โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
พูดถึงย่านฝั่งธนบุรี ที่นอกจากจะเป็นย่านชุมชนที่มีชีวิต มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แถมยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรเช่นสวนกล้วยไม้และผลไม้ต่างๆ เป็นจุดเด่นแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าในย่านนี้ก็ยังมีสวนสัตว์เล็กๆ แฝงตัวอยู่ริมคลองในเขตภาษีเจริญ โดยสวนสัตว์ที่ว่านั้นก็คือ "สวนงูธนบุรี" ที่ไม่ได้มีเพียงแต่งูให้ชมกันเพียงอย่างเดียว
ตามปกติแล้ว ถ้านักท่องเที่ยวนั่งเรือมาตามคลองด่านมายังสวนงู ก็จะเสียค่าเข้าชมคนละ 150 บาท ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เช่าเหมาเรือหางยาวเข้ามาเที่ยว หรือนักท่องเที่ยวที่นั่งเรือมาจากตลาดน้ำตลิ่งชัน แต่วันนี้ฉันไม่ได้มาเที่ยวสวนงูทางเรือ แต่ใช้วิธีเดินเท้าจากปากซอยเทอดไท 41/1 เข้ามา ซึ่งก็เสียค่าเข้าชมทางประตูหลังเพียงคนละ 20 บาทเท่านั้น
ระยะทางการเดินเท้านี้จะว่าไปก็ไม่ใกล้ไม่ไกลสักเท่าไร แต่คนที่ขี้เกียจเดินก็สามารถนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปถึงที่สวนงูได้เลย และสำหรับฉันผู้ซึ่งไม่เคยกลัวทางไกล ก็ใช้วิธีเรียกพี่วิน(มอเตอร์ไซค์)ให้พาไปส่งถึงสวนงูเลยเช่นกัน ไม่ใช่ว่าไม่มีแรงเดิน แต่อยากเก็บแรงไว้เดินชมงูในสวนงูต่างหาก
ฉันเข้ามาที่สวนงูธนบุรีทางประตูด้านหลัง ก็พบว่าขณะนั้นกำลังมีการแสดงโชว์งูอยู่พอดี แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดชมเพราะเขายังมีการแสดงอีกหลายรอบ โดยจะห่างกันประมาณรอบละ 15 นาที หรือตามแต่ปริมาณนักท่องเที่ยวที่มาชม ดังนั้นฉันจึงมีโอกาสได้ชมสิ่งต่างๆ ในสวนงูเพื่อเป็นการรอเวลาแสดงโชว์รอบถัดไป
สวนงูธนบุรีนี้ ถึงแม้จะมีชื่อว่าสวนงู แต่ก็ไม่ได้มีเพียงแค่งูให้ชมกันเพียงอย่างเดียว เพราะอย่างที่บอกว่าที่นี่ยังถือเป็นสวนสัตว์เล็กๆ ที่รวมเอาสัตว์ต่างๆ มาไว้ให้ชมกันที่นี่ด้วย โดยในพื้นที่ 5 ไร่ของสวนงูธนบุรีที่ฉันได้เดินชมนี้ ก็ได้พบเห็นสัตว์ทั้งหลายเช่นเนื้อทรายหน้าตาบ้องแบ๊วที่อยู่รวมกันเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก นกชนิดต่างๆ เช่นนกเลี้ยงตามบ้านอย่างนกหงส์หยก นกแก้ว นกกระตั้ว ไปจนถึงนกที่ไม่ได้พบเห็นกันบ่อยๆ อย่างเหยี่ยวแดง นกพิราบหงอน นกมาคอว์สีสันสดใส นกยูงที่กำลังรำแพนหาง และนกคาสโซวารี นกขนาดใหญ่ดูแปลกตาด้วยขนสีฟ้าสดใสที่ใบหน้าถึงลำคอขณะที่ลำตัวมีขนสีดำสนิท แถมยังมีหงอนแข็งอยู่บนหัว เป็นนกที่มีถิ่นที่อยู่แถวๆออสเตรเลียนู่น
