xs
xsm
sm
md
lg

ราชดำเนิน ในมุมสวยงามและมุมเลวทรามต่ำช้า/ ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี
บรรยากาศการชุมนุมของพันธมิตรฯในคืนวันที่ 25 พ.ค. 51
          “โอ้ ราชดำเนิน ถนนแห่งวีรชน
สวรรค์เบื้องบน รู้ดีเราสู้เพื่อใคร
เพื่อประชาชน เพื่อชาติประชาธิปไตย
แผ่นดินอยู่รอดปลอดภัย เพราะเราคนไทยไม่เห็นแก่ตัว...”

ท่อนแรก บทเพลง"ราชดำเนิน" : ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว)

เวลานึกถึงถนนราชดำเนินคราใด เนื้อร้องและทำนองของเพลงนี้มักจะผุดแว่บขึ้นมาในห้องคำนึงเสมอ

เพลงนี้น้าแอ๊ด คาราบาว แต่งได้ดีและกินใจไม่น้อย

แต่น่าเสียดายที่น้าแอ๊ดวันนี้ไม่เหมือนกับน้าแอ๊ดในช่วงพฤษภาทมิฬ

ผิดกับถนนราชดำเนินจากอดีตถึงวันนี้ยังคงเป็นถนนเส้นเดิม ถนนที่แม้จะรถติดไปบ้าง เลอะเทอะไปบ้าง เสียงดังไปบ้าง จอแจไปบ้าง แต่ถนนสายนี้ยังคงเป็นถนนสายสำคัญทางประวัติศาสตร์และหนึ่งในถนนสายงามน่าเที่ยวชมในอันดับต้นๆของเมืองไทย

มุมสวยงาม

ถนนราชดำเนิน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5(พ.ศ.2422) พระองค์โปรดให้สร้างเพื่อเป็นที่เสด็จพระราชดำเนินระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังดุสิต และเพื่อความสง่างามของบางกอก รวมถึงให้ประชาชนใช้เป็นที่เดินเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ แบ่งเป็น 3 ช่วงหลักด้วยกันคือ ราชดำเนินใน(ตั้งแต่ช่วงวัดพระแก้ว ศาลหลักเมือง ผ่านสนามหลวงไปจนถึงสะพานผ่านพิภพลีลา) ราชดำเนินกลาง(ตั้งแต่สะพานผ่านพิภพลีลา ผ่านสี่แยกคอกวัว อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยป้อมมหากาฬ ไปจนถึงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ) และราชดำเนินนอก(ตั้งแต่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ผ่านสี่แยกมัฆวานรังสรรค์ ไปจนถึงที่ลานพระบรมรูปทรงม้า)

จากอดีตมาจนถึงวันนี้ใครและใครหลายคนยกให้ถนนราชดำเนินเป็นดัง“ชองอะลิเซ่เมืองไทย” เพราะมีส่วนคล้ายกับ“ถนนชองอะลิเซ่”ในฝรั่งเศส

ผมไม่รู้ว่าถนนถนนชองอะลิเซ่(ต้นฉบับ)ในฝรั่งเศส หากไปย่ำเท้าเดินแล้วจะวิจิตรเพริศแพร้วปานใด(เพราะยังไม่เคยไปเดิน) รู้แต่ว่าชองอะลิเซ่เมืองไทยที่กรุงเทพฯนี่มีเสน่ห์ไม่เบา ซึ่งแม้จะไม่ใช่คนแถวนี้ แต่ว่าก็เคยเดินผ่านถนนสายนี้มาโชกพอตัว โดยเฉพาะราชดำเนินในนี่ ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย(ผมเรียนมหาวิทยาลัยแถวนั้น) ต้องขึ้นรถเมล์ สาย 203 ผ่าน แทบทุกวัน(มีบ้างบางวันที่หยุดไปเพราะโดดเรียน)

ส่วนพอมาทำงานก็อยู่ใกล้ๆกับถนนราชดำเนินอีก วันดีคืนดีแดดร่มลมตกนึกครึ้มอกครึ้มใจก็ซื้อเบียร์เดินจิบดูบรรยากาศสีสันราชดำเนิน ไล่ตั้งแต่ราชดำเนินในแวะดูบรรยากาศอันขรึมขลังของวัดพระแก้วและศาลหลักเมืองจากด้านนอก ดูวิถีของผู้คนที่ดิ้นรนต่อสู้ชีวิตจำนวนหนึ่งบริเวณสนามหลวง ที่ในวันดีคืนร้ายจะมีสาวๆอาชีพพิเศษเก่าแก่ 1 ใน 2 ของโลก เข้ามาทักทายชวนไปนอนด้วยแต่ห้ามเบี้ยวค่าตัว

งานนี้ผมขอปฏิเสธแล้วเดินหน้าต่อไปยังราชดำเนินกลาง แวะหยุดดูอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ตั้งตระหง่าน

