โดย : เด็กเที่ยว
เวลาที่ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองเก่าเมืองใดก็ตามบนโลกใบนี้ ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่แล่นผ่านเข้ามาอยู่เสมอทุกครั้งก็คือ ความรู้สึกว่าเวลารอบๆ ตัวของผมคล้ายจะหยุดนิ่งลงไปสักพักหนึ่ง อย่างน้อยก็ในชั่วขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการเดินชมความงดงามอลังการของเมืองเมืองนั้น
เพราะคุณค่าของเมืองเก่าแต่ละแห่งที่เคยได้เยี่ยมเยือน มิได้มีเฉพาะแค่เพียงความเก่าแก่ที่ผันแปรไปตามระยะเวลาที่ผันผ่าน หากแต่ยังแฝงไว้ด้วยคุณค่าแห่งความตั้งใจ ที่จะสรรค์สร้างเอกลักษณ์ของชาติ ผ่านวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองแห่งยุคสมัย
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหินหนึ่งก้อน ไม้หนึ่งท่อน หรือแม้กระทั่งทรายหนึ่งเม็ด ที่ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นจนเป็นเมือง จึงถือเป็นเสมือนอนุสรณ์จากชนรุ่นก่อนที่ต้องการสื่อถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้ และอยากที่จะปกปักษ์รักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมของชาติสืบต่อไป
อารัมภบทมาเสียนานก็เพียงเพื่อจะบอกกับทุกท่านว่า วันนี้ผมได้พาทุกท่านมายืนอยู่ยังเมืองเก่าอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกแห่งหนึ่งของโลก เมืองที่เป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นมายาวนานกว่าหนึ่งพันปี รวมถึงเป็นเมืองที่กำลังต่อสู้อย่างหนักกับความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของโลกปัจจุบัน เพื่อดำรงไว้ซึ่งความเป็นเมืองเก่าอันแสนคลาสสิกต่อไป
ใช่ครับ... ผมกำลังพูดถึง “เกียวโต” เมืองมรดกโลกที่จะหยุดเวลาของผมและของทุกๆ ท่านไว้อีกครั้งหนึ่ง
เกียวโตเป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเขตคันไซ บนพื้นที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ำโคโมกาวะ และแม่น้ำคัตสึรากาวะ ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงโดยพระจักรพรรดิคัมมู ซึ่งโปรดให้ย้ายเมืองหลวงเดิมจากนารามายังเมืองเกียวโตแห่งนี้
ที่สำคัญ เกียวโตเป็นเมืองหลวงที่มีองค์พระจักรพรรดิประทับติดต่อกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 1,074 ปี ก่อนที่จะมีการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองเอโดะ (โตเกียว) ในปี พ.ศ.2411 ทำให้เกียวโตกลายเป็นเมืองหลวงที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น และส่งผลให้วัฒนธรรมประเพณีที่ก่อเกิดขึ้นในสมัยนั้นส่วนหนึ่ง หยั่งรากลึกลงในวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
หากจะเที่ยวเกียวโตให้ทั่วแล้วล่ะก้อ เพื่อนไกด์คนเดิมของผมบอกว่าคงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสักหนึ่งปี ถึงจะพอเที่ยวชมเกียวโตได้ทั้งหมด เพราะเกียวโตนั้นเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย แค่วัดวาต่างๆ ก็ปาเข้าไป 1,600 กว่าวัด แถมยังมีสวนต่างๆ อีกประมาณ 200 แห่ง นี่ยังไม่นับรวมถึงพระราชวังอีก 2 ที่ และพิพิธภัณฑ์ดีๆ อีกพอสมควร