นอกจากบรรดานกที่มีอยู่มากมายแล้ว ที่นี่ก็ยังสัตว์ประเภทลิงที่กำลังเล่นซนปีนป่ายไปมาอยู่ไม่สุข มีแมวดาวนอนหลับปุ๋ยอยู่ในกรง มีสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างตะเข้ตะโขงลอยคออยู่ในบ่อ รวมถึงสัตว์น่ากลัว(สำหรับบางคน)อย่างอีกัวน่า ก็มีด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงสัตว์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่สัตว์ใหญ่ที่นี่เขาก็มี เช่นหมีควายตัวอ้วน เสือโคร่งตัวใหญ่ดูน่าเกรงขาม ไม่น่าเชื่อว่าในสวนสัตว์เล็กๆ ก็จะมีสัตว์ใหญ่อย่างนี้อยู่เช่นกัน
เดินชมจนทั่วแล้วก็ได้เวลาแสดงโชว์งูเสียที ลีลาการแสดงโชว์งูของที่นี่ก็นับว่าไม่แพ้ใคร อีกทั้งผู้บรรยายก็ให้ความรู้เกี่ยวกับงูต่างๆ ที่นำมาแสดงทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ครบถ้วนเข้าใจกันดี
เริ่มกันที่งูเห่า งูดุร้ายที่ออกมาถึงก็ยืดตัวแผ่แม่เบี้ยโชว์ดอกจันด้านหลังหัวพร้อมกับขู่ฟู่ๆ ใส่คนแสดงทันที ที่สำคัญไม่ได้มาเพียงตัวเดียว แต่ออกมาพร้อมกันถึงสองตัว ทำเอาผู้ชมทั้งไทยทั้งต่างชาติขนหัวลุกไปตามๆ กัน แต่ดูเหมือนนักแสดงกับงูจะไม่หวั่นไหว เพราะยังสามารถหลอกล่องูเห่าทั้งสองตัวจนในที่สุดก็สามารถใช้มือเปล่าจับงูทั้งสองไว้ได้โดยไม่โดนกัด
จากนั้นก็เป็นการแสดงการรีดพิษงู โดยนักแสดงจะจับหัวงูไว้แน่นในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างถือแก้วใสๆ ไว้ แล้วให้งูตัวนั้นอ้าปากกัดลงบนแก้ว แล้วพิษร้ายที่ทำลายร่างกายของผู้ที่ถูกกัดก็จะออกมาจากเขี้ยวพิษของงูตัวนั้น และพิษเดียวกันนี่เองที่มีประโยชน์อย่างมากในการนำไปสกัดเซรุ่มแก้พิษงูได้ด้วยเช่นกัน เรียกว่ามีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ของแท้
คราวนี้มาดูงูที่ไม่มีพิษอย่างงูทางมะพร้าวกันบ้าง งูทางมะพร้าวนี้สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก เวลาเลื้อยก็จะเลื้อยปราดๆอย่างรวดเร็ว เวลาฉกก็ฉกวูบแบบไม่ให้ทันตั้งตัวเลยทีเดียว ฟังคนบรรยายถึงงูชนิดนี้แล้วฉันก็นึกสงสาร เพราะงูไม่มีพิษอย่างงูทางมะพร้าวนี้ เป็นงูที่ช่วยทำให้ระบบนิเวศในท้องนามีความสมดุล เพราะอาหารของงูทางมะพร้าวก็คือหนูที่จะมากัดกินต้นข้าว แต่สำหรับหลายๆ คนแล้ว งูก็คือสัตว์อันตราย ดังนั้นเมื่อเจองูที่ไหนก็จะตีที่นั่น ทำให้งูไม่มีพิษที่มีประโยชน์ต้องลดจำนวนลงไปด้วย
และปิดท้ายการแสดงกันที่งูเหลือมตัวยาวที่ดูยังไง้...ยังไงก็ไม่น่าเข้าใกล้ หลังจากจบการแสดงประมาณ 15 นาทีนี้แล้ว ใครที่ชอบใจอยากจะให้ค่าชมการแสดงเท่าไรก็ควักกระเป๋ากันไป หรือใครยังติดใจกับเจ้างูเหล่านี้อยู่ก็สามารถถ่ายรูปคู่กับงูเหลือมได้ จะเอามาพาดคอมากอดมาจูบอย่างไรก็แอ๊คท่ากันไป แต่สำหรับฉันซึ่งไม่อยากจะเข้าไปใกล้งูเกินความจำเป็นก็ขอดูอยู่ห่างๆ อย่างนี้ก็แล้วกัน
ขากลับจากสวนงูนี้ฉันเลือกวิธีเดินเท้ากลับในเส้นทางเดียวกับขามา โดยตั้งใจว่าจะแวะไหว้พระที่ "วัดนางชีโชติการาม" ในซอยเทอดไท 41/1 นี้เสียก่อน เพราะหมายตาไว้ตั้งแต่นั่งรถมอเตอร์ไซค์ผ่านทีแรกแล้ว
ฉันเคยได้ยินชื่อวัดนางชีฯ นี้มาก่อนเพราะที่วัดนี้เขามีประเพณีชักพระขึ้นชื่อที่สืบทอดมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเมื่อถึงวันแรม 2 ค่ำเดือน 12 ของทุกปี ทางวัดก็จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุสาวกมาประดิษฐานบนบุษบก แล้วชักแห่ทางเรือไปในคลองด่านจากวัดนางชีไปจนถึงวัดไก่เตี้ย ให้ประชาชนได้สักการะกันโดยทั่วถึง เรือที่ใช้ก็จะเป็นเรือพระราชพิธีอย่างเรือดั้งและเรือแซงที่ตกแต่งไว้อย่างงดงาม ถ้าปีนี้ใครอยากชมก็ต้องรอให้ถึงเดือนสิบสองเสียก่อน
แต่ในเดือนสี่อย่างนี้ ฉันก็ทำได้เพียงเข้ามากราบพระและชมสถาปัตยกรรมต่างๆ ภายในวัด โดยวัดนางชีนี้เป็นวัดเก่าแก่ไม่ปรากฏประวัติการสร้างวัด แต่พระยาราชานุชิต (จ๋อง) ได้เป็นผู้บูรณะวัดนี้ขึ้น และถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ให้เป็นพระอารามหลวง พระองค์จึงทรงพระราชทานนามวัดไว้ว่า วัดนางชีโชติการาม
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่วัดนี้ก็คือพระอุโบสถและพระวิหารนี้มีลักษณะตามแบบพระราชนิยมของรัชกาลที่ 3 คือบนหลังคานั้นไม่มีช่อฟ้าใบระกา แต่เป็นหน้าบันเรียบๆประดับกระเบื้องเคลือบแบบจีนเป็นลวดลายแจกันดอกไม้บ้าง เรือสำเภาจีนบ้าง งดงามไม่แพ้วัดตามแบบศิลปะไทย นอกจากนั้นที่บานประตูพระอุโบสถก็สลักรูปเซี่ยวกางหรือทวารบาลเหยียบสิงห์ ซึ่งเป็นฝีมือช่างชาวจีนไว้ด้วย
ได้ชมทั้งสวนงูทั้งวัดสวยงามอย่างนี้ ฉันถือว่าไม่เสียเที่ยวที่ได้มีโอกาสมาเยือนแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจอีกแห่งหนึ่งในฝั่งธนบุรี
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
การเดินทางไปยังสวนงูธนบุรี จากปากซอยเทอดไท 41/1 สามารถนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าไปได้ (รถยนต์ไม่สามารถผ่านได้) หรือหากจะเดินไปก็ตั้งต้นเดินจากปากซอยตรงเข้าไป ผ่านวัดนางชีโชติการาม ข้ามถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ ลอดใต้สะพานข้ามคลองด่าน แล้วเดินตรงเข้าไปในซอยแล้วเลี้ยวซ้าย สวนงูธนบุรีจะอยู่ทางซ้ายมือ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ในเวลา 09.00-17.00 น. ค่าเข้าชมคนไทย 20 บาท (เข้าทางประตูด้านหลัง) ชาวต่างชาติ 150 บาท หรือหากจะมาทางเรือจากตลาดน้ำตลิ่งชันในวันเสาร์อาทิตย์ก็สามารถซื้อตั๋วนั่งเรือมาได้ ผู้ใหญ่ 120 บาท เด็ก 60 บาท สอบถามโทร.0-2457-3241, 0-2467-5665
พูดถึงย่านฝั่งธนบุรี ที่นอกจากจะเป็นย่านชุมชนที่มีชีวิต มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แถมยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรเช่นสวนกล้วยไม้และผลไม้ต่างๆ เป็นจุดเด่นแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าในย่านนี้ก็ยังมีสวนสัตว์เล็กๆ แฝงตัวอยู่ริมคลองในเขตภาษีเจริญ โดยสวนสัตว์ที่ว่านั้นก็คือ "สวนงูธนบุรี" ที่ไม่ได้มีเพียงแต่งูให้ชมกันเพียงอย่างเดียว
ตามปกติแล้ว ถ้านักท่องเที่ยวนั่งเรือมาตามคลองด่านมายังสวนงู ก็จะเสียค่าเข้าชมคนละ 150 บาท ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เช่าเหมาเรือหางยาวเข้ามาเที่ยว หรือนักท่องเที่ยวที่นั่งเรือมาจากตลาดน้ำตลิ่งชัน แต่วันนี้ฉันไม่ได้มาเที่ยวสวนงูทางเรือ แต่ใช้วิธีเดินเท้าจากปากซอยเทอดไท 41/1 เข้ามา ซึ่งก็เสียค่าเข้าชมทางประตูหลังเพียงคนละ 20 บาทเท่านั้น
ระยะทางการเดินเท้านี้จะว่าไปก็ไม่ใกล้ไม่ไกลสักเท่าไร แต่คนที่ขี้เกียจเดินก็สามารถนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปถึงที่สวนงูได้เลย และสำหรับฉันผู้ซึ่งไม่เคยกลัวทางไกล ก็ใช้วิธีเรียกพี่วิน(มอเตอร์ไซค์)ให้พาไปส่งถึงสวนงูเลยเช่นกัน ไม่ใช่ว่าไม่มีแรงเดิน แต่อยากเก็บแรงไว้เดินชมงูในสวนงูต่างหาก
ฉันเข้ามาที่สวนงูธนบุรีทางประตูด้านหลัง ก็พบว่าขณะนั้นกำลังมีการแสดงโชว์งูอยู่พอดี แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดชมเพราะเขายังมีการแสดงอีกหลายรอบ โดยจะห่างกันประมาณรอบละ 15 นาที หรือตามแต่ปริมาณนักท่องเที่ยวที่มาชม ดังนั้นฉันจึงมีโอกาสได้ชมสิ่งต่างๆ ในสวนงูเพื่อเป็นการรอเวลาแสดงโชว์รอบถัดไป
สวนงูธนบุรีนี้ ถึงแม้จะมีชื่อว่าสวนงู แต่ก็ไม่ได้มีเพียงแค่งูให้ชมกันเพียงอย่างเดียว เพราะอย่างที่บอกว่าที่นี่ยังถือเป็นสวนสัตว์เล็กๆ ที่รวมเอาสัตว์ต่างๆ มาไว้ให้ชมกันที่นี่ด้วย โดยในพื้นที่ 5 ไร่ของสวนงูธนบุรีที่ฉันได้เดินชมนี้ ก็ได้พบเห็นสัตว์ทั้งหลายเช่นเนื้อทรายหน้าตาบ้องแบ๊วที่อยู่รวมกันเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก นกชนิดต่างๆ เช่นนกเลี้ยงตามบ้านอย่างนกหงส์หยก นกแก้ว นกกระตั้ว ไปจนถึงนกที่ไม่ได้พบเห็นกันบ่อยๆ อย่างเหยี่ยวแดง นกพิราบหงอน นกมาคอว์สีสันสดใส นกยูงที่กำลังรำแพนหาง และนกคาสโซวารี นกขนาดใหญ่ดูแปลกตาด้วยขนสีฟ้าสดใสที่ใบหน้าถึงลำคอขณะที่ลำตัวมีขนสีดำสนิท แถมยังมีหงอนแข็งอยู่บนหัว เป็นนกที่มีถิ่นที่อยู่แถวๆออสเตรเลียนู่น
นอกจากบรรดานกที่มีอยู่มากมายแล้ว ที่นี่ก็ยังสัตว์ประเภทลิงที่กำลังเล่นซนปีนป่ายไปมาอยู่ไม่สุข มีแมวดาวนอนหลับปุ๋ยอยู่ในกรง มีสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างตะเข้ตะโขงลอยคออยู่ในบ่อ รวมถึงสัตว์น่ากลัว(สำหรับบางคน)อย่างอีกัวน่า ก็มีด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงสัตว์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่สัตว์ใหญ่ที่นี่เขาก็มี เช่นหมีควายตัวอ้วน เสือโคร่งตัวใหญ่ดูน่าเกรงขาม ไม่น่าเชื่อว่าในสวนสัตว์เล็กๆ ก็จะมีสัตว์ใหญ่อย่างนี้อยู่เช่นกัน
เดินชมจนทั่วแล้วก็ได้เวลาแสดงโชว์งูเสียที ลีลาการแสดงโชว์งูของที่นี่ก็นับว่าไม่แพ้ใคร อีกทั้งผู้บรรยายก็ให้ความรู้เกี่ยวกับงูต่างๆ ที่นำมาแสดงทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ครบถ้วนเข้าใจกันดี
เริ่มกันที่งูเห่า งูดุร้ายที่ออกมาถึงก็ยืดตัวแผ่แม่เบี้ยโชว์ดอกจันด้านหลังหัวพร้อมกับขู่ฟู่ๆ ใส่คนแสดงทันที ที่สำคัญไม่ได้มาเพียงตัวเดียว แต่ออกมาพร้อมกันถึงสองตัว ทำเอาผู้ชมทั้งไทยทั้งต่างชาติขนหัวลุกไปตามๆ กัน แต่ดูเหมือนนักแสดงกับงูจะไม่หวั่นไหว เพราะยังสามารถหลอกล่องูเห่าทั้งสองตัวจนในที่สุดก็สามารถใช้มือเปล่าจับงูทั้งสองไว้ได้โดยไม่โดนกัด
จากนั้นก็เป็นการแสดงการรีดพิษงู โดยนักแสดงจะจับหัวงูไว้แน่นในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างถือแก้วใสๆ ไว้ แล้วให้งูตัวนั้นอ้าปากกัดลงบนแก้ว แล้วพิษร้ายที่ทำลายร่างกายของผู้ที่ถูกกัดก็จะออกมาจากเขี้ยวพิษของงูตัวนั้น และพิษเดียวกันนี่เองที่มีประโยชน์อย่างมากในการนำไปสกัดเซรุ่มแก้พิษงูได้ด้วยเช่นกัน เรียกว่ามีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ของแท้
คราวนี้มาดูงูที่ไม่มีพิษอย่างงูทางมะพร้าวกันบ้าง งูทางมะพร้าวนี้สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก เวลาเลื้อยก็จะเลื้อยปราดๆอย่างรวดเร็ว เวลาฉกก็ฉกวูบแบบไม่ให้ทันตั้งตัวเลยทีเดียว ฟังคนบรรยายถึงงูชนิดนี้แล้วฉันก็นึกสงสาร เพราะงูไม่มีพิษอย่างงูทางมะพร้าวนี้ เป็นงูที่ช่วยทำให้ระบบนิเวศในท้องนามีความสมดุล เพราะอาหารของงูทางมะพร้าวก็คือหนูที่จะมากัดกินต้นข้าว แต่สำหรับหลายๆ คนแล้ว งูก็คือสัตว์อันตราย ดังนั้นเมื่อเจองูที่ไหนก็จะตีที่นั่น ทำให้งูไม่มีพิษที่มีประโยชน์ต้องลดจำนวนลงไปด้วย
และปิดท้ายการแสดงกันที่งูเหลือมตัวยาวที่ดูยังไง้...ยังไงก็ไม่น่าเข้าใกล้ หลังจากจบการแสดงประมาณ 15 นาทีนี้แล้ว ใครที่ชอบใจอยากจะให้ค่าชมการแสดงเท่าไรก็ควักกระเป๋ากันไป หรือใครยังติดใจกับเจ้างูเหล่านี้อยู่ก็สามารถถ่ายรูปคู่กับงูเหลือมได้ จะเอามาพาดคอมากอดมาจูบอย่างไรก็แอ๊คท่ากันไป แต่สำหรับฉันซึ่งไม่อยากจะเข้าไปใกล้งูเกินความจำเป็นก็ขอดูอยู่ห่างๆ อย่างนี้ก็แล้วกัน
ขากลับจากสวนงูนี้ฉันเลือกวิธีเดินเท้ากลับในเส้นทางเดียวกับขามา โดยตั้งใจว่าจะแวะไหว้พระที่ "วัดนางชีโชติการาม" ในซอยเทอดไท 41/1 นี้เสียก่อน เพราะหมายตาไว้ตั้งแต่นั่งรถมอเตอร์ไซค์ผ่านทีแรกแล้ว
ฉันเคยได้ยินชื่อวัดนางชีฯ นี้มาก่อนเพราะที่วัดนี้เขามีประเพณีชักพระขึ้นชื่อที่สืบทอดมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเมื่อถึงวันแรม 2 ค่ำเดือน 12 ของทุกปี ทางวัดก็จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุสาวกมาประดิษฐานบนบุษบก แล้วชักแห่ทางเรือไปในคลองด่านจากวัดนางชีไปจนถึงวัดไก่เตี้ย ให้ประชาชนได้สักการะกันโดยทั่วถึง เรือที่ใช้ก็จะเป็นเรือพระราชพิธีอย่างเรือดั้งและเรือแซงที่ตกแต่งไว้อย่างงดงาม ถ้าปีนี้ใครอยากชมก็ต้องรอให้ถึงเดือนสิบสองเสียก่อน
แต่ในเดือนสี่อย่างนี้ ฉันก็ทำได้เพียงเข้ามากราบพระและชมสถาปัตยกรรมต่างๆ ภายในวัด โดยวัดนางชีนี้เป็นวัดเก่าแก่ไม่ปรากฏประวัติการสร้างวัด แต่พระยาราชานุชิต (จ๋อง) ได้เป็นผู้บูรณะวัดนี้ขึ้น และถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ให้เป็นพระอารามหลวง พระองค์จึงทรงพระราชทานนามวัดไว้ว่า วัดนางชีโชติการาม
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่วัดนี้ก็คือพระอุโบสถและพระวิหารนี้มีลักษณะตามแบบพระราชนิยมของรัชกาลที่ 3 คือบนหลังคานั้นไม่มีช่อฟ้าใบระกา แต่เป็นหน้าบันเรียบๆประดับกระเบื้องเคลือบแบบจีนเป็นลวดลายแจกันดอกไม้บ้าง เรือสำเภาจีนบ้าง งดงามไม่แพ้วัดตามแบบศิลปะไทย นอกจากนั้นที่บานประตูพระอุโบสถก็สลักรูปเซี่ยวกางหรือทวารบาลเหยียบสิงห์ ซึ่งเป็นฝีมือช่างชาวจีนไว้ด้วย
ได้ชมทั้งสวนงูทั้งวัดสวยงามอย่างนี้ ฉันถือว่าไม่เสียเที่ยวที่ได้มีโอกาสมาเยือนแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจอีกแห่งหนึ่งในฝั่งธนบุรี
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
การเดินทางไปยังสวนงูธนบุรี จากปากซอยเทอดไท 41/1 สามารถนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าไปได้ (รถยนต์ไม่สามารถผ่านได้) หรือหากจะเดินไปก็ตั้งต้นเดินจากปากซอยตรงเข้าไป ผ่านวัดนางชีโชติการาม ข้ามถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ ลอดใต้สะพานข้ามคลองด่าน แล้วเดินตรงเข้าไปในซอยแล้วเลี้ยวซ้าย สวนงูธนบุรีจะอยู่ทางซ้ายมือ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ในเวลา 09.00-17.00 น. ค่าเข้าชมคนไทย 20 บาท (เข้าทางประตูด้านหลัง) ชาวต่างชาติ 150 บาท หรือหากจะมาทางเรือจากตลาดน้ำตลิ่งชันในวันเสาร์อาทิตย์ก็สามารถซื้อตั๋วนั่งเรือมาได้ ผู้ใหญ่ 120 บาท เด็ก 60 บาท สอบถามโทร.0-2457-3241, 0-2467-5665