แม้พานรัฐธรรมนูญยักษ์สีทองเหลืองอร่ามสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตยยังดูขรึมขลังน่าศรัทธาไม่เสื่อมคลาย ทว่ากับประชาธิปไตยในบ้านนี้เมืองนี้ก็ยังคงลุ่มๆดอนๆ บัดเดี๋ยวครึ่งใบ บัดเดี๋ยวเสี้ยวใบ บัดเดี๋ยวไม่มี

สมัยก่อนคนฉีกรัฐธรรมนูญจะมีแต่พวกทหารเท่านั้น แต่มายุคนี้ พ.ศ.นี้ อะไรๆก็เกิดขึ้นใคร เพราะจู่ๆพวกชคม.(ชั่วครองเมือง) มันก็คิดการณ์ใหญ่ด้วยการพยายามล้มล้างรัฐธรรมนูญ เพื่อฟอกผิดให้กับนายใหญ่ ตัวเอง และพวกพ้อง

เฮ้อ...กับคนพวกนี้ไม่รู้จะว่ายังไงดี ได้แต่อุทานเป็นสำนวนอาฉีเสียงหล่อว่า “อะ ฮ้า บัดซบจริงๆเลย”

ผ่านมาประมาณเกือบครึ่งราชดำเนินแล้ว ใครที่รู้สึกเหนื่อยก็หยุดพักกันได้ แต่หากจะนั่งพักแบบเป็นเรื่องเป็นราว ขอแนะนำว่าให้นั่งพักและชมความงามที่ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์-อนุสาวรีย์ ร.3
ณ บริเวณนี้ใครมาก็อย่าพลาดการชมโลหะปราสาท(ที่เหลือ)หนึ่งเดียวในโลก ป้อมมหากาฬ ป้อม 1 ใน 2 ของ กทม.ที่เหลืออยู่ และภูเขาทองสีทองอร่ามที่เห็นเด่นเป็นสง่าแต่ไกล

จากจุดนี้ไปวันไหนผมมีพลังเหลือก็จะเดินไปยังราชดำเนินนอกเพื่อไปสักการะ อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 ส่วนวันไหนหมดแรงก็จะกลับออฟฟิศหรือไม่ก็ขึ้นรถกลับบ้าน

และนี่ก็เป็นแง่งามตามมุมดีๆบนถนนราชดำเนินที่ไม่แทบต้องลงทุนอะไร แต่อาจต้องอาศัยลงแรงมากหน่อยซึ่งก็ถือเป็นการเดินออกกำลังไปในตัว

มุมเลวทรามต่ำช้า

          “โอ้ราชดำเนิน ทอดยาวเรื่องราวต่อสู้
ทุกคนได้รู้ ยามสู้คนไทยไม่กลัว
ไตรรงค์สะบัด โบกพัดในคืนสลัว
แม้ปืนเจ้ายิงถี่รัว ระงมไปทั่วท้องราชดำเนิน...


ท่อน 2 บทเพลง"ราชดำเนิน" : ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว)

ถนนราชดำเนิน นอกจากจะมากไปด้วยสิ่งน่าสนใจชวนชมแล้ว ถนนสายนี้ยังเป็นถนนสายประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองไทย

ผมแม้เกิดไม่ทันการเดินขบวนช่วง 14 ตุลา 16 แต่กับช่วงพฤษภาทมิฬนั้นได้มีโอกาสไปร่วมประท้วงไล่กับเขาด้วย

ตอนนั้นผมกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งเพิ่งเอ็นต์ทรานซ์ติดสดๆใหม่ๆ แต่แทนที่พวกเราจะไปฉลองกันตามผับ เธค เหมือนกับเพื่อนๆทั่วไป พวกเรากลับเลือกไปร่วมขบวนประท้วงขับไล่เผด็จการ ซึ่งฉากจบสุดท้ายของพฤษภาทมิฬก็อย่างที่รู้ๆกันอยู่

จากนั้นวันเวลาผันผ่านไปได้ 14 ปี ผมมีโอกาสลงไปเดินขบวนบนกลางถนนราชดำเนินอีกครั้งกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อขับไล่รัฐบาลทรราชย์ทักษิณ ซึ่งภาพการเดินขบวนใหญ่ในวันที่ 14 มี.ค. 49 ที่มีประชาชนนับแสน เคลื่อนขบวนไปอย่างมีอารยะ เป็นระเบียบ สวยงาม สงบ อหิงสา ปราศจากความรุนแรง จากสนามหลวงผ่านราชดำเนินไปสู่ทำเนียบนั้น ถือเป็นหนึ่งในแง่งามความประทับใจของใครหลายๆคนที่มีโอกาสได้ร่วมขบวนครั้งนั้นไม่เคยลืม

แต่หลังจากนั้นอีก 2 ปี ถัดมา ในการชุมนุมเมื่อวันอาทิตย์ ที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าแง่งามของการชุมนุมต่อต้านการฉีกรัฐธรรมนูญ 50 เพื่อนายใหญ่ ตัวเอง และพวกพ้องของรัฐบาลลูกกรอกอย่างสงบอหิงสาของพันธมิตรฯ จะถูกทำลายลงด้วยการก่อกวน ป่วน ทำร้าย ของพวก“อันธพาลข้างถนน”อยู่อย่างต่อเนื่อง จนนำมาซึ่งการปะทะกันในที่สุด 

ที่น่าแปลกก็คือ พวกอันธพาลข้างถนนจำนวนไม่กี่ร้อยทำไมสามารถเคลื่อนขบวนจากท้องสนามหลวงมาประจันหน้ากับกลุ่มพันธมิตรฯนับหมื่นแถวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยได้อย่างง่ายดายสะดวกโยธิน ชนิดที่หลายคนอดงงไม่ได้ว่า ทำไมตำรวจถึงปล่อยให้อันธพาลข้างถนนเหล่านั้นบุกเข้ามาก่อกวนพันธมิตรฯได้อย่างง่ายดายกระไรปานนั้น

ที่น่าแปลกก็คือ ทำไมอันธพาลข้างถนนจำนวนจำนวนไม่กี่ร้อยถึงกล้าฮึกเหิม ตะโกนด่า ท้าตีท้าท้าต่อย ขว้างปาสิ่งของ รวมถึงเข้าเผชิญหน้า ลงมือ ลงไม้ ลงขวดน้ำ ลงก้อนอิฐ กลับกลุ่มพันธมิตรฯที่มีคนนับหมื่นเหมือนกลับมั่นใจว่าพวกเขาทำยังไงก็ไม่ถูกจับ

ที่น่าแปลกก็คือ ตำรวจจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ได้แต่ยืนทำตาปริบๆโดยไม่ทำอะไรเลย

สำหรับแง่มุมเหล่านี้ผมถือว่าเป็นความเลวทรามที่ไม่น่าเกิดขึ้นบนถนนราชดำเนิน ในยุคนี้ พ.ศ. นี้ หรือในยุคไหน พ.ศ. ไหน ส่วนที่ไม่รู้สึกแปลกใจก็เห็นจะเป็นการตั้งข้อสังเกตของใครหลายๆคนที่บอกว่า งานนี้น่าจะมีไอ้โม่งชักใยอยู่และมันอยากให้เกิดการปะทะกันของมวลชนจนนองเลือด และนำไปสู่การสลายการชุมนุม ดังเช่น การตั้งข้อสังเกตของ เจ้าของนามปากกา“สิงห์ม่วง”จากคอลัมน์ บนความเคลื่อนไหว ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ หน้า 15 ที่บางส่วนของบทความในวันที่ 27 พ.ค. 51 กล่าวว่า

>>> แว่วท่าทีของ“พลพรรคสีกากี” เป็นไปตามแผนของรัฐบาลที่เตรียมเอาไว้ เพื่อปล่อยให้สถานการณ์บานปลายจน“สุกงอม”ด้วยตัวของมันเอง พร้อมๆกับการเร่งก่อ “สงครามข่าว” ผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อปลุกเร้าให้ประชาชนทั่วไปโกรธแค้นม็อบ สุดท้ายก็จะมอบ“ใบอนุญาต” ให้ตำรวจใช้กำลังเข้าปราบและสลายการชุมนุมโดยชอบธรรม >>> ห้วงนับจากนี้ไปขอให้จับตา “วิชามาร” สารพัดรูปแบบที่จะทยอยออกมา เบาๆก็เช่นแกล้งทำให้รถติดหนักกว่าความเป็นจริงเพื่อลดแรงสนับสนุนจากคนชั้นกลาง หรือให้หนักข้อกว่านั้นก็ส่ง “อันธพาลกวนเมือง” เข้าก่อกวนทุกวันๆ จนชาวบ้านเอือมระอาถึงขั้นอดรนทนไม่ไหว แล้วเปิดทางให้ฝ่ายรัฐจัดการแบบเบ็ดเสร็จ

โอ้โห...อ่านแล้ว ถ้ามันเป็นไปตามแนวทางนี้ ผมว่าไอ้การก่อกวน ป่วน ทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯของอันธพาลข้างถนนที่ผมว่าเป็นความเลวทรามต่ำช้าแล้ว มันคงจะสู้ไม่ได้กับ“ไอ้โม่ง”ผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังที่ใช้สารพัดวิชามารต่างๆจนนำไปสู่การสลายการชุมนุมในที่สุด

เพราะวิธีการแบบนี้พูดได้อย่างเดียวว่า แม๋งโค-ตะ-ระ เลวทรามต่ำช้าเลยจริงๆ พับผ่าสิ

กำลังโหลดความคิดเห็น