวมุมสูงของนครหลวงเวียงจันทน์ เนื่องจากเสียเวลาในการชมสถานที่อื่นๆมากไปหน่อย โดยพวกเรามุ่งหน้าสู่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 1 เพื่อเข้าสู่ประเทศไทยที่จังหวัดหนองคายและมุ่งตรงไปยังสนามบินอุดรธานีให้ทันเวลาเช็คอิน มิเช่นนั้นตกเครื่องตายตอนจบ เสียชื่อเป็นแน่ แต่ก่อนจะลาจากสปป.ลาว "ผู้จัดการท่องเที่ยว" ก็ต้องขอขอบใจหลายๆไกด์ชาวลาวของเราทุกคน และขอกล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำเมื่อเข้าถึงเขตแดนประเทศไทยว่า "สวัสดีเมืองไทย" ที่คุ้นเคยอีกครั้งหนึ่ง
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
กรุงเวียงจันทร์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย นักท่องเที่ยวสามารถข้ามแดนผ่านทางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 ได้ ซึ่งสำหรับผู้ที่สนใจทริปท่องเที่ยวลาวเป็นวงรอบ เชียงของ(เชียงราย)-ปากแบ่ง-หลวงพระบาง-วังเวียง-เวียงจันทน์-หนองคาย สามารถสอบเพิ่มเติมได้ที่ บริษัททรอปิคอล สตาร์ ทราเวล โทร.0-2513-4913 ต่อ 2513,4996
อ่านเรื่องสะบายดีเมืองลาวเพิ่มเติมได้ที่นี่
สะบายดีเมืองลาว(1) : ล่องโขงจากเชียงของสู่หลวงพระบาง
สะบายดีเมืองลาว(2) : สะบายดีหลวงพระบาง