นิธิชัย ยศอมรสุนทร หรือ ‘หยวน’ พิธีกรหนุ่ม มากความสามารถ นักร้องอดีตวงบอยแบนด์ ชื่อดังนาม ‘ดรากอนไฟฟ์’ ดาราหนุ่มที่เพิ่งฝากผลงาน ล่าสุดไว้กับบทบาทของ ‘หนุ่ย’ สจ๊วตแห่ง ‘สงครามนางฟ้า’ รวมทั้งละครอีกหลายเรื่อง
ขณะที่บทบาทอีกด้านของเขา คือ ชายหนุ่มผู้สนใจ ใฝ่ธรรม ทั้งการศึกษาและการปฏิบัติ
“หากถามผมว่าธรรมะคืออะไร ธรรมะก็คือธรรมชาตินั่นแหละครับ คือความธรรมดา ธรรมะของผมไม่จำเป็นว่าคุณต้องคร่ำเคร่งกับการนั่งวิปัสสนา ไม่จำเป็นว่าต้องปฏิบัติอย่างคร่ำเคร่งมากมาย แต่ผมไม่ได้หมายความว่าการปฏิบัติอย่างนั้นไม่ดีนะครับ เป็นสิ่งที่ดีมาก แต่สำหรับผมแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีสติอยู่เสมอ คือการระลึกรู้ตัว ว่าตัวเองกำลังทำอะไร สำคัญที่สุดคือการอยู่กับปัจจุบัน”
หยวนขยายความเพิ่มเติมอย่างน่าสนใจว่า การอยู่กับปัจจุบัน ยอมรับในสิ่งที่ตนเองเป็น และพร้อมรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เราผ่านพ้นแต่ละวันไปได้อย่างสงบ ไม่ว้าวุ่น
“คุณไม่มีความสุขหรอกครับ ถ้าหากว่าคุณฝังตัวเองไว้กับอดีต อยู่กับเรื่องเลวร้าย หรือความทุกข์ครั้งเก่าๆ ที่ผ่านมาแล้ว หรือแม้ไม่ใช่ความทุกข์แต่เป็นความสุขในครั้งเก่าก่อนที่คุณยังคงยึดมั่นอยู่กับมัน ยังเพ้อยังฝันทั้งๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหาตรงหน้า คือไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์หรือว่าความสุขที่ผ่านมา อย่าไปยึดติดกับมัน ขอให้อยู่กับปัจจุบัน หรือแม้แต่เหตุการณ์ในอนาคต เรื่องที่ยังมาไม่ถึงก็เช่นกัน บางคนจะชอบคิดฟุ้งซ่าน ว่ามันต้องอย่างนั้นอย่างนี้ หวาดกลัวไปก่อน ว่าต้องเจอเรื่องไม่ดี เช่น คุณอาจกลัวว่าจะต้องเลิกกับแฟน ตกงาน ไม่มีเงินใช้ งั้นผมขอถามหน่อยว่า ไม่ว่าคุณจะต้องพบกับอะไรก็ตาม จะอกหัก ตกงาน หรือปัญหาอื่นๆ สิ่งที่คุณจะรู้สึกคืออะไรครับ มันก็คือความทุกข์ ไม่ว่าจากเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วจะทุกข์ไปก่อนทำไม มันคือสิ่งที่เราหนีไม่พ้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นที่ทำได้และควรจะทำก็คือ อยู่กับปัจจุบัน และอยู่อย่างมีสติ อยู่อย่างเข้าใจ ยอมรับ เพื่อที่ว่าเมื่อมีทุกข์แล้ว เราจะสามารถยอมรับและอยู่กับมันได้ พูดให้ง่ายเข้ามันก็คือการปล่อยวางนั่นแหละครับ แต่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีสติที่หนักแน่น มีจิตใจที่เข้มแข็ง ซึ่งต้องฝึกตัวเองให้ได้อย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา”
อย่างไรก็ดี หนุ่มหยวนออกตัวและยอมรับว่า แม้เขาจะเชื่อมั่นในการครองสติอยู่เสมอ กระนั้นตัวเองก็ใช่ว่าจะทำได้อย่างที่พูดทุกครั้งไป แต่เขาก็พยายามที่จะทำให้ดีที่สุด
“ข้อดีของการมีสติคือ ทำให้คุณเกิดความตั้งใจที่จะทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ทำให้ทุ่มเท มุ่งมั่นและรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำอยู่อย่างดีที่สุด เพื่อที่จะไม่เสียใจในวันหน้า หรือเมื่อนึกย้อนกลับไปแล้วจะได้มั่นใจว่า ถึงอย่างไรเราก็ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด”
กับการรับมือเรื่องข่าวคราวต่างๆ ที่เหล่าดาราศิลปิน มักต้องเผชิญอยู่เสมอ ชายหนุ่มก็แสดงทรรศนะได้อย่างน่าสนใจ