แต่ด้วยแผนที่วางไว้ ทำให้ผมมีเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้นในเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ ผมจึงตัดสินใจให้เพื่อนไกด์พาไปยังสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันเป็นสัญลักษณ์ ที่ใครไปใครมาเกียวโตก็ต้องแวะไปเที่ยวกันให้ได้ มิฉะนั้นจะเหมือนไม่ได้มาเกียวโตเสียอย่างนั้น เพื่อนไกด์ใจดีก็เลยพาผมไปยังอดีตที่พำนักพักร้อนของท่านโชกุนโยชิมิตสึ อะชิคางะ (ชื่อคุ้นๆ แฮะ) เป็นแห่งแรก
พอมาถึงจุดหมาย ผมก็ต้องร้อง "อ๋อ!" ขึ้นมาทันที เนื่องจากที่พำนักพักร้อนของโชกุนที่เพื่อนไกด์ของผมกล่าวถึงก็คือวัดทอง หรือ “คิงคะคุ-จิ” ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากการ์ตูนเรื่อง "อิคคิวซัง" ซึ่งเคยได้ดูสมัยเด็กๆ นั่นเอง แล้วที่ผมคุ้นชื่อของท่านโชกุนโยชิมิตสึ อะชิคางะ ก็มาจากการ์ตูนเรื่องนี้อีกนั่นแหละ คิดว่าหลายๆ ท่านก็คงจะจำได้เช่นเดียวกับผม
วัดทอง หรือ คิงคะคุ-จิ (อาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคุอน-จิ) แห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ.1940 อันเป็นยุครุ่งเรืองของตระกูลอะชิคางะ โดยผู้สร้างก็คือโชกุนโยชิมิตสึ อะชิคางะ นั่นเอง ซึ่งวัตถุประสงค์ในการสร้างแต่เดิมก็เพื่อใช้เป็นตำหนักพักร้อนของตัวโชกุนโยชิมิตสึ เอง แต่ในเวลาต่อมาท่านก็ได้ยกตำหนักนี้ให้เป็นวัดในพุทธศาสนา จนเมื่อท่านถึงแก่อนิจกรรม วัดนี้จึงได้กลายมาเป็นวัดในนิกายเซนเมื่อปี พ.ศ.1951
อย่างไรก็ตาม วัดทองที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้ ก็มิใช่วัดทองหลังดั้งเดิมที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยโชกุนโยชิมิตสึ อะชิคางะ อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากวัดทองหลังนั้นได้ถูกไฟเผาไหม้หมดทั้งหลังเมื่อปี พ.ศ.2493 และเพิ่งได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.2498 หรือเมื่อประมาณ 53 ปีมานี้เอง นับเป็นความน่าเสียดายอย่างยิ่ง
หลังจากเดินชมความงดงามของ "คิงคะคุ-จิ" และทานอาหารกลางวันเป็นที่เรียบร้อย เพื่อนไกด์ก็ได้พาผมไปยังอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้คิงคะคุ-จิ เช่นกัน นั่นก็คือ "วัดคิโยมิสึ" ซึ่งอยู่ทางอีกมุมหนึ่งของเกียวโต
"วัดคิโยมิสึ" หรือ "วัดน้ำใส" ได้ชื่อมาจากการที่วัดแห่งนี้มีน้ำศักดิ์สิทธิ์จากแม่น้ำ 3 สาย ถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาฮิงายามาในปี พ.ศ.1321 ซึ่งอยู่ในช่วงปลายสมัยนารา โดยพระที่ชื่อว่า เอ็นชิน โชนิน จุดมุ่งหมายของการสร้างวัดนี้ขึ้นมาก็เพื่อเป็นการถวายแด่พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 11 พักตร์ ในปัจจุบัน วัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอันมีค่ายิ่งแห่งหนึ่งของเกียวโต
เอกลักษณ์อันโดดเด่นของวัดนี้ก็คือ ระเบียงไม้ของตัววิหารใหญ่ที่สร้างยื่นออกมาจากหน้าผา โดยมีเสาไม้ขนาดใหญ่ค้ำอยู่ถึง 139 ต้น และที่น่าทึ่งก็คือเสาไม้ที่รองรับน้ำหนักของส่วนที่เป็นระเบียงทั้งหมดนี้ ถูกสร้างเชื่อมต่อกันโดยไม่ได้ใช้ตะปูตอกเลยแม้สักตัวเดียว แต่ก็ยังสามารถรองรับน้ำหนักของนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาเที่ยวชมวัดนี้ได้ทุกวันจนถึงปัจจุบัน
และด้วยการที่วัดคิโยมิสึถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาสูงนี้เอง จึงเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้เป็นจุดชมเมืองเกียวโตที่สวยงามได้อย่างกว้างไกล
กว่าที่ผมจะเดินขึ้นไปถึงตัววัดก็ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ก็เป็นการดีที่จะได้เพลิดเพลินไปกับการแวะชมร้านรวงแบบเรือนไม้เก่า ที่ขายของที่ระลึกและขนมญี่ปุ่นหลากหลายชนิด ซึ่งเรียงรายอยู่สองข้างถนนที่ชื่อว่าถนนสาย "กาน้ำชา"
เหตุที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะว่า ในอดีตจะมีร้านขายถ้วยชาเครื่องปั้นดินเผาเรียงรายตลอดสองข้างทาง ซึ่งทุกวันนี้ร้านเหล่านี้ก็ยังพอมีเหลือให้เห็นอยู่บ้าง แม้จะไม่มากเท่าในอดีตที่ผ่านมาก็ตาม
กลับเข้ามาที่ระเบียงไม้ของตัววิหารใหญ่กันอีกที จากจุดนี้หากมองลงไปด้านล่างทางซ้ายมือ จะเห็นภาพของนักท่องเที่ยวจำนวนมากยืนเข้าคิวรอดื่มน้ำจากแม่น้ำ 3 สาย ซึ่งเป็นน้ำซับธรรมชาติที่ไหลลงมาจากยอดเขามานานนับพันปีแล้ว
เชื่อกันว่าหากได้ดื่มน้ำจากน้ำสายที่ 1 จะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา น้ำสายที่ 2 จะสมหวังในความรัก ส่วนน้ำสายที่ 3 จะมีสุขภาพแข็งแรง และตามธรรมเนียมก็ต้องเลือกดื่มน้ำจากน้ำสายใดสายหนึ่งเท่านั้น ห้ามโลภดื่มน้ำทั้ง 3 สายในคราวเดียวกันเด็ดขาด
นอกจากนี้หากใครกำลังมีความรัก ด้านหลังตัววิหารใหญ่จะมีศาลเจ้าของวัดตั้งอยู่ชื่อว่า "ศาลเจ้าจิชู" เป็นศาลเจ้าแห่งความรักและความราบรื่นในชีวิตแต่งงาน คู่รักสามารถแวะไปขอพรกันก่อนที่จะลงบันไดไปดื่มน้ำจากแม่น้ำ 3 สายได้
หลังจากต่อคิวดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาที่ผมและเพื่อนไกด์คนเดิมจะต้องอำลาวัดคิโยมิสึ และเมืองเกียวโตกันแล้ว เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้พาทุกท่านนั่งรถไฟชิงคันเซ็นไปยัง "โตเกียว" เมืองหลวงแห่งตะวันออกไกล ด้วยกัน ซึ่งคงต้องติดตามกันในตอนต่อไป
แต่ระหว่างทางกลับก็เผอิญให้ไปเห็นสาวญี่ปุ่นแสนน่ารักในชุดกิโมโนสีชมพูสดใส เลยอดคิดไม่ได้ว่า "นี่น้ำศักดิ์สิทธิ์แสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นทันตาขนาดนี้เชียวหรือ" ว่าแล้วก็ต้องขอเข้าไปทำความรู้จักกันสักหน่อย (คงรู้แล้วใช่ไหมครับว่าผมเลือกดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์สายไหน)
แต่สุดท้ายก็ได้มาแค่รูปถ่าย เฮ้อ...อยากจะให้เวลาหยุดนิ่งที่เกียวโตจริงๆ ครับ...(อ่านต่อตอนหน้า)
ชมรูปจากเรื่อง "เหมือนเวลาจะหยุดนิ่งที่เกียวโต" ได้ที่นี่
เวลาที่ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองเก่าเมืองใดก็ตามบนโลกใบนี้ ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่แล่นผ่านเข้ามาอยู่เสมอทุกครั้งก็คือ ความรู้สึกว่าเวลารอบๆ ตัวของผมคล้ายจะหยุดนิ่งลงไปสักพักหนึ่ง อย่างน้อยก็ในชั่วขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการเดินชมความงดงามอลังการของเมืองเมืองนั้น
เพราะคุณค่าของเมืองเก่าแต่ละแห่งที่เคยได้เยี่ยมเยือน มิได้มีเฉพาะแค่เพียงความเก่าแก่ที่ผันแปรไปตามระยะเวลาที่ผันผ่าน หากแต่ยังแฝงไว้ด้วยคุณค่าแห่งความตั้งใจ ที่จะสรรค์สร้างเอกลักษณ์ของชาติ ผ่านวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองแห่งยุคสมัย
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหินหนึ่งก้อน ไม้หนึ่งท่อน หรือแม้กระทั่งทรายหนึ่งเม็ด ที่ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นจนเป็นเมือง จึงถือเป็นเสมือนอนุสรณ์จากชนรุ่นก่อนที่ต้องการสื่อถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้ และอยากที่จะปกปักษ์รักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมของชาติสืบต่อไป
อารัมภบทมาเสียนานก็เพียงเพื่อจะบอกกับทุกท่านว่า วันนี้ผมได้พาทุกท่านมายืนอยู่ยังเมืองเก่าอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกแห่งหนึ่งของโลก เมืองที่เป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นมายาวนานกว่าหนึ่งพันปี รวมถึงเป็นเมืองที่กำลังต่อสู้อย่างหนักกับความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของโลกปัจจุบัน เพื่อดำรงไว้ซึ่งความเป็นเมืองเก่าอันแสนคลาสสิกต่อไป
ใช่ครับ... ผมกำลังพูดถึง “เกียวโต” เมืองมรดกโลกที่จะหยุดเวลาของผมและของทุกๆ ท่านไว้อีกครั้งหนึ่ง
เกียวโตเป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเขตคันไซ บนพื้นที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ำโคโมกาวะ และแม่น้ำคัตสึรากาวะ ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงโดยพระจักรพรรดิคัมมู ซึ่งโปรดให้ย้ายเมืองหลวงเดิมจากนารามายังเมืองเกียวโตแห่งนี้
ที่สำคัญ เกียวโตเป็นเมืองหลวงที่มีองค์พระจักรพรรดิประทับติดต่อกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 1,074 ปี ก่อนที่จะมีการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองเอโดะ (โตเกียว) ในปี พ.ศ.2411 ทำให้เกียวโตกลายเป็นเมืองหลวงที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น และส่งผลให้วัฒนธรรมประเพณีที่ก่อเกิดขึ้นในสมัยนั้นส่วนหนึ่ง หยั่งรากลึกลงในวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
หากจะเที่ยวเกียวโตให้ทั่วแล้วล่ะก้อ เพื่อนไกด์คนเดิมของผมบอกว่าคงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสักหนึ่งปี ถึงจะพอเที่ยวชมเกียวโตได้ทั้งหมด เพราะเกียวโตนั้นเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย แค่วัดวาต่างๆ ก็ปาเข้าไป 1,600 กว่าวัด แถมยังมีสวนต่างๆ อีกประมาณ 200 แห่ง นี่ยังไม่นับรวมถึงพระราชวังอีก 2 ที่ และพิพิธภัณฑ์ดีๆ อีกพอสมควร
แต่ด้วยแผนที่วางไว้ ทำให้ผมมีเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้นในเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ ผมจึงตัดสินใจให้เพื่อนไกด์พาไปยังสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันเป็นสัญลักษณ์ ที่ใครไปใครมาเกียวโตก็ต้องแวะไปเที่ยวกันให้ได้ มิฉะนั้นจะเหมือนไม่ได้มาเกียวโตเสียอย่างนั้น เพื่อนไกด์ใจดีก็เลยพาผมไปยังอดีตที่พำนักพักร้อนของท่านโชกุนโยชิมิตสึ อะชิคางะ (ชื่อคุ้นๆ แฮะ) เป็นแห่งแรก
พอมาถึงจุดหมาย ผมก็ต้องร้อง "อ๋อ!" ขึ้นมาทันที เนื่องจากที่พำนักพักร้อนของโชกุนที่เพื่อนไกด์ของผมกล่าวถึงก็คือวัดทอง หรือ “คิงคะคุ-จิ” ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากการ์ตูนเรื่อง "อิคคิวซัง" ซึ่งเคยได้ดูสมัยเด็กๆ นั่นเอง แล้วที่ผมคุ้นชื่อของท่านโชกุนโยชิมิตสึ อะชิคางะ ก็มาจากการ์ตูนเรื่องนี้อีกนั่นแหละ คิดว่าหลายๆ ท่านก็คงจะจำได้เช่นเดียวกับผม
วัดทอง หรือ คิงคะคุ-จิ (อาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคุอน-จิ) แห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ.1940 อันเป็นยุครุ่งเรืองของตระกูลอะชิคางะ โดยผู้สร้างก็คือโชกุนโยชิมิตสึ อะชิคางะ นั่นเอง ซึ่งวัตถุประสงค์ในการสร้างแต่เดิมก็เพื่อใช้เป็นตำหนักพักร้อนของตัวโชกุนโยชิมิตสึ เอง แต่ในเวลาต่อมาท่านก็ได้ยกตำหนักนี้ให้เป็นวัดในพุทธศาสนา จนเมื่อท่านถึงแก่อนิจกรรม วัดนี้จึงได้กลายมาเป็นวัดในนิกายเซนเมื่อปี พ.ศ.1951
อย่างไรก็ตาม วัดทองที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้ ก็มิใช่วัดทองหลังดั้งเดิมที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยโชกุนโยชิมิตสึ อะชิคางะ อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากวัดทองหลังนั้นได้ถูกไฟเผาไหม้หมดทั้งหลังเมื่อปี พ.ศ.2493 และเพิ่งได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.2498 หรือเมื่อประมาณ 53 ปีมานี้เอง นับเป็นความน่าเสียดายอย่างยิ่ง
หลังจากเดินชมความงดงามของ "คิงคะคุ-จิ" และทานอาหารกลางวันเป็นที่เรียบร้อย เพื่อนไกด์ก็ได้พาผมไปยังอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้คิงคะคุ-จิ เช่นกัน นั่นก็คือ "วัดคิโยมิสึ" ซึ่งอยู่ทางอีกมุมหนึ่งของเกียวโต
"วัดคิโยมิสึ" หรือ "วัดน้ำใส" ได้ชื่อมาจากการที่วัดแห่งนี้มีน้ำศักดิ์สิทธิ์จากแม่น้ำ 3 สาย ถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาฮิงายามาในปี พ.ศ.1321 ซึ่งอยู่ในช่วงปลายสมัยนารา โดยพระที่ชื่อว่า เอ็นชิน โชนิน จุดมุ่งหมายของการสร้างวัดนี้ขึ้นมาก็เพื่อเป็นการถวายแด่พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 11 พักตร์ ในปัจจุบัน วัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอันมีค่ายิ่งแห่งหนึ่งของเกียวโต
เอกลักษณ์อันโดดเด่นของวัดนี้ก็คือ ระเบียงไม้ของตัววิหารใหญ่ที่สร้างยื่นออกมาจากหน้าผา โดยมีเสาไม้ขนาดใหญ่ค้ำอยู่ถึง 139 ต้น และที่น่าทึ่งก็คือเสาไม้ที่รองรับน้ำหนักของส่วนที่เป็นระเบียงทั้งหมดนี้ ถูกสร้างเชื่อมต่อกันโดยไม่ได้ใช้ตะปูตอกเลยแม้สักตัวเดียว แต่ก็ยังสามารถรองรับน้ำหนักของนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาเที่ยวชมวัดนี้ได้ทุกวันจนถึงปัจจุบัน
และด้วยการที่วัดคิโยมิสึถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาสูงนี้เอง จึงเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้เป็นจุดชมเมืองเกียวโตที่สวยงามได้อย่างกว้างไกล
กว่าที่ผมจะเดินขึ้นไปถึงตัววัดก็ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ก็เป็นการดีที่จะได้เพลิดเพลินไปกับการแวะชมร้านรวงแบบเรือนไม้เก่า ที่ขายของที่ระลึกและขนมญี่ปุ่นหลากหลายชนิด ซึ่งเรียงรายอยู่สองข้างถนนที่ชื่อว่าถนนสาย "กาน้ำชา"
เหตุที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะว่า ในอดีตจะมีร้านขายถ้วยชาเครื่องปั้นดินเผาเรียงรายตลอดสองข้างทาง ซึ่งทุกวันนี้ร้านเหล่านี้ก็ยังพอมีเหลือให้เห็นอยู่บ้าง แม้จะไม่มากเท่าในอดีตที่ผ่านมาก็ตาม
กลับเข้ามาที่ระเบียงไม้ของตัววิหารใหญ่กันอีกที จากจุดนี้หากมองลงไปด้านล่างทางซ้ายมือ จะเห็นภาพของนักท่องเที่ยวจำนวนมากยืนเข้าคิวรอดื่มน้ำจากแม่น้ำ 3 สาย ซึ่งเป็นน้ำซับธรรมชาติที่ไหลลงมาจากยอดเขามานานนับพันปีแล้ว
เชื่อกันว่าหากได้ดื่มน้ำจากน้ำสายที่ 1 จะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา น้ำสายที่ 2 จะสมหวังในความรัก ส่วนน้ำสายที่ 3 จะมีสุขภาพแข็งแรง และตามธรรมเนียมก็ต้องเลือกดื่มน้ำจากน้ำสายใดสายหนึ่งเท่านั้น ห้ามโลภดื่มน้ำทั้ง 3 สายในคราวเดียวกันเด็ดขาด
นอกจากนี้หากใครกำลังมีความรัก ด้านหลังตัววิหารใหญ่จะมีศาลเจ้าของวัดตั้งอยู่ชื่อว่า "ศาลเจ้าจิชู" เป็นศาลเจ้าแห่งความรักและความราบรื่นในชีวิตแต่งงาน คู่รักสามารถแวะไปขอพรกันก่อนที่จะลงบันไดไปดื่มน้ำจากแม่น้ำ 3 สายได้
หลังจากต่อคิวดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาที่ผมและเพื่อนไกด์คนเดิมจะต้องอำลาวัดคิโยมิสึ และเมืองเกียวโตกันแล้ว เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้พาทุกท่านนั่งรถไฟชิงคันเซ็นไปยัง "โตเกียว" เมืองหลวงแห่งตะวันออกไกล ด้วยกัน ซึ่งคงต้องติดตามกันในตอนต่อไป
แต่ระหว่างทางกลับก็เผอิญให้ไปเห็นสาวญี่ปุ่นแสนน่ารักในชุดกิโมโนสีชมพูสดใส เลยอดคิดไม่ได้ว่า "นี่น้ำศักดิ์สิทธิ์แสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นทันตาขนาดนี้เชียวหรือ" ว่าแล้วก็ต้องขอเข้าไปทำความรู้จักกันสักหน่อย (คงรู้แล้วใช่ไหมครับว่าผมเลือกดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์สายไหน)
แต่สุดท้ายก็ได้มาแค่รูปถ่าย เฮ้อ...อยากจะให้เวลาหยุดนิ่งที่เกียวโตจริงๆ ครับ...(อ่านต่อตอนหน้า)
ชมรูปจากเรื่อง "เหมือนเวลาจะหยุดนิ่งที่เกียวโต" ได้ที่นี่