“อยู่ในวงการบันเทิงหนีปัญหานี้ไปไม่พ้นอยู่แล้วครับ ดังนั้นถ้าหากว่าจิตใจของคุณไม่มั่นคง วุ่นวายไปกับทุกๆ ครั้งที่มีข่าววิ่งมากระทบ คุณก็ต้องเป็นทุกข์ ต้องเหนื่อยไปกับมัน สำหรับผม ผมจะมองว่าเรื่องของข่าวต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่เฉพาะวงการบันเทิงหรอกครับ เป็นเรื่องของมนุษย์ทุกคนก็ว่าได้ การว่าคนอื่นลับหลัง การใส่ร้ายป้ายสีให้เขาเสียหาย มันเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ต้องเจอ เพียงแต่คนที่อยู่ในวงการอาจเจอมากกว่าเท่านั้นเอง ในแง่หนึ่งผมยอมรับว่าข่าวที่ออกมานั้น หากว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ผู้ที่เขียนข่าวขึ้นมาเสริมเติมเรื่องเข้าไป นั่งเทียน ให้ร้าย หรือใส่อะไรก็ตามแต่ที่มันไม่ใช่ความจริง ผมยอมรับว่านั่นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะคุณทำให้คนคนหนึ่งที่เขาไม่ได้มีความผิดอะไรต้องเดือดร้อน ต้องถูกคนอื่นๆในสังคมที่เชื่อข่าวนั้น มองเขาไม่ดีไปด้วยทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ขณะเดียวกันครอบครัวของเขา พ่อแม่พี่น้อง ก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย
แต่ในอีกมุมหนึ่ง เมื่อเราไม่สามารถไปห้ามได้ เราก็ต้องปล่อยวางครับ อย่าไปวุ่นกับทุกเรื่องที่มันเข้ามากระทบ ยิ่งถ้ามันเป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องไม่จริง เราก็ต้องทำใจ ว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดามากๆ การนินทา ว่าร้าย เราหนีไปไม่พ้น”
และดาราหนุ่มยังบอกถึงการใช้ชีวิตท่ามกลางกระแสวัตถุนิยม ที่กำลังถาโถมเข้าสู่ผู้คน
“วิถีแห่งความพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านตรัสไว้ นั่นคือความจริงอย่างที่สุดแล้วครับ เป็นความจริงที่นำมาใช้ได้กับทุกคนทุกชีวิตไม่ว่าคุณจะอาศัยอยู่ที่ไหน สภาพแวดล้อมอย่างไร ถ้าหากคุณพอใจ เข้าใจ และยอมรับได้ในสิ่งที่ตนเองมี อยู่ คุณก็สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
ถ้าคุณไม่พอใจในสิ่งที่คุณมี แล้วก็หวาดกลัวกับอะไรที่มันยังมาไม่ถึง ถ้าทะเยอทะยาน มัวแต่คิดและกลัว กลัวตกงาน กลัวโดนไล่ออก กลัวเงินเดือนไม่เพิ่มขึ้น กลัวว่าออกจากบ้านแล้วจะเสียเงิน คงไม่ผิดนะครับถ้าจะบอกว่า ทุกๆคนเวลาออกจากบ้านในแต่ละวันก็คิดกันทั้งนั้นว่าวันนี้เราต้องหาเงินเข้ากระเป๋า เหตุผลหลักๆ ที่เราทำงานกันก็เพราะเงิน ทำยังไงเราจะไม่ให้ความคิดนั้นมารบกวน นั่นก็คือ พูดง่ายๆ ว่าแค่คิดก็ทุกข์แล้วครับ อย่าไปคิดมัน อย่าฟุ้งซ่าน ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่มันเป็น
ทุกวันนี้คนเรานึกถึงแต่ตัวเอง อาจเป็นเพราะเทคโนโลยีมันเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของเรามากหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้นะ แต่ว่าเราสามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้ ทุกคนสามารถเข้าถึงธรรมได้ง่ายขึ้นเลย ง่ายกว่าเมื่อก่อนมากๆ คิดถึงผู้คนยุคบรรพบุรุษของเราสิครับ โอ้โฮ! กว่าจะได้พระไตรปิฎกแต่ละแผ่น ต้องจารึกลงในใบลาน ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเขียน ได้แต่ละแผ่นกว่าจะเย็บเป็นเล่ม”
ไม่เพียงแต่ชายหนุ่มจะศึกษาธรรม แล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว เขายังหาโอกาสไปทำบุญและปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ
“การทำบุญทำได้หลายรูปแบบ แล้วผมก็ทำมาตลอดโดยไม่จำเป็นว่าต้องเป็นวันพระหรือเปล่า ผมเองก็ทำบุญทั้งตามแบบประเพณี แล้วก็ทำในรูปแบบอื่นๆ ผมมีกัลยาณมิตรทางธรรมที่มักจะชวนกันทำบุญอยู่เสมอ ไม่ว่าไถ่ชีวิตโค กระบือ บริจาคทำนุบำรุง พระพุทธศาสนา”
เขาเล่าเพิ่มเติมว่า มักจะหาเวลาไปทำบุญที่วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม ซึ่งพระครูโสภิตวิริยาภรณ์ พ่อบุญธรรมของเขาจำวัดอยู่
“ผมจะหาโอกาสไปกราบท่านพระครูอยู่เสมอ ไปปฏิบัติธรรม ไม่นานมานี้ผมก็ไปสร้างพระพุทธรูปศิลา ไว้ที่วัด เป็นการทำบุญอย่างหนึ่งที่ทำให้จิตใจของผมสุขสงบ”
หยวนฝากข้อคิดทิ้งท้ายไว้ว่า
“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าหากคุณมีธรรมอยู่ในใจ ก็เหมือนมีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ ผมรู้สึกอย่างนั้นนะ”
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 90 พ.ค. 51 โดย รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล)